จอห์น โฮลท์ เขียน
กาญจนา ถอดความ
หนังสือเล่มนี้พูดถึงเด็ก ๆ ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับพวกเรา โดยต้องการพิจารณาดูว่าเด็กทั้งหลายนั้นถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ใดในสังคม (หรือสังคมปัจจุบันอาจจะไม่ได้มีที่ว่างไว้ให้พวกเด็ก ๆ เลย?)
ผู้เขียนมีทัศนะที่ก้าวหน้ามากในประเด็นที่รายล้อมอยู่รอบตัวเด็ก และเต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ค่านิยม ความเชื่อและพฤติกรรมที่มีผู้ใหญ่มีต่อเด็กอย่างถึงรากถึงโคนจนบางคนอาจจะรับไม่ได้
นอกจากหนังสือเล่มนี้ที่แปลมาจาก Escape from Childhood แล้วผู้เขียนซึ่งเคยเป็นครู มีประสบการณ์ในการคลุกคลีกับเด็กมายาวนาน ตลอดจนได้ทำการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเด็กมาอย่างกว้างขวางยังได้เขียนงานวิชาการเกี่ยวกับเด็กไว้อีกหลายเล่มด้วยกันคือ How Children Fail, How Children Learn, The Underachieving School และบทความที่เกี่ยวกับเด็กที่ตีพิมพ์ตามนิตยสารต่าง ๆ อีกมากหลาย
เนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้เกี่ยวข้องอยู่กับ “สถาบันแห่งความเป็นเด็ก” ที่วางอยู่ในบริบทของโลกสมัยใหม่ ซึ่งได้สร้างกฏเกณฑ์ กฎระเบียบต่าง ๆ ขึ้นมามากมายเพื่อกำหนดว่าเด็ก ๆ ควรจะมีชีวิตอยู่อย่างไร พวกผู้ใหญ่จะปฏิบัติต่อแกอย่างไร และกล่าวถึงวิธีการที่ไม่ถูกต้องทั้งหลายทั้งปวงที่สังคมกระทำต่อเด็ก ๆ นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังบอกไว้ด้วยว่าควรจะเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร
คำว่า “สถาบันแห่งความเป็นเด็ก” ตามการนำเสนอของผู้เขียนคือ ทัศนคติ ประเพณี กฏเกณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งความรู้สึกของคนในสังคมที่มีต่อเด็ก สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นกำแพงกั้นขวางชีวิตวัยเยาว์กับชีวิตผู้ใหญ่ออกจากกัน
“สถาบันแห่งความเป็นเด็ก” จะกางกั้นเด็กออกจากโลกของผู้ใหญ่ ทำให้ผู้เยาว์พบกับความยากลำบากในการที่จะติดต่อสื่อสารกับสังคมส่วนใหญ่รอบ ๆ ตัวเขา ขาดแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้ามาร่วมเล่น ร่วมรับผิดชอบในส่วนที่เด็กก็พอจะทำได้
ทัศนคติและความรู้สึกเช่นนี้ได้ปิดกั้นเด็กให้ห่างออกจากโลกแห่งเสรีภาพ และความเป็นอิสระ ทำให้เด็ก ๆ เป็นอย่างที่เราเห็น ๆ กัน เด็ก ๆ กลายเป็นแหล่งรวมของการจู้จี้จุกจิก ร้องไห้กวนใจ น่ารำคาญ เลี้ยงไม่โต ไม่มีเหตุผล
ผู้เขียนวิพากษ์วิจารณ์พ่อแม่ผู้ปกครองบางประเภทที่ “ไม่อยากให้ลูกโต” ต้องการยืดวัยเด็กของลูกให้ยาวออกไป ในสายตาของพ่อแม่บางประเภทนั้น “ลูกไม่เคยโต” (เพราะไม่ต้องการให้โต) จนเด็กทนไม่ได้และต้องรำพันออกมาว่า
“ผมรักพ่อแม่มาก เราเคยอยู่กันอย่างมีความสุข แต่จนเดี๋ยวนี้พ่อกับแม่ก็ยังอยากให้ผมทำตัวเหมือนเด็กอย่างแต่ก่อน ผมอยากจะทำอะไรของผมเองบ้าง พ่อกับแม่ก็ไม่ชอบ ผมรู้สึกสับสนและรู้สึกผิดมากที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ใจหนึ่งก็ไม่อยากทำให้ท่านผิดหวัง แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากจะมีชีวิตของผมเองบ้าง” (หน้า 21)
พ่อแม่ต้องการให้ชีวิตวัยเด็กยาวนานเกินไป และมักไม่ยอมให้เด็กได้ค่อย ๆ หลุดพ้นไปจากอ้อมอก ให้กลับมามีความสัมพันธ์ในรูปแบใหม่กับพ่อแม่ เมื่อเด็กไม่มีทางเลือกแบบอื่นที่พอจะผูกพันกับพ่อแม่ได้แกก็จะเลือกหนทางที่จะตัดขาดกับพ่อแม่เสียเลย ยิ่งถ้าพ่อแม่พยายามผูกแกให้แน่นเพียงใด แกก็จะยิ่งออกแรงดึงดิ้นให้หลุดแรงขึ้นเพียงนั้น แรงดึงที่รุนแรงนี้อาจจะก่อให้เกิดความร้าวฉานกับทุกฝ่ายและกลายเป็นฝันร้ายของทุกคน
ถ้าไม่มีทางอื่นที่เด็กจะออกจากอ้อมอกของครอบครัวไปได้ แกคงต้องเลือกเอาขั้นแตกหักเป็นทางเลือกสุดท้าย
ในบทที่ว่าด้วย “การเห็นเด็กเป็นตุ๊กตา” ผู้เขียนเสนอให้เลิกมองเด็กเป็น “ตุ๊กตา” เสียทีเพราะการที่มองดูเด็กเป็นตุ๊กตาตัวน้อย ๆ น่ารักน่าเอ็นดูนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นความจริงแต่มันเป็นค่านิยมที่เราใส่เข้าไปเอง ความน่ารัก น่าเอ็นดูนี้มีอยู่ในคนทุกรุ่น ทุกวัย ไม่ใช่มีแต่เฉพาะในเด็ก ๆ เท่านั้นและการที่เราเห็นเด็ก ๆ เป็นของเล่นตัวเล็ก ๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะความรู้สึกดังกล่าวทำให้เรารู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่กว่า รู้สึกเหนือกว่าเด็ก ๆ
ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เรามีต่อเด็กนั้นไม่ใช่เพราะคุณสมบัติที่มีอยู่ในตัวเด็กจริง ๆ แต่เป็นเพียงทฤษฎีความเชื่อต่าง ๆ ที่ผู่ใหญ่เราสร้างขึ้นมาเกี่ยวกับตัวเด็ก ๆ มากกว่า คุณสมบัติหลาย ๆ อย่างที่เด็กมี เช่น ความมีชีวิตชีวา ความเฉลียวฉลาด ความสวยมีเสน่ห์ ความอยากรู้อยากเห็น ความหวัง ความไว้วางใจซึ่งดูเหมือนคุณสมบัติที่ดี ๆ ทั้งนั้นแต่ความจริงแล้วเด็ก ๆ ย่อมมีคุณสมบัติที่จะเสียใจ สนุกสนานชื่นชม เด็กก็รู้จักความทุกข์ ความกังวลด้วย
คุณสมบัติที่เด็กมีนี้ไม่ได้เป็นคุณสมบัติเฉพาะเด็กเท่านั้น แต่มันเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ทุกคน ทุกรุ่น ทุกวัย หากแต่ผู้ใหญ่มักคิดไปว่า นี่คือคุณสมบัติแห่งความเป็นเด็กเท่านั้น เช่น ความอยากรู้อยากเห็น
ที่แย่ที่สุดก็คือผู้ใหญ่ชอบไปสอนเด็ก ๆ ที่กำลังจะเริ่มโตให้ทิ้งหรือซุกซ่อนลักษณะแห่งความเป็นเด็กเอาไว้ สอนให้อายถ้าเขาทำท่าอยากรู้อยากเห็นแบบเด็ก ๆ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าพวกผู้หญิงได้รับอนุญาตจากสังคมให้แสดงท่าแบบเด็ก ๆ ได้มากกว่าผู้ชาย บางสังคมก็ให้ค่ายกย่องไปเลย เช่น ยิ่งผู้ใหญ่ไร้เดียงสาเหมือนเด็ก ๆ ก็ยิ่งน่ารักมากเท่านั้น!
เด็กไม่ใช่อะไรที่เป็นนามธรรมอย่างที่คิดกัน แต่เป็นรูปธรรมอย่างสามัญที่สุดเช่นเดียวกับสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป เด็ก ๆ มักคิดถึงตนเองก่อนคนอื่นและเห็นแก่ตัว ไม่มีความสามารถที่จะเข้าไปนั่งในจิตใจของคนอื่นได้ เอาแต่ใจตนเองและใจร้าย ส่วนการเป็นผู้ใหญ่ไมได้หมายความว่าจะต้องเลวมากขึ้น
เมื่อมีคนถามว่า “มันผิดอย่างไรที่จะมองเด็กอย่างชื่นชม มันดีกว่าที่จะดูเด็กอย่างที่เด็กเป็นอยู่จริง ๆ มิใช่หรือ ?”
คำตอบของผู้เขียนคือ “การที่เรามองใครสักคนดีกว่าที่เขาเป็นอยู่จริงนั้นเป็นการถูกต้องหรือ มันจะไม่อันตรายดอกหรือ” แล้วผู้เขียนก็ยกตัวอย่างประกอบให้เห็นอย่างชัดเจน
สำหรับคนที่สนใจเรื่อง “เด็ก” ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้