Skip to main content

     ปลูกกล้วยก็ต้องดูแลรักษา   หากฝนแล้งก็ต้องรดน้ำเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง   จนสามารถให้ผลผลิตคือ   เครือกล้วย   ผลกล้วยและปลีกล้วยได้    ต้นกล้วยก็ต้องการแสงแดดเพื่อสังเคราะห์อาหารหล่อเลี้ยงต้น   ในสวนกล้วยมีต้นมะขามใหญ่ยืนแผ่ร่มเงาสาขาบังแสงแดดต้นกล้วยอยู่   เราก็ต้องตัดมันลงมาเพื่อให้ต้นกล้วยได้รับแสงดีๆ   จะได้งามเร็วๆ    กิ่งมะขามเมื่อตัดลงมาแล้วก็ปล่อยให้แห้ง   กิ่งใหญ่ก็ตัดฟันเอาไปเก็บไว้ทำฟืน   เหลือเศษเล็กๆน้อยๆก็กองสุมรวมกันไว้เพื่อเผา โดยกองสุมเป็นกองเล็กๆหลายๆกอง   ทั้งนี้   ก็เพื่อเวลาเผา   ไฟจะได้ไม่ไหม้โหมแรงเกินไปจนลนต้นกล้วยให้เฉา    อีกอย่างเดี๋ยวนี้มีกฎหมายห้ามเผาขึ้นมาบังคับใช้ด้วย   จึงต้องเผาทีละนิด   กองเล็กๆ   เพื่อที่ควันไฟจะได้ไม่เยอะเกินไปจนเป็นการรบกวนเพื่อนบ้าน     คนไทยเราหากมันไม่เป็นการรบกวนเกินไป   หนักนิดเบาหน่อยเราก็ให้อภัยกันอยู่แล้ว   และเป็นเรื่องดีที่ว่า   กิ่งมะขามเล็กๆที่แห้งสนิทนี้   เมื่อเผามันกลางแดดจัดๆ   มันก็ลุกไหม้อย่างรวดเร็วแถมไร้ควันอีกต่างหาก   ตรงนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี   แต่ก็ต้องรีบเผาให้หมดก่อนที่ฝนจะตก   ไม่อย่างนั้นเมื่อมันถูกฝนก็จะเปียก   ดินก็จะเกิดความชื้นทำให้จุดไฟติดยาก   และก็จะทำให้เกิดควันเยอะด้วย งานเผากิ่งมะขามนี้จึงเป็นงานเร่งด่วนและต้องทำทันทีเมื่อเวลาประจวบเหมาะเช่นนี้

 

     นักวิชากล้วยอย่างผม   กล่าวถึงเรื่องราวในสวนกล้วยก่อน   เผื่อว่าจะมีมิตรสหายหลายๆท่านสนใจที่จะเป็นเกษตรกรชาวสวนกล้วยบ้าง    เราจะได้มาปลูกกล้วยและดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงตามพระราชดำริของพ่อหลวงด้วยกัน

     แต่... จริงๆแล้ว    ที่นักวิชากล้วยอย่างผมต้องออกมาอีก    ก็เพราะการได้ติดตามข่าวสารหลายๆอย่างในห้วงเวลาสอง-สามสัปดาห์มานี้    ก็ให้เกิดเอะใจ   สงสัย   และตั้งคำถามหลายๆอย่างต่อกระบวนการต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยต่างๆนาๆจากหลากหลายกลุ่มในห้วงเวลานี้

 

     ผมเห็นการกล่าวประณาม   ด่าทอ   เหยียดเย้ยหยันและยัดเหยียดการเป็นฮาร์ดคอร์หัวรุนแรง    ทำผิดหลักการประชาธิปไตย   ไม่คู่ควรกับการต่อสู้เพื่อ  ประชาธิปไตยให้กลุ่มชาวบ้านเสื้อแดงที่ออกไปตั้งขบวนแสดงความไม่เห็นด้วยกับการมาตั้งเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดลำพูน   และล่าสุด   ก็เมื่อวานที่ออกมาปะทะกับกลุ่มพันธมิตรหน้ากากขาวที่เชียงใหม่

 

     กระแสสังคมหลากหลายทั้งในกลุ่มเพื่อนมิตรและฝ่ายตรงข้ามต่างเห็นด้วยกับการประณามนั้น    และต่างร่วมช่วยกันประณามกันใหญ่    ราวกับกลุ่มชาวบ้านเสื้อแดงดังกล่าวได้กระทำการฆ่า   สังหารหมู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ตายเป็นแสนก็มิปาน

 

     เมื่อได้ตามอ่านข่าวแล้ว    ด้วยความเป็นนักวิชากล้วยมันก็ทำให้ผมชอบคิดผกผัน   พลิกหน้ากลับหลังเกิดความเห็นแตกต่างกับกระแสสัคมหลักๆที่กล่าวมา   คือ...

 

     การออกมากล่าวประณามหยามเหยียดชาวบ้านที่ออกมาเคลื่อนไหวดังกล่าว    พร้อมด้วยการกล่าวอ้างหลักการประชาธิปไตย    หลักการสิทธิเสรีภาพ    เสมอภาค ภราดรภาพ    ย้ำนักย้ำหนาว่าควรให้สิทธิแก่ผู้คนอื่นๆทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน   เขาควรมีสิทธิเคลื่อนไหว ไปได้ทุกที่   และมีสิทธิ์พูดเช่นที่เขาอยากจะพูด(เผาบ้านเผาเมือง,แดงล้มเจ้า)     เราต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเราต้องเคารพและทำตามหลักการประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็งเข้มงวด   หากคนที่กล่าวอ้างว่าต่อสู้เพื่อหลักการประชาธิปไตย   กลับมาทำผิดหลักการประชาธิปไตยซะเองเช่นนี้แล้ว    ยังจะมีหน้าบอกว่าตนเองต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกเหรอ...???     บลา บลา บลา........

 

     ครับ   ประโยคเหล่านี้ฟังดูแล้วดี   เท่ห์มาก    หล่อ    คนที่ยึดมั่นและมั่นคงแน่วแน่ในหลักการนี่มันดูเท่ห์ซะจริง     นักวิชากล้วยอย่างผมก็ยังอยากจะพูดด้วยเลย   ขนาดลองกระซิบในใจเบาๆ    มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกหล่อหลักลอยขึ้นมาขนาดนี้    นี่ถ้าผมออกมาพูดดังๆในพื้นที่สาธารณะแล้วมันจะดูเท่ห์ลอยลิ้วขนาดไหนกันนะ...    และอย่าลืมอย่าพลาด   ต้องอ้างคำของคนดังในอดีตมาประกอบด้วยนะครับ   เช่นจอร์จ วอชิงตัน   ที่ว่า”แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของคุณ แต่ผมจะปกป้องสิทธิที่จะพูดของคุณ”    เห็นไหม...?    แค่ยกมาประกอบเพียงอันเดียวก็รู้สึกฟินขึ้นมาอีกเป็นกอง    นี่ถ้ายกมามากกว่านี้มันจะออกัสซั่มขนาดไหนคิดดู......???  ^_^

 

     ก็ให้พอดีกับว่า    ในห้วงช่วงเวลาไม่ห่างกันนั้น    ก็ได้มีกลุ่มญาติๆผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนในช่วงเดือนเมษา-พฤษภา 53     ได้ออกมายื่น  หนังสือแก่รัฐบาลเพื่อให้ย้ายนายธาริต เพ็งดิษฐิ์    และไม่เอาพรบ.ปรองดองฉบับของนายวรชัย เหมะ    ที่มีเนื้อหาการเว้นโทษไม่เอาผิดทหารที่ออกมายิง   ฆ่า   ประชาชน     อ่านหลักการแน่วแน่ในอุดมการณ์ประชาธิปไตยของคนหล่อคนสวยทั้งหลายประกอบกับข่าวญาติวีรชนเมษา-พฤษภานี้แล้ว   ก็เลยอดคิดแปลกแยกจากคนหล่อคนสวยทั้งหลายไม่ได้ว่า     การที่มีชาวบ้านใส่เสื้อสีแดงออกมาเคลื่อนไหวในแนวทางกร้าวร้าวไม่ถูกใจนักประชาธิปไตยหล่อ-สวยทั้งหลายนั้น    ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเหล่านักประชาธิปไตยหล่อ-สวยทั้งหลาย   นักกิจกรรมผู้มุมานะทั้งหลาย   แกนนำนปช.ทั้งหลาย    และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยด้วยเช่นกัน!!!?

 

     ทำไมถึงคิดเช่นนั้น...???     ก็เพราะนักวิชากล้วยอย่างผมเห็นว่า   สิ่งที่พวกคุณทำ   กำลังทำ    มันไม่เป็นประโยชน์ในการที่จะช่วยเหลือเยียวยาเหล่าผู้ที่สูญเสีย เหล่าผู้ที่เจ็บปวดจากเหตุการณ์ล้อมปราบปี53เลยแม้แต่น้อย(อย่าคิดง่ายๆโง่ๆว่า แค่ให้เงินชดเชยแล้วเขาจะหายเศร้า ลืมคนที่ตายซิ บ้าชะมัด!?)     ลองตรองดู   นับแต่หลังการถูกปราบ    มาจนบัดนี้     กลุ่มคนทั้งหลายที่ผมกล่าวมาได้เชิญชวนชาวบ้านประชาชนมาร่วมรณรงค์เรียกร้องทั้งในการช่วยเหลือนักโทษการเมือง   การยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมาย ม.112     และการเรียกร้องให้เอาผู้กระทำผิดสั่งฆ่า    และฆ่าประชาชนมาลงโทษ   ทำกันมากี่ครั้งแล้วครับ...??     และผลเป็นอย่างไรบ้าง    สำเร็จตามที่ชวนชาวบ้านออกมาตากแดดตากฝนร่วมรณรงค์ด้วยหรือเปล่า...???    มีอะไรคืบหน้าไปบ้าง...???     และสุดท้ายทั้งแกนนำนปช.และนักกิจกรรมทั้งหลายมีโรดแม็ปอย่างไรบ้างในการที่จะขับเคลื่อนข้อเรียกร้องต่างๆเหล่านี้ให้เกิดผลสำร็จได้ต่อไป...???    มีไหมครับ...???     ถ้ามีช่วยเอามาโชว์ด้วย   ชาวบ้าน ประชาชน     มวลชนทั้งหลายจะได้มีความมั่นใจในการที่จะออกไปตากแดดตากฝนร่วมกับพวกคุณมากขึ้นครับ    หวังว่าเหล่ากลุ่มคนทั้งหลายที่ผมกล่าวมา    คงไม่หยุดยั้งการทำงานเพื่อให้บรรลุข้อเรียกร้องเหล่านั้น    ด้วยกำลังปลื้มใจกับการจัดงานรำลึกฯกันอย่างเดียวนะครับ....

     ในฐานะที่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ทิ้งสวนกล้วยไปเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมวลชนที่เคลื่อนไหวในเหตุการณ์ครั้งนั้น    ก็จะเล่าในมุมของของผมบ้างว่า    การเข้าไปร่วมในเหตุการณ์เมษา-พฤษภา53    นอกจากจะไม่ได้เงินได้ทอง    แถมยังต้องวิ่งหนีตายและถูกผู้ดีกรุงเทพด่าว่าหยาบๆคายๆทุกวันทั้งในสื่อฯและแถวๆสวนลุมฯแล้ว     รอดตายกลับมาบ้านก็ต้องมาเห็นสวนกล้วยที่บ้านทรุดโทรม     ยืนต้นแห้งเหี่ยวทิ้งใบแห้งห้อยเกลื่อนกลาดไปทั้งสวน    ผลกล้วยที่ออกมาไม่มีคนเก็บไปขายก็ถูก  นก  กระรอก  กระแต  และค้างคาวเลี้ยงดูปูเสื่อกินกันอย่างอิ่มเอมอ้วนหมีพีมันไปตามๆกัน    โดยเจ้าของสวนอย่างนักวิชากล้วยที่กำลังมึนงงกับชีวิตว่ากรูรอดมาได้ยังไงหว่า..??     ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคิดในแง่บวกว่า  เออ...  ได้บุญ

 

     ค่ำวันที่สิบเมษา   ผมปีนขึ้นไปบนนั่งร้านที่ใครก็ไม่รู้เอามาตั้งไว้ข้างอนุสาวรีย์   เห็นแสงไฟจากปลายกระบอกปืนแล็บแปล็บปลาบแถวๆชั้นสี่ชั้นห้าของโรงเรียนสตรีวิทยา    สักพักลูกกระสุนกระหน่ำใส่อนุสาวรีย์    จะกระสุนจริงหรือปลอมไม่รู้    รู้แต่ว่าอนุสาวรีย์ที่ทำด้วยปูนต่างกะเทาะลอกล่อนออกตามแรงปะทะของลูกปืน    ผมกับคนหนุ่มอีกสองคนที่เสือกปีนขึ้นไปด้วยกัน    ต่างก็รีบกระโดดลงมา   วิ่งไปก้มหลบลูกปืนกับผู้คนอีกมากหลายที่เกาะกลางถนน    เบียดตัวซุกซ่อนในดงต้นเข็มที่ปลูกประดับเกาะกลางถนน       เมื่อได้ยินเสียงแกนนำบนรถประกาศให้ทุกคนรุกคืบเข้าไปอย่าไปยอมมัน    ก็ขยับเดินย่องเข้าไป   ไปให้ใกล้ความรุนแรงที่สุดเท่าที่จะกล้าไป     หลายคนฮึกเหิมห้าวหาษ เขาลุกวิ่งเข้าไปบริเวณถนนดินสออย่างรวดเร็ว    และผมก็ได้แต่หวังว่า    เขาจะไม่เป็นคนที่ถูกหามขึ้นรถกู้ภัยออกมา    

 

     นั่งคิดเล่นๆในดงกล้วยเวลาเหนื่อยๆ     ถ้าวันนั้น   วิถีกระสุนจากปลายกระบอกปืนเบี่ยงออกจากอนุสาวรีย์   ซักนิ้วหรือครึ่งนิ้ว    มันอาจจะวิ่งมาปะทะกลางหน้าผากผมพอดี    และผมก็คงไม่ต้องกระโดดลงมา   แต่จะกระเด็นตกมาแทน   และก็คงจะได้เป็นวีรชน   มีโอกาสดีได้ขึ้นไปบนเวทีร่วมกับแกนนำเป็นครั้งแรกในชีวิต    โดยมีธงคลุมหน้าเลือดไหลอาบร่าง   ไม่ต่างจากพี่วสันต์     และก็คงไม่มีโอกาสได้มานั่งคิดเล่นๆในดงกล้วยอีกต่อไป.....

 

     เกิดมาจนผมเริ่มหงอก   ช่วงชีวิตวัยรุ่นก็เคยได้ไปข้องแวะกับกลุ่มนักเลงอยู่บ้าง    ก็ได้ข้อคิดประจำใจมาข้อนึง   คือ  หากใครต่อยเราหนึ่งหมัด  เราจะเอาคืนสิบหมัด    หากมันทำให้เราเจ็บ  เราจะทำให้มันเจ็บยิ่งกว่าเราสิบเท่า   และหากมันจะฆ่าเราให้ตาย  แต่บังเอิญเราไม่ตาย   เราก็ต้องจัดกลับคืนให้สาสมกับสิ่งที่มันทำ    สามปีกว่าผ่านมา    ยังไม่ได้ทำตามคตินี้เลยแม้แต่นิดเดียว     แม้จะเอานิ้วมือดีดตีนมันก็ยังไม่ได้ทำ   ทำไม่ได้    ไม่มีโอกาสทำ...    เพราะอะไร...??      ไม่รู้...??

 

     ผมเชื่อว่าคนที่ผ่านเหตุการณ์ล้อมปราบในปี53มา     เกือบทุกคนล้วนมีบาดแผลในใจทั้งนั้น   จะเป็นความทุกข์   ความเศร้า   หรือบางคนอาจจะมีอาการณ์ทางจิตอย่างชัดเจนเลยก็ได้     ล้วนเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์จากการที่จะมีคนฆ่าพวกเราทั้งนั้น    คนที่ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้จะมีกี่หมื่นคน   ผมก็คงไม่สามารถบอกได้   แต่ถ้าเรานับรวมญาติๆทั้งหลาย     มันยิ่งจะมากขึ้นอีกหลายเท่า    ทั้งญาติคนตาย   ญาติคนเจ็บ   และญาติผู้ที่เข้าร่วมในเหตุการณ์  

 

      ลองคิดอย่างเอาใจเขามาใส่ใจคุณดู     ถ้าคุณเป็นแม่น้องเกด   คุณรู้ว่าลูกสาวของคุณจะออกไปม็อบ   เธอไม่ได้ไปร่วมเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น    แต่เธอต้องการไป  ช่วยดูแลคนที่เข้ามาร่วมอยู่ในม็อบ       อาจจะมีคนเฒ่าคนแก่สักคนที่   ทนอากาศร้อนไม่ไหวจนเป็นลม   เธอก็จะช่วยดูแ   ล หรืออาจจะมีใครสักคนเดินเหยียบแก้วเลือดไหล    เธอก็จะได้รักษา      คุณรู้ว่าลูกของคุณจะเข้าไปอยู่ในม็อบไปทำงาน   รู้ว่ามันอันตราย    แต่มันก็เป็นงานของลูก    เป็นสิ่งที่ลูกรักและอยากจะทำ   คุณอาจจะพยายามห้ามแล้ว    แต่เมื่อลูกยืนยันอย่างเด็ดขาด    คุณก็ต้องยอมตามใจลูก      โดยคุณอาจจะคิดถึงผลลัพท์ที่เลวร้ายที่สุดว่า    หากเกิดการปราบม็อบขึ้นมา   ลูกคุณอาจจะโดนลูกหลง   โดนตีบ้าง      แต่... เธอจะรอดกลับมา    เธอจะกลับมาบ้าน      คุณใจชื่นขึ้น    เมื่อนึกได้ว่าลูกคุณเป็นพยาบาลใส่ชุดขาวมีตรากาชาดสากล ต่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงกว่าที่คุณคิดไว้    เธอก็น่าจะรอด    เพราะเธอเป็นพยาบาล     เธอไปเพื่อช่วยเหลือคน     จะไม่มีใครทำอันตรายแก่เธอ.....

 

      แต่เธอก็ไม่กลับมา...    คุณซึ่งเป็นแม่เป็นญาติของเธอ    ต้องมาเห็นรูปเธอนอนหงายเหยียดยาว    แน่นิ่ง     มีเลือดเปรอะอยู่ตามตัว     เลือดสีแดงเปื้อนชุดสีขาวมีตรากาชาดที่เธอสวมออกจากบ้าน

 

      ลองคิดว่าคุณเป็นญา    ติ เป็นพ่อแม่พี่น้องของชายหนุ่มอาสาสมัครกู้ภัยที่ถูกยิงปากจนทะลุ     บาดแผลมีรอยไหม้    หลังเหตุการณ์มีคลิปตอนที่เขายังไม่ตายนอนกลิ้งเกลือกร้องคราญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่      ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเขา   ไปใกล้ๆเขา    เพราะกลัวจะถูกยิง    ในทางทหารเรารู้กันว่าตรงนั้นเป็นคิลลิ่งโซน   เป็นจุดที่ผู้ฆ่าสามารถส่องยิงใครก็ได้ที่เข้าไปตรงนั้นอย่างสบาย  เป็นจุดเปิดสำหรับผู้ฆ่าและเป็นจุดอับของผู้ถูกฆ่า    และลูกของคุณก็ร้องคราญครางจนสิ้นใจ.....

 

      ลองคิดว่าคุณเป็นญาติพี่วสันต์     ที่ก่อนที่จะออกมาในวันที่สิบเมษา    พี่วสันต์อาจจะบอกคุณว่า     ที่ต้องออกมาร่วมกับม็อบเสื้อแดง    ก็เพราะชอบนโยบายของทักษิณ     มันทำให้พี่วสันต์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่คิดดอกเบี้ยถูกสำหรับเอามาลงทุนทำนาทำไร่ได้ง่ายขึ้น     มีสวัสดิการรักษาพยาบาลถูกๆเมื่อเจ็บป่วยจ่ายน้อยลง     คนจนสามารถไปโรงพยาบาลได้ง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อน       สิ่งที่เกิดขึ้นกับทักษิณเป็นความผิดปกติ    เป็นความบิดเบี้ยวของกระบวนการต่างๆของประเทศนี้     พี่วสันต์จึงออกมาร่วมด้วยกับม็อบเสื้อแดง      พี่วสันต์พูดเรื่องเหล่านี้บ่อยๆ   บ่อยจนคุณอาจจะรำคาญแซวกลับว่าจะพูดอะไรกันหนักหนาไอ้ขี้โม้นี่     แม้คุณจะไม่ได้ออกมากับพี่วสันต์    แต่คุณก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่วสันต์กำลังทำ       คุณอาจจะคาดหวังว่า     พรุ่งนี้พี่วสันต์อาจจะโทรหาคุณ    หรือกลับไปหาคุณ    บอกว่าจะอาบน้ำ   แล้วจะไปทำงาน    ตอนเย็นก็จะกลับไปม็อบใหม่.....

 

      .....แต่แล้วพี่วสันต์ก็ไม่กลับมา     และไม่ได้โทรหาคุณ       คุณมาเห็นภาพในสื่อ   เป็นภาพชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีแดงสกรีน”เรารักในหลวง”    นอนหงายแนบพื้น    หัวเอียงไปทางขวาเล็กน้อย     ตาหรี่ปรือไม่ปิดสนิท   และศรีษะตั้งแต่เลยดวงตาขึ้นมาถูกระเบิดออกด้วยกระสุนปืนความเร็วสู   ง มันสมองมันยองแตกกระจัดกระจายเป็นเศษก้อนเล็กก้อนน้อย     พื้นถนนที่เขานอนเปรอะไปด้วยเลือดจากศรีษะของชายคนนั้น      และเขาจะไม่กลับมาพูดมาเล่าให้คุยฟัง    ให้คุณได้มีโอกาสพูดแซวเขาอีกต่อไป.....

 

      และถ้าคุณเป็นญาติของน้องเฌอ...      คุณจะคิดยังไง   เมื่อได้เห็นภาพจากมุมสูงที่เผยแพร่ทางเน็ต     เป็นรูปลูกชายของคุณ    เขานอนหงาย    กางขากางแขนเหยียดยาวอยู่บนฟุตบาท    แม้ศรีษะเขาเอียงเล็กน้อย    มีเลือดไหลยาวเป็นทาง   แต่คุณก็จำเขาได้ว่าเป็นญาติของคุณ   เป็นลูกของคุณ      เขาออกจากบ้านไปในคืนวันที่ 14     คุณก็หวังว่าเช้าวันที่ 15   เขาจะกลับเข้าบ้านมาอาบน้ำอาบท่า    กินข้าวและพักผ่อน     แต่เขาก็ไม่กลับมา......

 

     มินับว่าหลังเหตุการณ์     ในเน็ตจะมีการกล่าวหาวิพากษ์โดยผู้เห็นต่างในสังคม   โดยเอาภาพตอนที่เขายังนอนเลือดไหลอยู่บนฟุตบาท   มาเทียบกับภาพที่เอาตัวเขาออกไปแล้วเหลือแต่รอยเลือด    ว่าเป็นการสร้างภาพ    ตัดต่อภาพ      ในขณะที่คุณเป็นญาติ   เป็นพ่อ-แม่   รับรู้อยู่เต็มอกว่านั่นภาพจริง    เป็นเขาจริงๆ   และเขาจะไม่กลับมาอีกจริงๆ        ล่าสุด    ผมเข้าไปอ่านข่าวของน้องเฌอ   ยังมีคนเห็นต่างเข้าไปแสดงความเห็นอย่างเกรียนๆท้ายข่าวอีก    ญาติของเขาเป็นคนสุภาพจึงไปด่ากลับ     แต่....     ถามว่า    ความเจ็บปวดอย่างนี้มันจะเลือนหายไปจากใจหรือ...??     มันจะจางหายไปจากใจหรือ...??     ลองคิดว่าถ้าคุณเป็นญาติของน้องเฌอดู.....

 

     ทำไม...??    ผมถึงต้องเอาคุณเข้ามาอยู่ในสถานการณ์เอาใจเขามาใส่ใจคุณเช่นนี้    นั่นก็เพราะต้องการให้คุณทราบถึงสิ่งที่มันอยู่ในใจของพวกเขา    สิ่งที่อยูในใจของหล่าผู้สูญเสีย    ว่ามันป็นอย่างไร     และคุณจะได้รู้ว่าทำไม...??        มันถึงได้เกิดเหตุการณ์ต่างๆที่คนหล่อๆสวยๆอย่างพวกคุณรู้สึกว่าไม่เห็นด้วย   ไม่โอเค    ไม่ช่วยให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมันเดินหน้าได้เช่นใจคุณคิด...    นั่นแหละ...

 

     ก็เพราะว่าความเจ็บปวด    ความทุกข์ทรมานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์    ของญาติๆที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปมันยังไม่ได้รับการชำระ   สะสาง   ทำให้คลี่คลายยังไงล่ะ......

 

     เห็นไหม..??      เห็นการออกมาของเหล่าญาติวีรชนไหม...??    เห็นข้อเรียกร้องของพวกเขาไหม...??      นั่นแหละคือการยืนยันถึงสิ่งที่เป็นความเจ็บปวดที่อยูในใจของพวกเขา    พวกคุณเห็นกันบ้างหรือเปล่า.!?      นักหลักการประชาธิปไตยทั้งหลาย...!!!?

 

     พวกเขาต้องการให้คนทำผิดต้องถูกลงโทษ    ทั้งผู้สั่งการในศอฉ.    และทหารที่ออกมาลั่นไกยิงญาติๆของพวกเขาด้วย     นี่คือข้อเรียกร้องของพวกเขา     ถามว่า แล้วพวกคุณเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของพวกเขาหรือเปล่า...?     ถ้าเห็น   ก็คิดยังไงกับข้อเรียกร้องเหล่านี้...?     ควรจะเดินหน้าช่วยเหลือพวกเขา     หรืออยู่นิ่งเฉยออกรายการทีวีสรรค์สร้างหาคำหล่อๆเท่ห์มาพูดเสริมบารมีตัวเองและคอยด่าพวกที่ทำผิดหลักการประชาธิปไตยอย่างเช่นที่เป็นอยู่ ...???

 

     สามปีผ่านไปทั้ง     อยากถาม   แกนนำ  นปช.ผู้ได้ดิบได้ดีทั้งหลาย    และนักกิจกรรมผู้ได้ดีเช่นกัน  ว่า     พวกคุณทำอะไรเพื่อคลี่คลายความวิตกทุกข์ร้อนของเหล่าญาติวีรชนบ้าง    คุณออกมารณรงค์ทำกิจกรรมหลายครั้งมากในช่วงเวลาสามปีมานี้      และสิ่งที่คุณทำ    ที่คุณรณรงค์นั้น    มีอันไหนบ้างที่มันสำเร็จ     มีอันไหนบ้างที่ข้อเรียกร้องของคุณบังเกิดเป็นผลอย่างเป็นรูปธรรม  มีไหม..???       ผมเห็นแต่พวกคุณสร้างกระแสเรื่องนี้มั่ง    เรื่องนั้นมั่ง    สร้างกระแสไปวันๆ    เป็นครั้งครา     พอเรียกมวลชนมาช่วยชงเรื่องนี้ไป    ไม่สำเร็จผล     ก็เปลี่ยนไปชงเรื่องอื่นใหม่     แล้วก็เรียกมวลชนมาร่วมช่วยไปอีก    ซึ่งก็ไม่ประสบผลสำเร็จอะไรอีก   ได้แต่รณรงค์    ยื่นเรื่อง   แล้วก็เปลี่ยนไปเล่นประเด็นใหม่ต่อ     ทำตัวราวกับNGOsหิวเงิน     คิดหาโครงการมากหลายไปขอเงินซะงั้น!!!     (NGOsทั้งหลายถ้ามาอ่านตรงนี้อย่าเพิ่งดิ้น   รอก่อน   เพราะผมคิดว่าจะเขียนบันทึกวิจารณ์พวกท่านอย่างเต็มๆอยู่    ตอนนี้นิ่งไว้ก่อน  คนดี... ;)  )  

 

     ทั้งแกนนำนปช.และนักกิจกรรมต่างๆต้องรู้ไว้ด้วยว่า     นอกจากนักการเมืองพรรคเพื่อไทยแล้ว     พวกคุณต่างก็ได้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาทั้งสิ้น     ลองตรองดู    ก่อนหน้าที่จะมีการออกมาประท้วงนับตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 49    พวกคุณทั้งหลายอยู่ในหลืบซอกไหนของสังคม    สังคมแทบจะไม่รู้จักพวกคุณทั้งนั้น ใช่ไหม..??     ครั้นพอมีการออกมาประท้วงปี 52 ปี 53 นี่ไง     พวกคุณก็เริ่มมีชื่อในสังคม    มีบทบาท    สื่อเริ่มสป็อตไลท์ส่องคุณ    เริ่มอยากถามความเห็นของพวกคุณที่มีต่อประเด็นสาธารณะต่างๆ    จริงไหม..??

 

     ในเมื่อพวกคุณต่างได้ดีจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น     ซึ่งต่างจากมวลชนที่เข้าร่วมเป็นพลังเคลื่อนไหวร่วมกับพวกคุณ     ที่ต่างต้องกลับไปทำมาหากินเลี้ยงตัวเหมือนเก่า      คนเป็นลูกจ้าง   ก็ต้องกลับไปเป็นลูกจ้างเช่นเดิม     คนทำงานโรงงานก็กลับไปเป็นพนักงานโรงงานเหมือนเดิม    คนเป็นเจ้าของกิจการก็กลับไปทำธุรกิจเช่นเดิน    พนักงานราชการถ้ายังไม่ถูกไล่ออก   ก็กลับไปเป็นจนท.ราชการเช่นเดิม     ส่วนเกษตรกร   ก็กลับไปทำไร่ไถ่นาเช่นเดิม   เช่นผม   ก็กลับมาอยู่กับสวนกล้วยเหมือนเดิม  เป็นต้น        พวกเขา...  เรา...  ทั้งหลาย    ต่างแทบไม่ได้อะไรเลยหลังการไปเสี่ยงตาย     นอกจากได้เลือกรัฐบาลเท่านั้น    ซึ่งต่างจากพวกคุณ ที่ก็ได้สถานภาพใหม่ไปตามๆกัน    บางคนจากแกนนำกิ๊กก็อกโนเนม  ก็ได้เป็นรัฐมนตรี      บางคนก็ได้เป็นที่ปรึกษามีตำแหน่งหน้าที่     มีเงินเดือนกิน    มีคนเดินตามก้นไป     หรือบางคนก็มีพื้นที่ให้ทำสื่อฯ    จัดรายการทำทีท่าชวนคนมาเรียกร้องประชาธิปไตยกันใหญ่     กลายเป็นธุรกิจรายการสื่อสารมวลชนที่ทำเงินจากคำว่าประชาธิปไตยซะงั้น...

 

     แรงไหม..???    ที่ผมวิพากษ์พวกคุณอย่างนี้..??     ถ้าแรง   ผมก็จะบอกว่าทำไมถึงต้องแรง...

 

     นั่นก็เพราะว่า   ผม  ไม่เห็นว่าด้วยตำแหน่งฐานะที่คุณอยู่คุณเป็น   มันจะช่วยปลุกจิตสำนึกให้พวกคุณเข้าช่วยผลักดันข้อเรียกร้องของพวกเรา    เหล่ามวลชนต่างๆให้เกิดเป็นจริงได้ขึ้นมาไงล่ะ    เราออกไปม็อบเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภานั่นก็ใช่แน่นอน     แต่อีกอย่างก็คือ   เราออกไปเพื่อต้องการให้สังคมนี้ปฏิรูปตัวมันเองให้เป็นประชาธิปไตยด้วย     ตรงนี้ละสำคัญ   และเห็นไหมว่า    มันมีอะไรดีขึ้นกว่าก่อนบ้าง    นอกจากได้รัฐบาลที่มีนายกฯยิ้มสวย...???

 

     อยากให้แก้ไขกฎหมายข้อนั้นบ้าง   ข้อนี้บ้าง    ก็บอกว่าแก้ไขไม่ได้    ถ้าแก้จะเป็นงั้นเป็นงี้   จะถูกต่อต้าน   จะถูกล้ม   เออ... ไม่แก้ก็ไม่แก้       อยากให้ช่วยนักโทษการเมืองที่ติดคุกเพราะออกไปเรียกร้องด้วยกันในปี 54  ก็ไม่ได้     บอกว่าจะเป็นงั้นเป็นงี้    ติดนั่นติดนี่ไปเรื่อยๆ       ถามจริง....???    ไม่ละอายมั่งเหรอว่า   ที่ได้ดิบได้ดีทุกวันนี้ก็เพราะพวกคุณมีมวลชนเหล่านี้แหละที่ออกมาช่วยเหลือหนุนหลังจนได้ในทุกสิ่งเช่นทุกวันนี้...

 

      ระบบพรรคการเมืองที่เป็นมรดกเลวๆตกทอดกันมาตั้งแต่    รัฐธรรมนูญปี 40     ก็คือ  การให้สิทธิอำนาจแก่พรรคการเมืองมากจนเกินไป    ซึ่งตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างมาก    เพราะอะไร...???

 

     เพราะ   เมื่อพรรคการเมืองมีอำนาจมาก   ก็จะกลายเป็นผู้เลือกสส.    กลายเป็นผู้เลือกผู้สมัครสส.ในทุกพื้นที่ด้วยตัวเอง    ซึ่งตรงนี้เป็นการตัดขาดอำนาจในการเลือกจากประชาชนในพื้นที่     เพราะในระบบพรรคใหญ่ไม่กี่พรรคเช่นที่เป็นอยู่     หากพรรคเลือกคนๆหนึ่งลงสมัครในพื้นที่ๆคุณอยู่   แม้คุณจะรู้ว่า   ไอ้นี่แม่งโคตรเลว    ไม่อยากเลือกมันเลย    มันทำตัวเป็นเจ้าพ่ออันธพาล    แต่... คุณก็ต้องเลือกมัน    ในเมื่อคุณชอบพรรคนี้    และก็กลัวว่า   หากคุณไม่เลือก     ไอ้ผู้สมัครของพรรคฝ่ายตรงข้ามที่คุณไม่ชอบขี้หน้ายิ่งกว่า   มันจะได้เป็นแทน

 

      ไม่ต้องพูดถึงการเมืองระดับชาติก็ได้    เอาแค่การเมืองระดับท้องถิ่นเช่นเทศบาล   อบต.ก็ได้     ส่วนมากผู้ที่ได้รับเลือก   ถ้าไม่ใช่มีญาติเยอะ   ก็ต้องใช้เส้นสายเชื่อมต่อทางการเมืองกับพรรคการเมืองต่างๆทั้งนั้น    จึงจะมีสิทธิชน     ะ และด้วยระบบเศรษฐกิจปัจจุบันที่เป็นทุนนิยม   มันก็เปิดโอกาสให้ผู้ที่สามารถฉวยโอกาสจากระบบทุนนิยมให้สามารถสร้างตัวเป็นผู้มั่งคั่งในพื้นที่ได้    และเมื่อมั่งคั่งแล้ว    ถ้าคุณอยากจะรักษาพร้อมเพิ่มเติมความมั่งคั่งนั้น    คุณก็ต้องเข้าสู่ระบอบการเมือง     เพราะมันจะทำให้คุณสามารถเข้าไปกำหนดนโยบายที่จะมีผลต่อชีวิตของคุณ   ต่อธุรกิจของคุณได้      ด้วยเหตุนี้   เราจึงได้เห็นกลุ่มทุนต่างๆดาหน้ากันเข้าสู่ระบอบการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติกันยกใหญ่    โดยที่พวกเขาก็ไม่ได้มีจิตสำนึกในเรื่องประชาธิปไตยแต่อย่างใดเลย    ก็จะให้เขามีจิตสำนึกประชาธิปไตยได้อย่างไร     ในเมื่อประชาธิปไตยคือการให้สิทธิแก่คนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกรวยจน    ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริงๆ   แล้วสาธารณชนเรียกร้องให้มีการตรวจสอบธุรกิจ    กิจการของเขา     ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้   น เขาก็จะไปสนับสนุนช่วยเหลือให้สังคมเป็นประชาธิปไตยทำไม   จริงไหม....???

 

     และเพราะเหตุนี้   จึงทำให้เราเห็นนักการเมืองที่ไม่สนับสนุน   ไม่รู้เรื่อง    ไม่สนใจระบอบประชาธิปไตยเช่นที่เป็นอยู่ไงล่ะ    ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทยนะ   พรรคปรชาธิปัตย์ก็เป็น   พรรคอื่นก็เป็น      ถ้าเถียงถามว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นตรงไหน..??    ก็ให้ลองกลับไปตรวจสอบเรื่องเขาแพง     เรื่องครรชิต ทับสุวรรณ ดู   นั่นแหละ

 

     ในเมื่อระบบพรรคการเมืองในประเทศไทยเป็นอย่างนี้     เรา  ทั้งกลุ่มนักเคลื่อนไหว   และประชาชน    จะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้ประเทศนี้มันเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นอย่างที่เราเรียกร้องต้องการ...???     คำตอบก็มีอยู่แล้ว   เช่น  ที่อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงค์    เสนอให้เสื้อแดง    ให้นปช.เรียกร้องระบบไพรมารี่โหวตจากพรรคเพื่อไทย  เป็นต้น    คือ  ให้ประชาชน    คนในพื้นที่เป็นคนเลือกเองว่าอยากให้ใครมาเป็นสส.เป็นผู้แทนในเขตพื้นที่ของตน    ตรงนี้หากทำได้ ไ   ม่ใช่เฉพาะกับพรรคเพื่อไทย   กับพรรคอื่น   พื้นที่อื่นก็เช่นกัน      ประเทศนี้จะก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น    เพราะอำนาจในการเลือกและควบคุมนักการเมือง   จะอยู่ในกำมือของประชาชนมากขึ้นกว่าปัจจุบัน

 

    พร้อมกันนั้นก็ต้องมีการปฏิรูปกฎหมาย    แก้ไขกฎหมายต่างๆที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไปด้วย       ตรงนี้    หากสภา พรรครัฐบาลเพื่อไทยอิดเอื้อน   ไม่ยอมทำ   ฝ่ายแกนนำนปช.    และกลุ่มแกนนำกิจกรรมต่างๆก็ต้องช่วยกันเรียกร้อง   ต่อรอง   และยื่นข้อเสนอ    ผลักดันให้ทำให้ได้       อย่าดีแต่มาคอยด่าว่า     มวลชนที่ทำไม่ถูกต้องตามหลักการประชาธิปไตย     ก็ในเมื่อระบบของสังคมในประเทศนี้ยังไม่เป็นประชาธิปไตย    จะมาด่าว่า    หรือเรียกร้องจากฝ่ายเดียวนั้น มันไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน    เช่น   คนทำผิด    คนสั่งฆ่าประชาชนยังไม่ถูกลงโทษ    ยังมีหน้าเดินสายทำหน้าทะเล้น     ใช้คำพูดหลอกลวงใส่ร้ายป้ายสีคนตาย    คนเจ็บปวดในสังคมได้อยู่     แล้วพอเหล่าคนผู้เจ็บปวดสูญเสียเข้ากระทำรุนแรงกับพวกนั้น(จากที่อ่านข่าวมาไม่ใช่)     คุณก็มาคอยชี้หน้าด่าพวกเขา    ว่าทำไม่ดี   ทำไม่ถูกต้อง   ผิดหลักการประชาธิปไตย    คุณไม่ชอบอย่างมาก        ซึ่งการกระทำอย่างนี้    นักวิชากล้วยอย่างผมคิดว่ามันไม่โอเ   ค มันเป็นการออกมาพูดอิงหลักการประชาธิปไตยเพื่อจะได้หล่ออย่างหลักลอยของพวกคุณเท่านั้น   แม่งไร้สาระ...

      การที่ประเทศนี้จะเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้จะต้องมีกระบวนการทำความจริงให้ปรากฏ    เอาคนผิดในกรณีล้อมปราบสังหารหมู่ประชาชนมาลงโทษให้ได้    ทั้งคนสั่งการและคนปฏิบัติการ     ตรงนี้จะเป็นการช่วยกำหลาบไม่ให้มีใครคิดกระทำการเลวร้ายอย่างนี้อีก   เพราะเห็นแล้วว่าคนทำมาก่อนต้องได้รับโทษอย่างไร      พร้อมๆไปกับการแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม    ที่ขัดขวางการปฏิรูปประชาธิปไตยต่างๆ   รวมทั้งต้องยกเครื่ององค์กรอิสระต่างๆที่ในปัจจุบันไม่ได้มีอุดมการณ์เพื่อประชาชนอีกด้วย      และที่ขาดไมได้เลยคือ   กองทัพ ขุมกำลังอำนาจที่ช่วยสนับสนุนการกระทำเลวๆทั้งหลายในประเทศนี้มาทุกยุค    ทุกสมัย   ก็จะต้องได้รับการปฏิรูปใหม่เช่นกัน     โดยทำอย่างไร...???      หากคนที่เข้ามาอ่านบันทึกนี้ยังไม่รู้    ก็ควรที่จะได้สนใจอ่านบทความนี้ "ความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่าน" (Transitional Justice)    ดู     เป็นเรื่องราวการชำระสะสางเรื่องราวเลวร้ายต่างๆที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอาเจนตินา    ว่าเขามีกระบวนการต่อสู้   เรียกร้อง   รณรงค์  อย่างไร    จนสามารถผ่านห้วงช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านอันยากลำบากเหล่านั้นมาได้

 

       และนี่ก็คือ    สิ่งที่ชาวอาเจนติน่าได้ทำเพื่อเป็นการปฏิรูปกองทัพใหม่

 

       การปฏิรูปกองทัพ    เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพกลับมาทำรัฐประหารยึดอำนาจอีก     เขาได้พยายามปฏิรูปกองทัพในด้านต่าง ๆ   ดังนี้ 

 

1) จำกัดความรับผิดชอบของกองทัพไว้เฉพาะการป้องกันประเทศจากศัตรูภายนอกเท่านั้น  ห้ามมิให้กองทัพมีบทบาทในด้านความมั่นคงภายในประเทศ

2) ย้ายการทำงานด้านหน่วยข่าวกรองและการปราบจลาจลออกไปจากความรับผิดชอบของกองทัพ

3) ปรับระบบการศึกษาภายในวิทยาลัยกองทัพ  ยกเลิกการปลูกฝังอุดมการณ์แบบเดิม ๆ และเปิดโอกาสให้นักศึกษาทหารได้ศึกษาวิชาของฝ่ายพลเรือน

4) กองทัพต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน  ประธานาธิบดีจะดำรงตำแหน่งผู้นำเหล่าทัพ  รัฐมนตรีกลาโหมและเสนาธิการแต่ละเหล่าทัพเป็นพลเรือน

5) ลดจำนวนนายทหารระดับสูง

6) ลดงบประมาณป้องกันประเทศลงครึ่งหนึ่งเพื่อลดการใช้จ่ายของกองทัพ

7) ลดจำนวนการเกณฑ์ทหารลงเหลือหนึ่งในสาม

8) ปลดนายทหารจำนวนมากออกจากตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจ

 

      และทุกสิ่งที่ผมได้เขียนมา    นั่นก็คือ    ความเห็น   ความต้องการ     รวมทั้งข้อเรียกร้องของผมที่มีต่อกลุ่มองค์กร    พรรคการเมือง    และนักกิจกรรมต่างๆที่ชอบอ้างว่าตนเป็นนักประชาธิปไตยในประเทศนี้    ให้ได้เข้าใจต่อหัวอกของคนที่เจ็บปวดสูญเสีย   ให้ได้รู้ว่าข้อเรียกร้องต้องการของพวกเขาคืออะไร     และสิ่งไหนที่คุณควรจะทำเป็นกรณีเร่งด่วน      เพื่อจะได้ชำระสะสางสังคมนี้ให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง    ไม่ใช่การมานั่งพูดเท่ห์ๆ    อ้างหลักการอย่างเลื่อนลอยเช่นที่เป็นอยู่      ผมจะไม่พูดถึงพวกคุณ    หากพวกคุณไม่ใช่คนที่ได้ผลประโยชน์จากการออกมาเรียกร้องของมวลชน    แต่ในเมื่อเห็นกันชัดๆแล้วว่าพวกคุณต่างได้ประโยชน์จากตรงนี้   ฉะนั้น  นี่ก็ถึงเวลาที่คุณจะใช้ตำแหน่ง   สถานะ   หน้าที่ของพวกคุณมาทำเพื่อมวลชน    เพื่อประชาชนและเพื่อสังคมนี้ให้ก้าวเข้าสู้ความเป็นประชาธิปไตยอย่างจริงๆเสียที

 

     ไม่ใช่จะทำมาเล่นกับอารมณ์ของผู้คนอย่างที่เป็นอยู่    หล่อเลี้ยงอารมณ์ของมวลชนให้อยู่ในความเกลียดชัง    เพื่อจะได้ปลุกระดมง่ายๆ    นานๆทีก็มีจัดกิจกรรมบ้างเพื่อไม่ให้มวลชนหลงลืม  ละเลย    และว่างๆ  ก็หาเรื่องกล่าวหากันเองว่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้กำลังช่วงชิงการนำเช่นที่เป็นอยู่     ซึ่งการทำอย่างนี้เช่นที่ผ่านมา   มันไร้สาระอย่างมาก     มวลชนที่เขาสู้จริงๆ    เขาจะออกมาร่วมตลอดไม่ได้เลือกว่ากลุ่มไหนเป็นผู้นำทำกิจกรรม    ทั้งนี้ก็เพราะเขาคิดว่าสิ่งต่างๆที่ทำนั้น   ก็เพื่อให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยสมดังเจตนาของเขาที่ตั้งใจออกมาสู้เพื่อประชาธิปไตย    เขาไม่สนใจหรอกว่า    กลุ่มไหน?   ใคร?    จะเป็นผู้นำ     ขอแค่ให้มีกิจกรรมที่เขาเห็นว่าจะช่วยเขยื้อนสังคมนี้ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น    เขาก็ไปร่วมด้วยได้หมด   ไม่สนด้วยว่าจะตากแดด    ตากร้อนหรือเปียกฝน      มีแต่พวกคุณเท่านั้นแหละที่คิดว่าตนเป็นกลุ่มนำเท่านั้น    คิดว่าพวกเขา   มวลชนทั้งหลายเป็นคนของคุณ    เป็นสมบัติของคุณ   ที่จะต้องทำตามคุณ    และเดินตามแนวคิดของคุณเท่านั้น      ประชาธิปไตยไม่ใช่ฝูงเป็ดที่ออกเดินเป็นแถวเรียงตามกัน   แต่คือการที่ทุกคนมีความเท่าเทียม    มีสิทธิเสรีภาพ   และสามารถที่จะเลือกเส้นทางเดินไปด้วยตัวของเขาเอง   ฉะนั้น     อย่าอ้างหลักการ   จนหลักลอยพอๆกับที่อย่าทำตัวเป็นเจ้าของมวลชนที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย   เพราะมันทุเรศ...

 

     นักวิชากล้วยอย่างผมจะเผากิ่งมะขามแห้งยังต้องรอเวลาอันเหมาะสม    ซึ่งก็คือช่วงนี้    ที่แถวๆนี้อากาศแห้งไม่มีฝน     ซึ่งผมก็ต้องรีบเผาให้มันเสร็จๆไป   เพราะถ้าปล่อยไปนานๆ    ฝนอาจจะตก  ฟืนก็จะเปียก  ดินก็จะชื้น   ไม่เหมาะและไม่สามารถจุดไฟเผาได้    การต่อสู้รณรงค์เพื่อประชาธิปไตยก็เช่นกัน     สามปีผ่านมาแล้ว    มันเป็นเวลาอันสมควรที่จะผลักดันกระแสทัศน์ในสังคมนี้ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น     ทั้งการผลักดันเรื่องกฎหมาย    การปฏิรูปกฎหมาย    การช่วยเหลือนักโทษการเมือง    การเอาผิดผู้สั่งฆ่าและผู้ฆ่าประชาชน    การทำความจริงในเหตุการณ์สังหารกลางเมืองให้ปรากฎแก่สังคมซึ่งตรงนี้จะช่วยให้สังคมหายจากอาการงมงาย หลงคิดไปตามความเชื่อของตน     เห็นคนผิดเป็นเทวดาเช่นที่เป็นอยู่ได้

 

     สุดท้ายนี้   นักวิชากล้วยก็ขอแนะนำทุกท่านทั้งนักการเมือง,แกนนำนปช.และแกนนำกลุ่มรณรงค์ต่างๆ ว่า     อย่าได้เป็น-อยู่โดยการหลอกลวงมวลชน    ตนอยู่ในสถานะที่ดีแล้ว   ก็ช่วยกันกล่อมเกลามวลชนไว้เพื่อให้เป็นบาทฐานค้ำยันสถานะของตนให้มั่นคงเท่านั้น       ทำอย่างนี้มันไม่แฟร์   ไม่โอเค   ไม่เอา...      มวลชนจะยังอยู่กับพวกคุณเรื่อยไปแน่นอน    หากคุณทำและอยู่เพื่อต่อสู้ผลักดันให้สังคมนี้เป็นประชาธิปไตย    ให้มันก้าวหน้าต่อไปมากๆยิ่งขึ้น    แต่อย่าได้คิดหลอกลวงพวกเขาให้เป็นเพียงแค่ฐานเสียง    เพื่อคำจุนตำแหน่งในอำนาจของพวกคุณเท่านั้น    เพราะหากวันไหนที่เขาเห็นคุณอย่างล่อนจ้อน    มวลชนจะผละจากคุณ    และคุณจะไม่เหลืออะไรเลย.....

 

     : ปล. คำว่ากล้วยในบันทึกนี้    ทุกคนจะคิดไปถึงผลไม้ที่กินได้ก็ได้    หรือจะคิดไปถึงความหมายของคำว่ากล้วยที่ ชวนชั่ว   ชอบใช้กับ   อ็อตโต้   ในเรื่องพันธุ์หมาบ้าก็ได้เช่นกัน .......


     : ข้อความทั้งหมดในบันทึกนี้ล้วนเป็นของนักวิชากล้วยท่านหนึ่งเท่านั้น....     หาได้เกี่ยวข้องกับผู้อื่น   ผู้ใด   หรือชายชุดดำแต่อย่างไรไม่....    ;P

 

อ่านเพิ่มเติมนะจ๊ะ... ;) 

 

http://www.matichon.co.th/mtc-flv-window.php?newsid=1289207655

http://www.prachatai.com/journal/2013/06/47182

http://www.prachatai.com/journal/2013/06/47214

บล็อกของ Road Jovi

Road Jovi
      เมื่อวาน ผมได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือจากชายชาวม้งคนหนึ่ง ซึ่งเขามีคนป่วยเรื้อรังเป็นแม่ของเขาเองที่อายุเยอะแล้ว และเป็นโรคกระดุกพรุน ลุกนั่งไม่ได้ ซ้ำมีแผลกดทับอันใหญ่ๆอีกด้วยสองแผล เขาทราบจากเพื่อนบ้านว่าที่องค์กรที่ผมทำงานอยู่สามารถให้ความช่วยเหลือเรื่องผ้าอ้อมผู้ป่วย ยาทา
Road Jovi
เพราะไม่รู้ จึงต้องไปดูให้เห็นกับตา
Road Jovi
     จากการอ่านปาฐกถาของท่านกีรตยาจารย์ ผมพบว่า มีความเห็นบางอย่างที่น่าจะเป็นการมองสังคมอย่างคลาดเคลื่อนไปจึงไคร่อยากจะแสดงความเห็นในมุมของผมบ้างเกี่ยวกับปาฐกถาดังกล่าว ดังนี้
Road Jovi
     ฝนตกกลางคืน  ตอนนี้ก็ยังโปรยปรายเป็นสายและพักหยุดบ้างในบางช่วง  ลมพัดเอื่อยๆเรื่อยๆพาความเย็นมาต้องตัวเป็นพักๆ    เป็นบรรยากาศที่น่านอนหลับสำหรับคนที่อยากหลับ   และเป็นบรรยากาศที่น่าดื่มสำหรับผู้ที่อยากดื่ม       แต่สำหรับนักวิชากล้วยผู้
Road Jovi
     ปลูกกล้วยก็ต้องดูแลรักษา   หากฝนแล้งก็ต้องรดน้ำเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง   จนสามารถให้ผลผลิตคือ   เครือกล้วย   ผลกล้วยและปลีกล้วยได้    ต้นกล้วยก็ต้องการแสงแดดเพื่อสังเคราะห์อาหารหล่อเลี้ยงต้น   ในสวนกล้วยมีต้นมะขามใหญ่ยืนแผ่ร่ม
Road Jovi
     พักหลังมานี่  ผมเหมือนผู้หญิงเป็นเมนส์    คือหงุดหงิดพลุ้งพล่านอารมณ์เดือดได้ง่าย   เมื่อมีใ
Road Jovi
 “คุณครูค่ะ ถ้าหนูเรียนจบ ม.6 หนูมาทำงานกับคุณครูได้ไหมค่ะ...”
Road Jovi
 “เด็ก ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายควรได้รับการศึกษา และอยากให้สันติภาพเกิดขึ้นในประเทศของเธอและทั่วโลก...” นี่คือคำให้สัมภาษณ์ครั้งแรกของเด็กหญิงมาลาล่า ยูซุฟไซ หลังจากเธอเริ่มฟื้นตัวจากการอาการบาดเจ็บที่ถูกนักรบตอลีบันจ่อยิง...
Road Jovi
       ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ เป็นคำกล่าวของใครก็ไม่รู้ แต่ผมอยากจะแปลงเป็นอย่างนี้ว่า ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้และหนี...  น่าจะเป็นคำกล่าวที่ตรงที่สุด สำหรับการนิยามความหมายให้แก่การดิ้นรนของชาวโรฮิงญาในเวลานี้...