Skip to main content

ในขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนบทความชิ้นนี้ เราได้เห็นบรรดานักคว้าดาวปรากฏในหน้าจอของโมเดิร์นไนน์ทีวี และในอีกไม่นานก็คงถึงคราวของรายการ Academy Fantasia ที่จะกลับมาอยู่ในความสนใจกันอีกครั้ง

พูดถึงรายการเรียลิตี้โชว์ทั้ง 2 รายการที่ว่านั่น ดูจะเป็นเส้นทางลัดของบรรดา “นักล่าฝัน” หลายๆ คนที่หวังจะเข้าสู่วงการดนตรี ซึ่งดูจะเป็นเส้นทางที่คนจับจ้อง และหลายคนพร้อมจะกระโดดลงไปหามันมากที่สุด... แม้ในที่สุดเราจะได้เห็นว่า เอาเข้าจริงคนที่ถูกลืมจากเวทีเหล่านี้มีมากกว่าผู้ที่ได้รับชื่อเสียงหลายเท่านัก

แต่ในคราวนี้ ผมจะพูดถึงวงดนตรีวงหนึ่ง ที่เส้นทางการเดินทางของพวกเขาดูจะขรุขระ ไม่ได้มีสปอตไลท์สาดส่อง และไม่ได้มีแฟนคลับคอยเป็นแม่ยกมากมายนัก เอาง่ายๆ ก็คือทางของพวกเขาเป็นเส้นขนานกับเส้นทางของนักล่าฝันเหล่านั้น

วงดนตรีวงนี้เริ่มจากวงดนตรีเล็กๆ จากการรวมตัวของนิสิตร่วมสถาบัน จับพลัดจับผลูได้เล่นในคอนเสิร์ต Live in a Day (คอนเสิร์ตที่จัดโดยนิตยสาร a day) ครั้งแรก เริ่มทำแผ่นซิงเกิ้ลแบบทำเอง – ขายเอง วางขายตามเทศกาลดนตรีต่างๆ ซึ่งแม้จะขายไม่ค่อยได้ แต่ก็พอทำให้มีคนรู้จักพวกเขาในแวดวงอินดี้อยู่พอสมควร

หลังจากนั้นพวกเขาได้ร่วมเป็นหนึ่งในวงที่ริเริ่มก่อตั้งกลุ่ม “โคตรอินดี้” – กลุ่มวงดนตรีเล็กๆ ที่จัดคอนเสิร์ตกันเอง เล่นกันเอง โดยเริ่มจากการเช่าโรงหนังชั้นสองแถวๆ เยาวราชเพื่อเปิดคอนเสิร์ต ก่อนที่จะเริ่มจัดคอนเสิร์ตตามสถานที่ต่างๆ มีคนดูบ้าง ไม่มีคนดูบ้าง ถูกตำรวจปิดงานเพราะเล่นเกินเวลาเที่ยงคืนบ้าง

ในระหว่างนั้นวงดนตรีวงนี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงสมาชิก และเริ่มสะสมเพลงของตัวเองมากขึ้น  ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ลับคมเขี้ยวทางดนตรีให้แหลมคมขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากนั้นพวกเขาได้มีเพลงไปอยู่อัลบั้ม Compilation อัลบั้ม Tata Tomorrow ของห้องซ้อมดนตรี Tata Studio ของต้าร์ – อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา (จริงๆ พูดชื่อสั้นๆ ว่าคุณต้าร์ แห่งวง Paradox ก็ได้ หรือจะเรียกให้สั้นกว่านั้นว่า “ต้าร์ Paradox” ก็ได้อีก แต่ เอ่อ...ไอ้ที่อยู่ในวงเล็บนี่ มันชักจะยาวเกินไปแล้วนี่หว่า:-P) ร่วมกับวงดนตรีหลายๆ วง (หนึ่งในนั้นคือวง Klear ที่ตอนนี้ไปอยู่ในสังกัด Genie Records ไปแล้ว) ซึ่งมาถึงตอนนี้ พวกเขาได้มีโอกาสทำอัลบั้มเต็มๆ ของพวกเขาสักที หลังจากเริ่มตั้งวงมากว่า 5 ปี โดยได้คุณต้าร์นี่แหละที่ทำหน้าที่ Producer ของอัลบั้ม

อัลบั้มที่ว่านี่ชื่อ Found and Lost และวงดนตรีวงนี้คือวงดนตรี “ภูมิจิต” นั่นเอง

20080418 poomjit

สมาชิกในยุคปัจจุบันของภูมิจิตประกอบด้วยสองสมาชิกรุ่นก่อตั้งคือพุฒิยศ ผลชีวิน (ร้องนำ/กีตาร์/แทมเบอรีน) และเกษม จรรยาวรวงศ์ (กีตาร์) และสองสมาชิกที่เข้ามาเป็นจิ๊กซอว์เติมให้ภูมิจิตสมบูรณ์ขึ้น คือธิตินันท์ จันทร์แต่งผล (เบส) และอาสนัย อาตม์สกุล (กลอง)

เพลงของพวกเขานำเอาจุดที่สวยงามที่สุดของวงดนตรีอิสระออกมาเปล่งประกาย นั่นคือการทำงานเพลงแบบที่ระเบิดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในความคิดของวงออกมาอย่างหมดจด เราจึงได้ยินเพลงที่เป็นเหมือนไดอารี่ของคนหนุ่มเลือดร้อน ที่ระบายความรู้สึกต่อโลกรอบข้างออกมา ไม่ว่าจะเป็นความบ้าสงครามของอเมริกา (New World Order), ช้างเร่ร่อน (น้ำตาช้าง) เรื่อยไปจนถึงเพลงรักที่บอกเล่าช่วงวินาทีสารภาพรักตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ (ไม่เป็นดังฝัน)

ในภาคดนตรี  เพลงของพวกเขาเป็นร็อคที่ได้อิทธิพลจากเพลงฝั่งอังกฤษ ที่เน้นการสร้างบรรยากาศล่องลอยจนก้าวล่วงไปถึงความหลอนด้วยเสียงกีตาร์ที่โรยตัวเหมือนหมอกที่ปกคลุมไปทั่วเพลง ซึ่งเพลงที่น่าจะอธิบายภาพเหล่านี้ได้น่าจะเป็นแทร็กเพลงบรรเลงที่ชื่อ “รักคือความทุกข์ สุขคือนิพพาน” (แค่ชื่อก็เหลือรับประทานแล้วครับ) และเพลง “ทุกวันนั้น” ที่สมบูรณ์แบบจนจะกลายเป็นมหากาพย์ของพวกเขา

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าใครตั้งใจ และพยายามทำสิ่งใดก็ตาม เขาก็น่าจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า... ในกรณีของภูมิจิต ผมก็เชื่อว่าจากความพยายามกว่า 5 ปีของพวกเขา ก็น่าจะได้รับสิ่งตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อเช่นกัน

เอาละ... พวกเขาอาจไม่ได้รับการตอบแทนเป็นชื่อเสียงโด่งดัง แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาน่าจะได้แน่ๆ คือการจับตามองจากคนที่ได้ฟังงานของพวกเขา ว่าพวกเขาคือวงดนตรีรุ่นใหม่ที่ฝีมือและความคิดน่าสนใจที่สุดวงหนึ่ง และพอจะฝากฝีฝากไข้วงการดนตรีไว้กับพวกเขาได้

(จริงๆ แล้วจะพูดด้วยตัวอักษร คงไม่เห็นภาพสักเท่าไหร่ หรืออาจจะหาว่าผมเว่อร์ก็ได้  เอาเป็นว่าลองไปฟังบางส่วนของงานของพวกเขาได้ที่ http://www.myspace.com/poomjit  ก็แล้วกัน... ส่วนจะชอบงานของพวกเขาหรือไม่ อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมแหละครับ...ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้จริงๆ :-P )

บล็อกของ เด็กใหม่ในเมือง

เด็กใหม่ในเมือง
My Private Radio – รายการเพลงที่ผมมั่นใจว่าดีที่สุดในเว็บประชาไท (เพราะมันมีอยู่รายการเดียว :-P) กลับมาพบกับท่านอีกครั้งแล้วครับ
เด็กใหม่ในเมือง
มาล่าช้ากันสักนิดนึงนะครับสำหรับรายการวิทยุส่วนตัวของผม แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มานะครับหวังว่ารายการนี้จะพอทำให้บรรยากาศอันดุเดือดในช่วงนี้เย็นๆ ลงมาบ้าง และรายการนี้... ไม่ว่าสีใด ก็ฟังกันได้สบายๆ...
เด็กใหม่ในเมือง
ตอนที่ผมกำลังทำรายการวิทยุออนไลน์เล็กๆ รายการนี้ เมื่อมองออกไปที่ท้องฟ้าแถวบ้าน ผมเห็นพระจันทร์ดวงโตสวยส่องสว่างอยู่... เลยอยากจะเลือกเพลงให้เข้ากับบรรยากาศในตอนนั้น พอเลือกเพลงได้ ก็เลยเอาเพลงที่เลือกมาเปิดให้คุณๆ ฟังกันนั่นแหละครับ       
เด็กใหม่ในเมือง
แม้ว่าในประชาไท รายการ My Private Radio จะเพิ่งได้มาโอกาสมาเปิดเพลงเพราะมั่ง ไม่เพราะมั่งให้กับคุณๆ ได้ฟังกันไม่นานนี้ แต่จริงๆ แล้ว ถ้านับตั้งแต่ที่ผมเริ่มทำรายการตอนแรกลงในเว็บไซต์ http://myprivateradio.ning.com แล้ว ตอนที่คุณได้ฟังอยู่ตอนนี้ นับเป็นตอนที่ 10 แล้วครับ   ในตอนนี้ ผมเลยตั้งโจทย์เล่นๆ ว่า ถ้าผมต้องเลือกเพลงทุกเพลงในรายการ ให้กับคนหลายๆ คน ตั้งแต่เพี่อนของผม เลยเถิดไปจนถึงทีมการท่าเรือไทย เอฟ ซี (!) ผมจะหยิบอะไรมาเปิดบ้าง
เด็กใหม่ในเมือง
 กลับมาอีกครั้งสำหรับรายการวิทยุส่วนตัวของผมครับ :-)ผมบันทึกเสียงรายการตอนนี้ในคืนวันวาเลนไทน์ เลยทำให้บรรยากาศของวันแห่งความรักเผลอตลบอบอวลเข้ามาในรายการด้วยตอนนี้เลยมีเพลงรักดีๆ ให้ฟังกันเยอะครับเชิญฟังกันได้เลยครับ  
เด็กใหม่ในเมือง
  กลับมาอีกครั้งกับรายการวิทยุส่วนตัวของผมครับ :-)   GT 200 กับเพลงโซล – ดิสโก้ ดูมันไม่เกี่ยวกันเลย แต่มันก็มาอยู่ในรายการนี้กันได้ซะงั้น   เชิญฟัง และติ-ชมกันได้ครับ       
เด็กใหม่ในเมือง
ผมกำลังสนุกกับของเล่นชิ้นใหม่อยู่ครับ... ของเล่นชิ้นที่ว่า คือการทำรายการวิทยุออนไลน์ของตัวเองครับ
เด็กใหม่ในเมือง
  ถ้าคุณผู้อ่านแวะเข้าห้องเฉลิมกรุงของเว็บไซต์ pantip.com (พันทิปไม่ได้มีแค่ห้องราชดำเนินนะครับพี่น้อง...) ซึ่งเป็นเวบบอร์ดที่พูดถึงแวดวงดนตรี ละครเวที และงานศิลปะอยู่เป็นประจำละก็ คุณคงจะรู้ว่าศิลปิน-นักร้องที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงที่สุดในห้องเฉลิมกรุงในช่วงเดือน - สองเดือนที่ผ่านมานั้นเป็นใคร ถ้าคุณไม่ใช่เด็กห้องเหลิมกรุง คุณอาจจะเดาว่าเป็น Wonder Girls, Girl's Generation, ดงบังชินกิ, ซุปเปอร์จูเนียร์ หรือบรรดาบอยแบนด์ - เกิร์ลกรุ๊ปทั้งสัญชาติไทยและเกาหลี
เด็กใหม่ในเมือง
  มีตำนานกล่าวขานถึงเวทมนต์วิเศษที่จะทำให้คนธรรมดา เสียงไพเราะกว่าใครเริงระบำได้เหนือกว่าใคร
เด็กใหม่ในเมือง
ผมเริ่มนั่งเขียนบทความชิ้นนี้ ตอน 10 โมงกว่าๆ ของวันที่ 14 เมษายน 2552 หลังวันสุกดิบของการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ในหลายๆ จุดทั่วกรุงเทพฯที่จั่วหัวแบบนี้ ผมไม่ได้มาพูดเรื่องการเมืองหรอกครับ (ผมเขียนวัน-เวลาเอาไว้เพื่อเตือนความจำของตัวเองเท่านั้นแหละ)ผมจะมาเล่าเรื่องที่ทำงานประจำของผมให้คุณๆ ฟังครับ
เด็กใหม่ในเมือง
ผมขอเริ่มต้นบทความชิ้นนี้ ด้วยการย้อนระลึกถึงเมื่อครั้งที่ผมยังเป็นเด็กนักเรียนประถม ในยุคที่สถานีโทรทัศน์ทุกแห่งในประเทศไทยยังไม่มีการออกอากาศช่วงกลางวันในวันธรรมดา และยังไม่มีเคเบิลทีวีให้บริการอย่างเอิกเกริกแบบตอนนี้ ในยุคที่คอมพิวเตอร์ยังเป็นสิ่งอภิมหาแพงเกินกว่าที่ทุกครัวเรือนจะมี หรือถึงบ้านไหนจะมี เทคโนโลยีในยุคนั้นก็ยังไม่เอื้อให้คอมพิวเตอร์เป็นศูนย์รวมความบันเทิงแบบทุกวันนี้ ความบันเทิงในยุคนั้นของผม นอกจากรายการทีวีวันเสาร์ - อาทิตย์แล้ว บรรดาวีดิโอจากร้านเช่าก็เป็นความบันเทิงราคาถูกที่พอจะมีกันได้ ซึ่งวีดิโอที่เรามักจะเลือกเช่า ก็หนีไม่พ้นการ์ตูนและหนังต่างๆ
เด็กใหม่ในเมือง
(ก่อนจะเริ่มบทความ...คุณผู้อ่านรู้สึกไหมครับ ว่าชื่อบทความกับชื่อผม มันคล้องจองกันพิลึก อิอิ...)  ไม่รู้ว่าท่านผู้อ่านจะมีศิลปิน หรือวงดนตรีใดๆ ที่เมื่อมีอัลบั้มใหม่ของพวกเขา / เธอ ออกวางแผง เราก็ไม่รีรอที่จะรีบไปหาอัลบั้มมาเป็นเจ้าของโดยพลันหรือเปล่า สำหรับตัวผม...โมเดิร์นด็อกสร้างความรู้สึกแบบนี้ให้ผมตลอดมา ตั้งแต่สมัยผมควักเงิน 60 บาทจากกระเป๋านักเรียนสีกากีออกจากกระเป๋า และคว้าอัลบั้ม “โมเดิร์นด็อก” (ที่มีชื่อเล่นว่าอัลบั้ม “เสริมสุขภาพ”) จากแผงเทป จนถึงวันนี้ วันที่โมเดิร์นด็อกมีอัลบั้ม “ทิงนองนอย” ออกมาเป็นอัลบั้มใหม่ ความรู้สึกนั้นก็ยังเกิดกับผมไม่แปรเปลี่ยน…