ผลงานเรื่องนี้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ จากการประกวดวรรณกรรมเยาวชนรางวัลแว่นแก้ว ครั้งที่ 2 ผู้เขียนคือ “เก็ตตะหวา” วาดภาพประกอบโดย ธีระพงษ์ บัวระเพชร และจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค เจ้าเก่า
แก่นแกนของเรื่องคือพัฒนาการของเด็กผู้หญิงที่ชื่อ “ผิงผิง” ซึ่งอาศัยอยู่กับพ่อแม่บุญธรรม และไม่ใคร่จะชอบพ่อที่แท้จริงนักเพราะคิดว่าพ่อทอดทิ้งเธอซ้ำยังปล่อยให้แม่ตาย แต่ที่จริงแล้วพ่อของเธอนั้นรักเธอมาก เหตุที่ต้องฝากเธอไว้กับคนอื่นนั้นเพราะหน้าที่การงานที่เป็นนักมายากลต้องตระเวณแสดงไปตามที่ต่าง ๆ ทั้งคนที่นำลูกไปฝากไว้นั้นก็เป็นเพื่อนเก่าและเป็นนายอำเภอที่ไม่มีลูกของตนเองสามารถดูแลผิงผิงได้
อาปา-พ่อแท้ ๆ ของผิงผิงจะกลับมาหาตอนช่วงปิดเทอม และพาลูกไปไหนมาไหนด้วย ผิงผิงซึ่งเอาแต่ใจตนเองเสมอมาพบเจอเหตุการณ์หลายอย่างกระทั่งเกิดความเข้าใจพ่อ เข้าใจความรักที่พ่อมีต่อเธอ ผิงผิงมองพ่อด้วยความรู้สึกแบบใหม่ ก่อนที่พ่อจะจากเธอไปตลอดกาล
นอกจากประเด็นเรื่องความรักของพ่อ-ลูกแล้ว ตัวละครผิงผิงยังมีพัฒนาการในด้านอื่น ๆ ด้วย ทั้งเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ การใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ด้วยการเล่นดนตรีและไปไกลกระทั่งเป็นผู้นำประท้วงในเรื่องสิ่งแวดล้อม ต่อต้านทุนนิยม
วรรณกรรมเรื่อง “หัวใจทองในใจเธอ” มีจุดเด่นและจุดด้อยอยู่หลายส่วนด้วยกัน มีทั้งส่วนที่สนุกและส่วนที่น่าเบื่อ จะขอพูดถึงจุดเด่นหรือข้อดีก่อน
1. ผู้เขียนมีความรู้พอสมควรเกี่ยวกับวัฒนธรรมล้านนา และวัฒนธรรมจีน อาทิเช่นเรื่องภาษา เครื่องดนตรี และสามารถนำวัฒนธรรมทั้งสองส่วนมาผสมกลมกลืนเข้าด้วยกันได้ดีพอสมควร ซึ่งก่อให้เกิดบรรยากาศแปลก ๆ ที่หาอ่านได้ยากในวรรณกรรมเยาวชนอื่น ๆ
2. ผู้เขียนมีความเชี่ยวชาญทางภาษาในระดับหนึ่ง มีสำนวนและคำพังเพยโบราณที่น่าสนใจ บางตอนยกระดับการพรรณาจนเป็นเหมือนบทกวี บางตอนสอดแทรกบทกวีไว้น่าอ่าน
“ฟ้ากว้างสว่างด้วยดาวหมื่นพัน
แก้วตาฟ้าฝากฝันของพ่อไว้
นิ่งสนิทนิทราเถิดยอดดวงใจ
มือของพ่อจะคุ้มภัยเจ้านิรันดร์” (หน้า 79)
3. มีประเด็นมากมาย ที่บรรจุอยู่ในวรรณกรรมเล่มนี้ตั้งแต่เรื่องส่วนตัวอย่างความรักของพ่อ-ลูกไปจนถึงประเด็นส่วนรวมอย่างปัญหาการรุกล้ำของทุนนิยม หรือปัญหาการพัฒนาไปสู่วิถีชีวิตปกติของคนต่างจังหวัด รวมถึงปัญหาทางสังคมอย่างเรื่องปัญหาของเยาวชนเรื่องยาเสพติดก็ถูกใส่แทรกไว้ในหลายบทหลายตอน
ส่วนจุดด้อยหรือข้อที่ควรปรับปรุงเพื่อทำให้การเขียนวรรณกรรมเยาวชนดียิ่ง ๆ ขึ้นนั้นก็มีหลายจุดด้วยกันคือ
1. การจงใจใช้ภาษาให้อ่านยากโดยไม่จำเป็น วรรณกรรมเยาวชนซึ่งเข้าใจว่ามุ่งหวังให้เยาวชนอ่านนั้นควรจะสร้างแรงดึงดูดใจด้วยการบรรยายอย่างง่าย ๆ แต่น่าติดตาม และเล่าออกมาด้วยภาษาเรียบง่ายแต่ฉลาด ไม่จำเป็นอะไรเลยที่ต้องยกคำแปลก ๆ มาใช้ เช่นการตั้งชื่อตอนว่า “ฤารอยร้าวรู้ร้างจางหาย” “ทิพยดุริยางค์ประโลมใจ” ฯลฯ ถ้อยคำเหล่านี้จะทำให้วรรณกรรมเยาวชนดูห่างไกลจากเยาวชนมากยิ่งขึ้น
2. การใส่เหตุการณ์และเรื่องราวหลากหลายเข้าไปมากเกินไป แตกประเด็นมากมายยิบย่อย เพิ่มตัวละครหลายตัวจนน่าจะเขียนเป็นนวนิยายขนาดยาวสำหรับผู้ใหญ่ มากกว่าจะเป็นวรรณกรรมเยาวชน เช่น ชีวิตคู่ที่ระหองระแหงของพ่อแม่บุญธรรมของผิงผิงโดยมีแม่ม่ายคนงามเข้ามาเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงไปยังเรื่องการสร้างห้องอาหารหรูในสวนสาธารณะ
3. พัฒนาการของผิงผิงที่จริงน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม การเร่งให้ผิงผิง “โตเร็วเกินไป” นอกจากจะไม่สมจริงไม่น่าเชื่อแล้ว ทำให้ตัวละครขาดชีวิตชีวา ขาดความลึก กลายเป็นการยัดเยียดจากผู้เขียนไป เช่น การให้ผิงผิงเป็นผู้นำการประท้วงการก่อสร้างห้องอาหาร ต่อต้านการพัฒนา ซึ่งที่จริงแล้วการประท้วง “ความเจริญ” นั้นเป็นเรื่องละเอียดซับซ้อนแต่กลับถูกลดความซับซ้อนลงให้เป็นเรื่องง่าย ๆ ของเด็ก ทั้งยังเป็นการตอกย้ำทัศนคติ (ที่ผิด ๆ) ในเรื่องการพัฒนาหรือการต่อต้านความเจริญ ผิงผิงจึงดูเป็นเด็กที่แก่แดด ไม่น่ารักตามวัย
ในตอนนี้ผู้เขียนไปไกลถึงขนาดตั้งชื่อตอนว่า “พลังประชาเด็ดดอกหญ้าสะเทือนถึงดวงดาว” ซึ่งจากชื่อแล้วน่าจะเป็นบทความหรือนวนิยายเกี่ยวกับการการต่อสู้ของประชาชนเสียมากกว่า
4. การแยกเด็ดขาดระหว่างโลกสองโลก คือโลกที่มีสีขาวกับสีดำ ตัวละครฝ่ายดีนั้นดีหมดไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไร ในขณะที่ตัวละครฝ่ายเลวก็เลวไปเสียทุกเรื่อง
“เลิศศักดิ์” ตัวละครฝ่ายเลว เป็นลูกชายเสี่ย เคยเข้าไปอยู่สถานพินิจควบคุมความประพฤติ เป็นแบบอย่างของความเลวที่พบได้บ่อยจนน่าระอา คือรวย ไม่ตั้งใจเรียน ทำผิดกฏหมาย ใช้อำนาจเงินซื้อทุกอย่าง มีพ่อคอยให้ท้าย เป็นอันธพาล ฯลฯ ผิงผิงอาศัยความเลวอันสมบูรณ์แบบของเขานี่เองในการระบุว่าตนเองอยู่ฝ่ายดี
เขาพูดกับผิงผิงตามแบบฉบับว่า
“เงินน่ะ... น้องสาว มันมีอำนาจเสมอแหละ เหมือน ๆ กับที่มันมีอำนาจจะทำลายสวนสวรรค์ของเธอทิ้งยังไงล่ะ” (หน้า 113)
“ไม่ว่าผมจะทำผิดสักกี่ครั้ง... ผมก็มีเตี่ยคอยปกป้องเพราะผมเป็นลูกชายคนเดียวของเตี่ย ผมจึงถูกเสมอ เดี๋ยวเตี่ยก็วิ่งเต้นเสียเงินนิดหน่อยก็ช่วยผมออกมาอีกจนได้” (หน้า 148)
------------
ด้วยศักยภาพของผู้เขียน เชื่อว่าจะสร้างวรรณกรรมเยาวชนออกมาได้ดียิ่งขึ้น แล้วจะรอคอยอ่าน.