Skip to main content

เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอ

แล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม

แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน

คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน บนโต๊ะหน้าบ้านมีเศษกิ่งก้านของใบไม้อยู่เต็ม ตอนนั้นโอเว่นหลบอยู่แต่ในบ้านที่ปิดประตูมิดชิด แต่มันก็ได้กลิ่นแปลก ๆ กลิ่นของสัตว์ป่า

วันนั้นเป็นวันเสาร์ สายรุ้งไม่ต้องไปโรงเรียน เขาเอาไม้กวาดมากวาดลานบ้าน พื้นดินยังเปียกแฉะอยู่

โอเว่นวิ่งออกมากระโดดโลดเต้น มันเป็นยามเช้าที่อากาศดีมากหลังจากฝนตก มันได้กลิ่นหอมของดิน ของหญ้า ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ แต่แล้วเมื่อเข้ามาใกล้กับโต๊ะหน้าบ้านและทำท่าว่าจะกระโดดข้ามไปนั้น มันก็ได้กลิ่นแปลก ๆ

โอเว่นดมตามกลิ่นนั้นไป จนพบว่าต้นตอมันอยู่ใต้โต๊ะท่อนมะม่วง ทันใดนั้นเองที่มันแลเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ลำตัวมีสีเหลืองสลับดำแวววาวและยาวเหยียด ลำตัวส่วนหนึ่งซ่อนอยู่ในช่องใต้โต๊ะ แต่ส่วนหนึ่งก็โผล่พ้นออกมา มันม้วนตัวเองจนเป็นวงหลายชั้น ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างมาก ดวงตาหรี่เล็กของมันจ้องมาทางสุนัขอย่างประสงค์ร้าย

งูเหลือมตัวหนึ่งขดอยู่ใต้โต๊ะ มันกำลังจ้องมองมาที่โอเว่นเช่นเดียวกับที่โอเว่นกำลังจ้องมองมันอยู่ ท่าทางมันกำลังหิว เห็นได้ชัดว่ามันกำลังหิว มันคงอยากจะกินสุนัขของสายรุ้งแน่ ๆ โอเว่นเห่าอย่างบ้าคลั่ง เส้นขนตั้งชัน ลุกลี้ลุกลน วิ่งวนไปมา

นัยน์ตาของงูแดงก่ำ ท่าทางโกรธจัด ฝนพายุคงทำให้มันลำบาก เป็นไปได้ว่ามันอาศัยอยู่ในทุ่งร้างที่อยู่สุดซอยที่มีหนองน้ำ และมีวัชพืชงอกสูงท่วมหัว แต่ก่อนทุ่งร้างแห่งนี้เคยเป็นบ้านและเรือกสวนมาก่อน แต่แล้วไม่รู้เหตุผลกลใด เจ้าของก็ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ ที่ทุ่งร้างแห่งนั้นมีสัตว์แปลก ๆ หลายชนิด เช่นตัวเงินตัวทองที่ดุร้าย มีเล็บและฟันที่คมกริบ

งูเหลือมตัวนี้ มีความยาวประมาณ 170 เซนติเมตรเห็นจะได้ ประกายแวววาวสะท้อนแสงแดดยามเช้า โอเว่นเห่าไม่ยอมหยุด ตอนแรกสายรุ้งไม่สนใจเสียงเห่าเพราะรู้นิสัยของสุนัขตัวนี้ดีว่า “โอเว่นเจออะไรนิดหน่อยมันก็เห่า”

แต่โอเว่นเห่าเสียงดัง วิ่งวนไป วนมา ซ้ายที ขวาที ในขณะที่งูใหญ่เริ่มขยับตัว มันเลื้อยอย่างเชื่องช้าแต่ทว่าเปี่ยมด้วยความระมัดระวัง

สายรุ้งเดินมาใกล้และบอกว่า “เอ็งจะเห่าอะไรนักหนา โอเว่น”
แต่แล้ว สายรุ้งชะงักด้วยความกลัวและความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นงู แต่งูไม่สนใจสายรุ้ง เป้าหมายของมันคือโอเว่น

งูตัวนั้นเลื้อยอย่างแช่มช้าออกมาจากโต๊ะ ท่าทางมันไม่กลัวอะไรเลย มันจ้องมองสายรุ้งแวบหนึ่ง แต่โอเว่นก็เบนความสนใจของมัน ด้วยการกระโดดผกโผนทำท่าเหมือนจะเข้าไปกัด

สุนัขวิ่งวนไปรอบ ๆ งู ทำท่าเหมือนจะไปทางซ้ายแต่แล้วก็เอี้ยวตัวไปทางขวา หาโอกาสที่จะฝังคมเขี้ยวลงไปสักครั้ง

“โอเว่น ระวัง” สายรุ้งร้อง
สุนัขเห่าเสียงดังจนแม่ของสายรุ้งออกมาดู งูมักจะเลื้อยออกมาแบบนี้เสมอเวลาที่ฝนตกหนัก เธอบอกให้สายรุ้งวิ่งไปตามเพื่อนบ้านมาช่วย
“ถ้าเราไม่ไปทำให้มันโกรธ มันก็ไม่ทำอะไรหรอก”

อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาถึง สายรุ้งพบว่าโอเว่นกำลังอยู่ในวงรัดของงูเหลือม มันพันรอบตัวของสุนัขไว้อย่างแน่นหนา ความร้ายกาจโหดเหี้ยมเหลือเชื่อของงูปรากฏออกมา ในเวลาที่มันกำลังจะพิฆาตเหยื่อหรือศัตรูของมัน

โอเว่นหงายท้องแล้วม้วนไปมาตามการเคลื่อนที่ของงู
“แม่ไม่รู้จะทำอย่างไร” เธอบอกสายรุ้ง
“สุนัขยังไม่ตาย” เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น

พวกผู้ใหญ่หลายคนช่วยกันงัดแงะเอาตัวโอเว่นออกมา แต่งูมันไม่ยอมปล่อย ใครคนหนึ่งจึงใช้มีดปักเข้าไปที่ลำตัวของงู ซึ่งก็ได้ผล มันคลายตัว เลือดไหลนองออกมา

“อย่าฆ่ามันนะ” แม่ของสายรุ้งบอก
สายรุ้งไม่รู้ชะตาของงูตัวนั้นว่าที่สุดแล้วเป็นอย่างไร เพราะใครคนหนึ่งเอามันใส่ถุงแล้วก็หิ้วออกไป มันอาจถูกฆ่าแล้วถลกหนังแบบที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือไม่ก็อาจจะถูกนำไปรักษาแล้วไปปล่อยที่ไหนสักแห่ง ส่วนโอเว่นต้องนอนแกร่วอยู่หลายวัน

“งูมันคงจะหิวน่ะลูก”
“ผมกลัวงูครับ”
สายรุ้งบอกแม่
“ที่อยู่ของมันถูกรุกราน มันจึงออกมาเพ่นพ่านอย่างนี้ ในทุ่งไม่มีอะไรให้มันกินแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเราไม่ทำร้ายมันก่อน มันก็จะไม่ทำร้ายเรา”
“ครับแม่”
สายรุ้งพูด แม่โอบกอดเขาไว้ รู้สึกโล่งใจ.

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
วรรณกรรมจากแดนไกลเล่มนี้ คงไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนในความหมายที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมจินตนาการและการผจญภัยอันสนุกสนานของเด็ก ๆ ในแบบเดียวกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” แม้ว่าชื่อเรื่องจะฟังดูชวนฝัน เสริมสร้างจินตนาการแบบเดียวกับ “เจ้าชายน้อย” ของ อังตวน เดอ เซงเตก ซูเปรี ก็ตาม ตรงกันข้ามทีเดียวนี่เป็นวรรณกรรมที่เหมาะสำหรับนักอ่านประเภท “ฮาร์ดคอร์” โดยแท้ ซึ่งวรรณกรรมประเภทนี้เนื้อหาสาระจะนำมาซึ่งความบันเทิงประทับใจ เนื้อหาสาระอันเข้มข้นและลีลาลูกเล่นในการเล่าเรื่องต่างหากที่จะก่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ ไม่ใช่สาระบันเทิงแบบรายการ “ตาสว่าง” ที่ดูแล้วชวนให้มืดมัวด้วยอคติและความไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น…
นาลกะ
เคยได้ยินชื่อ “ขบวนการนกกางเขน” มานานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่าคืออะไร จนกระทั่งเห็นหนังสือชื่อเดียวกันนี้วางอยู่บนชั้นและลงมืออ่าน จึงได้รู้ว่า “ขบวนการนกกางเขน” เป็นวรรณกรรมเยาวชนต่างประเทศที่แปลโดย “แว่นแก้ว” “ขบวนการนกกางเขน” เป็นทั้งชื่อหนังสือและชื่อเรียกของกลุ่มตัวละครเด็ก ๆ ในเรื่อง เด็ก ๆ ถูกวาดให้มีหลากหลายบุคลิก ตั้งขบวนการ รวมตัวกันหาเรื่องสนุก ๆ ทำ จนกระทั่งเข้าไปผจญภัยในห้องใต้ดินและนำไปสู่การค้นพบขุมทรัพย์ในที่สุด ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้น่าจะอยู่ที่ผู้แปลมากกว่าผู้เขียน  สำหรับผู้เขียนชาวฝรั่งเศสคือ Madeleine Treherne  ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ในภาคฝรั่งเศสว่า Rossignols…
นาลกะ
“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”1 แปลมาจากเรื่อง “Dibs In Search of Self” เป็นหนังสือเกี่ยวกับเด็กที่ไม่ใช่นวนิยายที่จัดได้ว่าเป็น Bestseller  อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้อ่านสนุกน่าติดตามราวกับเป็นวรรณกรรมเยาวชน (จะว่าไปเรื่องราวของเด็ก ๆ ก็เป็นวรรณกรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว)ผมเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญในห้องสมุด อ่านเพียงผ่าน ๆ แต่แรงดึงดูดบางประการทำให้วางไม่ลงและอ่านต่อไปด้วยความเพลิดเพลินจนจบ ผิดกับหนังสือหลายเล่มที่ในระยะหลังผมมักจะอ่านไม่จบ ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่ไม่มีแรงดึงดูดให้อ่าน แต่สำหรับเรื่อง “ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ” นี้เป็นข้อยกเว้นจริง ๆ“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”…
นาลกะ
 อนาโตล ฟรองซ์  เขียนไกรวรรณ  สีดาฟอง แปลอนาโตล ฟรองซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมในปี 1921 เขาเป็นชาวปารีส กำเนิดมาท่ามกลางกองหนังสือเก่าของบิดา เขากลายเป็นนักเขียนแถวหน้าด้วยผลงานเรื่อง “ซิลเวอร์แตร์ บงนาร์ด” (1881)  หลังจากนั้นก็สร้างสรรค์นวนิยายออกมาหลายชิ้นที่โด่งดังมากก็คือ “หมู่เกาะนกเพ็นกวิน” (1908) นวนิยายเชิงเสียดสีที่มีฉากหลังเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของศตวรรษ 20ผลงานเรื่อง “หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้”  เขียนขึ้นตอนบั้นปลายของชีวิตของเขา น่าสังเกตว่าหลังจากเขียนงานวรรณกรรมประเภท “สร้างสรรค์…
นาลกะ
“รพินทรนาถ ฐากูร” เขียน“วิทุร  แสงสิงแก้ว” แปล“ปรีชา  ช่อปทุมมา” แปล“เยี่ยมหน้าให้เขายล อ้ายหนูเอ๋ย เพื่อว่าพวกเขาจะได้ซึมซาบในความหมายแห่งสรรพสิ่ง จงทำตัวให้พวกเขารักเพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้จักรักใคร่ซึ่งกันและกันบ้าง”(สำนวนแปลของปรีชา ช่อปทุมมา)
นาลกะ
 จอห์น  โฮลท์  เขียนกาญจนา  ถอดความหนังสือเล่มนี้พูดถึงเด็ก ๆ ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับพวกเรา โดยต้องการพิจารณาดูว่าเด็กทั้งหลายนั้นถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ใดในสังคม (หรือสังคมปัจจุบันอาจจะไม่ได้มีที่ว่างไว้ให้พวกเด็ก  ๆ เลย?)  ผู้เขียนมีทัศนะที่ก้าวหน้ามากในประเด็นที่รายล้อมอยู่รอบตัวเด็ก และเต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ค่านิยม ความเชื่อและพฤติกรรมที่มีผู้ใหญ่มีต่อเด็กอย่างถึงรากถึงโคนจนบางคนอาจจะรับไม่ได้ นอกจากหนังสือเล่มนี้ที่แปลมาจาก Escape from Childhood แล้วผู้เขียนซึ่งเคยเป็นครู มีประสบการณ์ในการคลุกคลีกับเด็กมายาวนาน  …
นาลกะ
อาการป่วยของแม่ทุเลาลง แต่ยังไม่หายเป็นปกติเพราะโรคฉวยโอกาสบางชนิดที่ยังทำให้แม่อ่อนเพลีย คุณหมอมาดูแลอาการของแม่บ่อยครั้ง คุณหมอจะยิ้มอย่างปลอดโปร่งใจทุกครั้งเมื่อตรวจดูอาการของแม่เสร็จ สายรุ้งไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของคุณหมอมีความหมายว่าอะไร อาจหมายถึงว่าแม่จะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิมหรือเพื่อปลอบใจสายรุ้งกันแน่ หรือว่าคุณหมอที่ไหน ๆ ต่างก็มีรอยยิ้มลักษณะเช่นนี้“แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ”คุณหมอทำท่าตรึกตรองราวกับกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะ ๆ นั่นยิ่งทำให้สายรุ้งรู้สึกกังวลหนักขึ้น“หนูต้องดูแลแม่ดี ๆ นะ” คุณหมอตอบ “หนูรู้ไหมว่าหนูมีส่วนอย่างมากในการทำให้คุณแม่หายจากอาการป่วยไว ๆ” “…
นาลกะ
คุณตาและน้ามลมาที่บ้านสายรุ้งบ่อยขึ้น เพราะแม่ของสายรุ้งไม่สบาย แม่เป็นลมหมดสติขณะกำลังทำงาน โชคดีที่ตอนนั้นสายรุ้งอยู่ที่บ้านด้วย สายรุ้งตกใจมากที่เห็นแม่ล้มลงและหมดสติเขาวิ่งไปตามคุณตาและน้ามลสายรุ้งไม่เข้าใจเลยว่าแม่ล้มป่วยได้อย่างไรในเมื่อดูแลตัวเองดีมาโดยตลอด  แม่เคร่งครัดต่อวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก นอนและตื่นตรงเวลาเหมือนกันทุกวัน ระวังให้ไม่โดนแดด โดนฝน แม่เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น อาหารที่ผ่านการหมักดองแม่ไม่ทานเด็ดขาด ผัก ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดแม่ล้างแล้วล้างอีก อาหารทอดหรือปิ้งย่าง แม่ก็ไม่ทาน ทั้งแม่ยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย…
นาลกะ
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปจนใกล้สิ้นปี สายรุ้งและแม่ผ่านวันเวลาร่วมกันมาอย่างกล้าหาญ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลมพายุ รู้จักการโอนเอนตามแรงลมเมื่อพายุกระหน่ำหนักในขณะที่รากนั้นยึดเกาะดินไว้อย่างมั่นคงสายรุ้งมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกปี การผ่านวันเวลาไปจนมีอายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปีนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับแม่ของสายรุ้งแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความหมาย และความสำคัญอย่างยิ่งยวด เธอตระหนักถึงคุณค่าของแต่ละวินาที และรู้ว่ากาลเวลาในหนึ่งวินาทีของเธอกับของคนอื่นนั้นแตกต่างกันด้วยเหตุว่าเธอมีมาตรวัดความยาวนานของเวลาต่างออกไป ส่วนสายรุ้งอาจยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ “…
นาลกะ
สายรุ้งก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เพลิดเพลินกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์  เกมที่มีภาพสวยงามดึงดูดสายตาและสามารถติดต่อสัมพันธ์ คุยเล่นสนุกกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์ การสร้างสีสันสวยงามเกินจริง การออกแบบฉากที่อลังการ ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคาร ตัวสัตว์ประเภทต่าง ๆ  และความน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ปรากฏในเกม ยั่วเย้าเร้าความสนใจของสายรุ้งและเด็กคนอื่นๆ จนไม่อาจต้านทานได้หากเล่นเกมที่ร้านเกมซึ่งมีเด็กๆ ไปชุมนุมกันนั้น สายรุ้งจะนั่งเล่นไม่นานนัก แค่เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพราะแม่ไม่ต้องการให้เขาขลุกอยู่ที่ร้านเกมนานเกินไป…
นาลกะ
เมฆฝนตั้งเค้าทำท่าเหมือนว่าจะเทน้ำลงมา แต่ก็ไม่เคยหล่นลงมาสักหยด สายลมจะพัดพาเมฆให้ลอยไปที่อื่น จากนั้นท้องฟ้าก็จะปลอดโปร่งเหมือนเดิม ชาวสวนที่เฝ้ารออยู่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหวังจะได้เห็นเม็ดฝนโปรยปราย เมล็ดพืชที่หว่านไว้รอเพียงฝนแรกเท่านั้นก็จะแทงยอดอ่อนออกมาท้องฟ้าครึ้ม เมฆสีดำลอยต่ำและบดบังความร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์ อากาศยามสายขมุกขมัว  “วันนี้ฝนจะตก” ตาพูดกับเด่นและสายรุ้ง “ดูฝงมดพวกนั้นสิพากันอพยพเพราะมันรู้ว่าน้ำจะเจิ่งนองท่วมรังของมัน” สายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าช่างดูอึดอัดด้วยบรรยากาศอันอึมครึม นกฝูงบินตัดก้อนเมฆที่คล้อยลงต่ำ“เราจะได้เล่นน้ำ” เด่นว่าแล้วฝนก็เทลงมาจริงๆ…
นาลกะ
วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของสายรุ้งมาโรงเรียนสาย พอครูถามเขาก็ตอบว่าที่บ้านเขากำลังมีปัญหา พ่อของเขาป่วยหนัก เมื่อสายรุ้งเห็นแววตาเศร้าสร้อยของเพื่อนนักเรียนคนนั้นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เพื่อนนักเรียนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่ตอบคำถามของครู เป็นไปได้ว่าสายรุ้งอาจกำลังคิดถึงตัวเองที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วก็เลยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนคนนั้นดีว่าจะต้องเสียใจมากเพียงใดหากพ่อของเขาต้องมีอันเป็นไป อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนไม่ได้รู้สึกอย่างที่สายรุ้งรู้สึก ความทุกข์ใจของเพื่อนนักเรียนอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยของพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวนั้น…