Skip to main content

ไม่มีเสียงใดๆ ความเงียบยังปกคลุม กสม.

จนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นแถลงการณ์ ไม่เห็นการโผล่ออกมากล่าวคำใดของ กสม. ต่อกรณีการถูกลอบดักยิงจนเสียชีวิตของคุณไม้หนึ่ง ก.กุนที หรือนายกมล ดวงผาสุก กวีและนักเคลื่อนไหวเสื้อแดง
ไม่ว่าจะเป็นการพูดในนามองค์กร กสม.เอง หรือการพูดแบบเป็นส่วนตัวของคณะกรรมการ กสม.

หากนำไปเทียบกับกรณีของคุณบิลลี่ นายพอละจี รักจงเจริญ ที่สูญหายไป  เพียงวันที่สองของการแพร่ข่าวในโลกออนไลน์ คณะกรรมการ. กสม.บางคนอย่างหมอนิรันดร์ก็ออกมากล่าวถึงแล้ว
และยิ่งนำไปเทียบกับเคสอื่นๆที่เกิดกับ กปปส. หรือ ปชป. นั่น! แอ๊กชั่นของ กสม.ก็ยิ่งออกมาได้อย่างรวดเร็วและแกร่งกร้าวกระตือรือร้น...
การที่ กสม. รีบมีแอ๊กชั่นออกมาต่อกรณีของคุณบิลลี่และคนอื่นๆ นั่นก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมและสมควรมาก แต่ กสม.ก็ควรจะรีบมีแอ๊กชั่นเช่นนั้นต่อกรณีของคุณไม้หนึ่งด้วยเช่นกัน! นี่ จึงจะเป็นการทำงานเพื่อรักษาสิทธิมนุษยชนให้แก่ทุกคนในสังคมอย่างเท่าเทียม ทั่วหน้า! ตามอำนาจหน้าที่ของ กสม.


แต่... สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ก็คือ กับกรณีคุณไม้หนึ่ง ตอนนี้... ทุกสิ่งทุกอย่างในองคาพยบของ กสม.ยังเงียบ....  เงียบเหมือนเป่าสาก! เงียบเหมือนอยู่ในถ้ำอับตันไม่มีลมผ่าน!

การที่องค์กรสิทธิ์มนุษยชนสากล(ฮิวแมนไรท์วอทช์) เขาต้องรีบออกแถลงการณ์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณไม้หนึ่ง นั่นก็เพราะเขากังวล ห่วงใย ถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ทั้งยังเกรงว่าหากนิ่งเฉยในเรื่องนี้ ก็อาจจะทำให้เกิดการละเมิดสิทธิฯอย่างนี้มากขึ้นอีก และยังเกรงว่ากรณีของคุณไม้หนึ่งนี้ หากไม่ได้รับการสะสาง ทำความจริงให้กระจ่าง ก็อาจจะเป็นเหตุชักนำสังคมไทยเข้าไปสู่ภาวะสงครามได้ นี่จึงเป็นเหตุที่องค์กรสิทธิฯระดับสากลต้องรีบออกแถลงการณ์ต่อกรณีของคุณไม้หนึ่งอย่างรวดเร็ว ฉับไว ในขณะที่องค์กรสิทธิในไทยยังอมสากกันอยู่

เราจะอยู่กันไปอย่างนี้หรือ...!?

มันจะอยู่กันอย่างนี้ต่อไปไม่ได้!!

คน ต่างความคิดเห็นนั่นก็พอจะเห็นต่างและแยกกันอยู่ได้ แต่กับองค์กรที่เกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องและยืนยันสิทธิความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกคนในสังคม คุณจะเลือกปฏิบัติ เลือกที่จะเห็นเฉพาะสิทธิของบางคนบางกลุ่ม ส่วนอีกกลุ่มก็ปิดตาหรือหันหน้าหนีทำมองไม่เห็นอย่างนี้ไม่ได้!!  เพราะมันเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการ ขัดต่อมโนธรรม ขัดต่อจรรยาบรรณขององค์กรสิทธิมนุษยชนขั้นเลวร้าย!!!

ลองกลับไปอ่านหน้าที่ข้อแรกของ กสม.ตามบทบัญญัติมาตรา 257 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่กำหนดให้คณะกรรมการสิมธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้!

 “ 1.ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรืออันไม่เป็นไปตามพันธกรณี ระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำ หรือละเลยการกระทำดังกล่าวเพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอ ให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป”
ถามว่า การถูกลอบสังหารทำร้ายจนถึงแก่เสียชีวิตของคุณไม้หนึ่ง มันผิดหรือเป็นข้อยกเว้นจากหน้าที่ในข้อแรกตามหลักการของ กสม.ตรงไหน?? ไม่มี! ไม่มีเลย!! สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณไม้หนึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่าชัดเจน แจ่มแจ้ง และตรงตามหน้าที่ในข้อที่หนึ่ง ที่ กสม.จะต้องรีบดำเนินงานอีกด้วย!!!

 
องค์กรสิทธิฯเกิดขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครองและยืนยันในสิทธิของมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันทั่วหน้า เพื่อไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่งเกิดความรู้สึกว่าตนถูกข่มเหงรังแกและละเมิดสิทธิแต่เพียงฝ่ายเดียว จนอาจจะนำไปสู่การจับอาวุธลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน

แต่องค์กรสิทธิในไทยที่เป็นองค์กรอิสระจัดตั้งขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพร้อมรับเงินจากภาษีประชาชนคนไทยปีหนึ่งกว่าร้อยเจ็ดสิบสามล้านบาทอย่าง กสม. กลับ.........................................................................................  ...................................................................................................................  เป็น...............................................................................................................................................................................    เช่นที่เป็นอยู่

ผลไม้สวยๆที่ผมเอามาฝาก กสม.ครับ



ผมจึงคิดว่า เอาอย่างนี้ดีไหม หากไม่มีแถลงการณ์ใดๆจาก กสม. ต่อกรณีของคุณไม้หนึ่ง นับแต่นี้ต่อไป ก็ถือว่าเรา ถือว่าประเทศนี้ไม่มีองค์กร กสม. ไม่มีองค์กรที่เกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องและรักษาทั้งยืนยันสิทธิของมนุษย์ทุกคนในสังคม
และหากจะมีการออกแถลงการณ์ใดๆจากกลุ่มคนที่อ้างว่าตนเป็น กสม. นั่น! เราก็ถือว่าเป็นแค่การอ้างของกลุ่มคนอำมหิตที่เลือกข้างเลือกฝ่ายไปแล้ว และเขาออกมาพูดเรื่องสิทธิก็เพื่อจะยกสิทธิของกลุ่มพวกเขาให้เหนือกว่าสิทธิของผู้คนในกลุ่มอื่นๆเท่านั้น!!!
#โบกมือบอกลากันทีประเทศนี้ไม่มีกสม.

:

:

เพิ่มเติม   ข่าวนพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงนายพอละจี รักจงเจริญ http://www.ryt9.com/s/tpd/1880824

               แถลงการณ์ของฮิวแมนไรซ์ว็อทต่อกรณีคุณไม้หนึ่ง http://prachatai.com/journal/2014/04/52855

               อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ http://www.nhrc.or.th/2012/wb/th/contentpage.php?id=2&menu_id=1&groupID=1&subID=2

บล็อกของ Road Jovi

Road Jovi
      เมื่อวาน ผมได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือจากชายชาวม้งคนหนึ่ง ซึ่งเขามีคนป่วยเรื้อรังเป็นแม่ของเขาเองที่อายุเยอะแล้ว และเป็นโรคกระดุกพรุน ลุกนั่งไม่ได้ ซ้ำมีแผลกดทับอันใหญ่ๆอีกด้วยสองแผล เขาทราบจากเพื่อนบ้านว่าที่องค์กรที่ผมทำงานอยู่สามารถให้ความช่วยเหลือเรื่องผ้าอ้อมผู้ป่วย ยาทา
Road Jovi
เพราะไม่รู้ จึงต้องไปดูให้เห็นกับตา
Road Jovi
     จากการอ่านปาฐกถาของท่านกีรตยาจารย์ ผมพบว่า มีความเห็นบางอย่างที่น่าจะเป็นการมองสังคมอย่างคลาดเคลื่อนไปจึงไคร่อยากจะแสดงความเห็นในมุมของผมบ้างเกี่ยวกับปาฐกถาดังกล่าว ดังนี้
Road Jovi
     ฝนตกกลางคืน  ตอนนี้ก็ยังโปรยปรายเป็นสายและพักหยุดบ้างในบางช่วง  ลมพัดเอื่อยๆเรื่อยๆพาความเย็นมาต้องตัวเป็นพักๆ    เป็นบรรยากาศที่น่านอนหลับสำหรับคนที่อยากหลับ   และเป็นบรรยากาศที่น่าดื่มสำหรับผู้ที่อยากดื่ม       แต่สำหรับนักวิชากล้วยผู้
Road Jovi
     ปลูกกล้วยก็ต้องดูแลรักษา   หากฝนแล้งก็ต้องรดน้ำเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง   จนสามารถให้ผลผลิตคือ   เครือกล้วย   ผลกล้วยและปลีกล้วยได้    ต้นกล้วยก็ต้องการแสงแดดเพื่อสังเคราะห์อาหารหล่อเลี้ยงต้น   ในสวนกล้วยมีต้นมะขามใหญ่ยืนแผ่ร่ม
Road Jovi
     พักหลังมานี่  ผมเหมือนผู้หญิงเป็นเมนส์    คือหงุดหงิดพลุ้งพล่านอารมณ์เดือดได้ง่าย   เมื่อมีใ
Road Jovi
 “คุณครูค่ะ ถ้าหนูเรียนจบ ม.6 หนูมาทำงานกับคุณครูได้ไหมค่ะ...”
Road Jovi
 “เด็ก ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายควรได้รับการศึกษา และอยากให้สันติภาพเกิดขึ้นในประเทศของเธอและทั่วโลก...” นี่คือคำให้สัมภาษณ์ครั้งแรกของเด็กหญิงมาลาล่า ยูซุฟไซ หลังจากเธอเริ่มฟื้นตัวจากการอาการบาดเจ็บที่ถูกนักรบตอลีบันจ่อยิง...
Road Jovi
       ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ เป็นคำกล่าวของใครก็ไม่รู้ แต่ผมอยากจะแปลงเป็นอย่างนี้ว่า ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้และหนี...  น่าจะเป็นคำกล่าวที่ตรงที่สุด สำหรับการนิยามความหมายให้แก่การดิ้นรนของชาวโรฮิงญาในเวลานี้...