Skip to main content

เฮ่อ.... เหนื่อยเหมือนกันนะ เห็นตรรกะการออกมาสนับสนุนเห็นด้วยกับพรบ.สุดซอยนี้แล้ว...

ถ้าเพื่อหวังความสงบสุขสมานฉันท์ แล้วเราต้องลืม ต้องยกเว้นกันไปนี่ เขาทำมากันเท่าไหร่แล้ว หลายครั้งแล้วในประวัติศาสตร์ และผลสุดท้าย ลืมกันได้ไม่นานก็ออกมาฆ่ากันอีก เพราะอะไร..??

เพราะต้นตอของสังคมคือความเท่าเทียมเป็นธรรม ความเสมอภาคภายใต้กฎหมายเดียวกันมันไม่มี คนรวยก็จับมือกันสร้างฐานะค้าขายร่ำรวยกันไป ปล่อยให้คนจนจมอยู่กับความสิ้นไร้โอกาสก้มหน้าดักดานกับความทุกข์ยาก กับการต้องถูกเอารัดเอาเปรียบผ่านระบบกลไกอำนาจรัฐและระบบทุนที่คนรวยชนชั้นกุมอำนาจวางแนวทางไว้ให้ วางแม้กระทั่งเงื่อนไขแนวทางในการกีดกันคนจนหรือคนรวยที่อยู่นอกวงให้ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในวงการเมืองที่จะมีส่วนในการแก้ไขหรือออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ได้ ประเทศนี้มันก็เป็นไปและเดินมาอย่างนี้

ถามว่า แล้วหากเราไม่เอาพรบ.เหมาเข่งสุดซอย ยืนยันจะแยกฆาตรกรออกจากเข่งใบนี้ให้ได้มันจะเกิดผลอย่างไร...?

ตอบได้อย่างนี้ว่า ข้อแรก มันจะเป็นการปฏิรูปกฎหมาย ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของรัฐไทยให้กลับเข้ารูปเข้ารอยเยี่ยงอารยะ ไม่มีประเทศไหนใดๆในโลกที่คนผิดจะไม่ต้องได้รับโทษ ไม่นับว่าจะผิดเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ซึ่งการฆ่าคนตายนี่เป็นความผิดอย่างใหญ่หลวง กระบวนการทางกฎหมายของประเทศต่างๆยิ่งจะปล่อยปละละเลยฆาตรกรไว้ไม่ได้ ซึ่งเราก็ควรจะทำตามอย่างเขาเช่นกัน และผลพลอยได้จากการเอาผิดฆาตรกรนี้ มันก็ยังจะเป็นการป้องปรามคนที่อยู่ในอำนาจ ที่มองไม่เห็นหัวประชาชนตัวเล็กตัวน้อย พวกที่คิดจะบีบคั้นบังคับประชาชน จะได้ยั้งคิด ตรึกตรองเสียก่อน ไปจนถึงให้รู้สึกกลัวว่าจะถูกเอาโทษเมื่อทำผิด

ข้อสองเมื่อสามารถจัดการเอาผิดฆาตรกรตัวใหญ่ที่มีนายหนุนหลังได้อย่างนี้แล้ว นอกจากจะช่วยให้ระบบยุติธรรมตั้งมั่นในหลักนิติรัฐนิติธรรมมากขึ้น มันก็จะส่งผลไปช่วยในการปฏิรูปสังคมประชาธิปไตย คนตัวเล็กตัวน้อยที่ถูกคนตัวใหญ่หรือรัฐรังแก เขาก็จะกล้าออกมาเรียกหาความยุติธรรมให้แก่ตัวเขาเองและครอบครัว กล้าที่จะชน เปิดโปงสิ่งที่ไม่ดีไม่งามที่ผู้มีอำนาจหรือคนรวยกระทำแล้วซ่อนแอบปกปิดไว้ เมื่อทุกคนในประเทศนี้ต่างเชื่อว่า ระบบยุติธรรมในประเทศไทยมันเที่ยงตรงและเป็นธรรมจริงๆ สามารถให้ความเป็นธรรมแก่พวกเขาได้ พวกเขาก็ย่อมกล้าที่จะออกมาพูด ออกมาเรียกหาความเป็นธรรม เมื่อคนในสังคมมองกันอย่างเป็นคนเท่าเทียม มันก็เท่ากับเป็นการปฏิรูปสังคมให้เป็นกระชาธิปไตยนั่นเอง

ไม่ใช่อย่างปัจจุบันที่คนจนยังต้องคอยปกปิดคอยหลบคนใหญ่โต คนมีอำนาจที่มารังแก บีบคั้น บังคับ  เพราะรู้ว่าหากออกมาต่อสู้เรียกร้อง นอกจากจะไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตนจะต้องเจอกับความเลวร้ายอะไรอีกบ้าง

เมื่อผู้คนในสังคมทุกชนชั้นทั้งจนรวยต่างมองกันอย่างเท่าเทียมภายใต้ระบอบยุติธรรมที่เที่ยงธรรม สังคมก็จะเปิดกว้างแก่การตรวจสอบมากขึ้น ปัญหาหลายๆอย่างในสังคมที่เราได้ยินได้ฟังจนรู้สึกเอียนทุกวันนี้ก็จะได้รับการตรวจสอบ ตีแผ่ เปิดโปง และสุดท้ายมันก็จะได้รับการแก้ไขให้หายไปหรือลดน้อยลง ทั้งปัญหาของสังคมในเมือง(ฝนตกรถติดหงุดหงิดน้ำท่วมสลัมอาชฌากรการจราจรการกดขี่การรีดไถ่สิทธิแรงงานมลภาวะ และอื่นๆฯลฯ) และปัญหาในชนบท(น้ำท่วมฝนแล้งอาชฌากรการจราจรการกดขี่การรีดไถ่ปัญหาสินค้าเกษตรการสร้างเขื่อนทำฝายสิทธิชุมชนคนชายขอบแรงงานต่างด้าว และอื่นๆ ฯลฯ) เมื่อคนในสังคมเราเท่าเทียมกัน ปัญหาต่างๆดังกล่าวจะลดน้อยลง พูดตรงๆได้ว่า ปัญหาต่างๆที่สะสมในสังคมนี้จะสามารถแก้ไขได้ก็ด้วยการปฏิรูปสังคมให้เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น!

หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วยที่ว่าการเอาผิดฆาตรกรฆ่า,สั่งฆ่า,อำนวยการฆ่าประชาชนจะช่วยแก้ไขปัญหาอื่นๆในสังคมได้... ก็แน่ล่ะ มันไม่ได้ช่วยแก้ได้โดยตรง แต่มันจะช่วยโดยอ้อมและมันจะเป็นบรรทัดฐานหลักในการสร้างสังคมประชาธิปไตย เป็นก้าวใหญ่ๆในการเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ให้เป็นประชาธิปไตยโดยเริ่มด้วยการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างขนานใหญ่แบบพลิกฝ่ามือ

ส่วนใครที่ยังสงสัยว่า แล้วการเดินไปตามแบบพรบ.เหมาเข่งสุดซอยคือ ละเว้นไม่เอาโทษฆาตรกร มันจะไม่ช่วยสร้างสังคมที่ดีงาม สังคมที่เป็นประชาธิปไตยได้หรือ...? ตรงนี้ตอบง่ายมาก ขอให้ท่านมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ มองย้อนกลับไปพิจารณาดูว่า การไม่เอาผิดฆาตรกรคนทำผิดคนสั่งฆ่าประชาชนมันส่งผลอย่างไรต่อมาบ้าง อย่างแรก เป็นการทำลายระบบยุติธรรม ซึ่งเมื่อทำกันบ่อยๆมันก็ส่งผลให้ตาชั่งของกระบวนการยุติธรรมไทยเอียงกะเท่เร่อย่างถาวรมาจนทุกวันนี้ จนเกิดคำกล่าวที่ว่าคุกเมืองไทยมีไว้ขังแพะกับคนจนเท่านั้น!

และเมื่อเราเริ่มต้นกันไว้ไม่ดี ติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ย่อมไม่ถูกและส่งผลให้สังคมเดินย่ำซ้ำความผิดพลาดอีกต่อๆไป เช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้แหละ

พรบ.สุดซอยคือกระบวนการสร้างความเฉื่อยชาลืมเลือนให้แก่สังคม เป็นการเดินย่ำไปบนวัฒนธรรมที่เลวร้ายผิดบาปคือ การซุกปัญหาซุกเศษสวะไว้ใต้พรม ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้แล้ว ยังเป็นการหมักหมมสะสมจนเกิดเป็นภาวะการณ์ดินพอกหางหมูอีกด้วย 

ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง เพื่อเริ่มบาทฐานในการแก้ไขปัญหาที่หมักหมมในสังคมนี้อย่างถูกต้อง ถาวร เราจะต้องเริ่มด้วยการแก้ไขกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้องเสียก่อน โดยเริ่มจากปฏิรูประบบยุติธรรมในประเทศนี้ ด้วยการเอาผิดคดีฆาตรกรสั่งฆ่าประชาชนกลางเมืองนี่แหละเป็นบาทฐานก้าวใหญ่ในการเดินหน้าประเทศไปสู่ความเป็นธรรมและเท่าเทียม เป็นสังคมประชาธิปไตยต่อไป จงจำไว้ว่า ยิ่งศัตรูตัวใหญ่ หากโค่นมันลงได้ นั่นก็จะยิ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านพลิกผันสังคมอย่างยิ่งใหญ่!!!

ฉะนั้น ใครที่อยากร่วมช่วยแก้ปัญหาของประเทศนี้ให้ถูกต้อง ถาวร และยั่งยืน พรุ่งนี้มาร่วมกินแม็คฯ และร่วมแสดงพลัง ไม่เอาพรบ.เหมาเข่งสุดซอยที่สี่แยกราชประสงค์กันครับ!!! :) :) :)

บล็อกของ Road Jovi

Road Jovi
      เมื่อวาน ผมได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือจากชายชาวม้งคนหนึ่ง ซึ่งเขามีคนป่วยเรื้อรังเป็นแม่ของเขาเองที่อายุเยอะแล้ว และเป็นโรคกระดุกพรุน ลุกนั่งไม่ได้ ซ้ำมีแผลกดทับอันใหญ่ๆอีกด้วยสองแผล เขาทราบจากเพื่อนบ้านว่าที่องค์กรที่ผมทำงานอยู่สามารถให้ความช่วยเหลือเรื่องผ้าอ้อมผู้ป่วย ยาทา
Road Jovi
เพราะไม่รู้ จึงต้องไปดูให้เห็นกับตา
Road Jovi
     จากการอ่านปาฐกถาของท่านกีรตยาจารย์ ผมพบว่า มีความเห็นบางอย่างที่น่าจะเป็นการมองสังคมอย่างคลาดเคลื่อนไปจึงไคร่อยากจะแสดงความเห็นในมุมของผมบ้างเกี่ยวกับปาฐกถาดังกล่าว ดังนี้
Road Jovi
     ฝนตกกลางคืน  ตอนนี้ก็ยังโปรยปรายเป็นสายและพักหยุดบ้างในบางช่วง  ลมพัดเอื่อยๆเรื่อยๆพาความเย็นมาต้องตัวเป็นพักๆ    เป็นบรรยากาศที่น่านอนหลับสำหรับคนที่อยากหลับ   และเป็นบรรยากาศที่น่าดื่มสำหรับผู้ที่อยากดื่ม       แต่สำหรับนักวิชากล้วยผู้
Road Jovi
     ปลูกกล้วยก็ต้องดูแลรักษา   หากฝนแล้งก็ต้องรดน้ำเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง   จนสามารถให้ผลผลิตคือ   เครือกล้วย   ผลกล้วยและปลีกล้วยได้    ต้นกล้วยก็ต้องการแสงแดดเพื่อสังเคราะห์อาหารหล่อเลี้ยงต้น   ในสวนกล้วยมีต้นมะขามใหญ่ยืนแผ่ร่ม
Road Jovi
     พักหลังมานี่  ผมเหมือนผู้หญิงเป็นเมนส์    คือหงุดหงิดพลุ้งพล่านอารมณ์เดือดได้ง่าย   เมื่อมีใ
Road Jovi
 “คุณครูค่ะ ถ้าหนูเรียนจบ ม.6 หนูมาทำงานกับคุณครูได้ไหมค่ะ...”
Road Jovi
 “เด็ก ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายควรได้รับการศึกษา และอยากให้สันติภาพเกิดขึ้นในประเทศของเธอและทั่วโลก...” นี่คือคำให้สัมภาษณ์ครั้งแรกของเด็กหญิงมาลาล่า ยูซุฟไซ หลังจากเธอเริ่มฟื้นตัวจากการอาการบาดเจ็บที่ถูกนักรบตอลีบันจ่อยิง...
Road Jovi
       ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ เป็นคำกล่าวของใครก็ไม่รู้ แต่ผมอยากจะแปลงเป็นอย่างนี้ว่า ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้และหนี...  น่าจะเป็นคำกล่าวที่ตรงที่สุด สำหรับการนิยามความหมายให้แก่การดิ้นรนของชาวโรฮิงญาในเวลานี้...