Skip to main content

วรรณกรรมเยาวชนรางวัลพระราชทาน “แว่นแก้ว” เรื่อง “คำใส” นี้ได้รับรางวัลชนะเลิศประจำปี 2546 ประเภทนวนิยาย ส่งเข้าประกวดโดย “วีระศักดิ์ สุยะลา” นักเขียนหน้าใหม่จากจังหวัดอุบลราชธานี และจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ “นานมีบุ๊ค” สำนักพิมพ์ที่เล็งเห็นความสำคัญของวรรณกรรมเยาวชน


จุดเด่นของวรรณกรรมเรื่องนี้ คือ การฉายให้เห็นถึงความเป็นไปของชนบทภาคอีสานที่กำลังอยู่ในกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นความเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับโลกภายนอกหมู่บ้าน


ดังนั้นเราจึงได้พบว่า เมื่อมีปัญหาทางการเงิน ตัวละครบางตัวจึงตัดใจทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลังเพื่อเข้ามาทำงานขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพ ฯ หรือปัญหาเด็กติดเกมส์ที่แพร่ระบาดไปทั่วทุกระแหงแม้แต่ในชนบทที่ห่างไกล ทีวี ตู้เย็น ก็จำเป็นต้องใช้ แม้ว่าจะต้องซื้อด้วยเงินผ่อนดอกเบี้ยแพงก็ตาม


ชนบทอีสานในเรื่องนี้ไม่ใช่อีสานที่แห้งแล้งแบบ “ลูกอีสาน” ของ “คำพูน บุญทวี” ไม่ใช่อีสานที่ต้องพึ่งฟ้าพลอยฝนหรือรอคอยความปราณีจากธรรมชาติหรือชาวอีสานที่ปรารถนาจะยืนหยัดอยู่บนแผ่นเกิดที่ไม่ยอมจากไปไหน


แต่เป็นอีสานที่เหมือน ๆ กับภาคอื่นของประเทศ คือได้รับผลกระทบจากการพัฒนาเพื่อเปลี่ยนประเทศเข้าสู่การโลกของอุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัฒน์ที่ทำให้เด็ก ๆ ต่างรู้จักการเล่นฟุตบอลใน “โลกเสมือน”


วัฒนธรรมการจัดงานวันเกิดซึ่งเคยเห็นแต่ในเมืองและในโทรทัศน์ได้แพร่เข้าไปในหมู่บ้านนี้ด้วยเช่นกัน


คืนนี้ดูเหมือนจะเป็นคืนพิเศษสุดสำหรับคำใส เด็กน้อยนั่งอยู่ระหว่างพ่อกับแม่ ดูทุกคนจะให้ความสนใจเขาเป็นอย่างดี คงเป็นเพราะวันนี้เป็นวันของเขานั่นเอง
ไอศกรีมถ้วยใหญ่หลากสีพร้อมขนมเค้กชั้นดีถูกสั่งมาวางบนโต๊ะ คำใสใช้ช้อนตักเข้าปากหม่ำอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีสายตาของผู้เป็นพ่อนั่งมองด้วยความชื่นชม อาจเป็นเพราะบุญมีต้องการชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปในช่วงวัยเด็กของตนที่ไม่มีโอกาสสัมผัสขนมเค้กวันเกิดและการได้มานั่งรับประทานไอศกรีมในห้องแอร์คอนดิชั่นเฉกเช่นนี้” (หน้า 24)


ดูเหมือนว่าสภาพความเป็นไปในชนบทจากวรรณกรรมเรื่องนี้ จะถอดแบบมาจากปัญหาของสังคมเมืองคือมีทั้งปัญหายาเสพติดที่แพร่ระบาดในหมู่เยาวชน เด็กนักเรียนจับกลุ่มมั่วสุมไม่ยอมเรียนหนังสือ ความต้องการอยากได้โทรศัพท์มือถือทั้งที่ยังเรียนอยู่ในชั้นประถมด้วยซ้ำ หรือการตั้งกลุ่มแก๊งค์มาเฟียเพื่อไถเงินจากเด็กที่อ่อนกว่า ฯลฯ


เหล่านี้ ต่างเป็นปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งสิ้นในสังคมเมืองและสังคมชนบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงทั่วประเทศกำลังเดินตามรอย สภาพเช่นนี้เป็นบรรยากาศแวดล้อมรายรอบชีวิตของคำใสและเด็กคนอื่น ๆ


อย่างไรก็ตาม ชีวิตของ “คำใส” เด็กชายวัยหกปีก็ยังมีความเรียบง่ายตามแบบแผนของคนชนบทที่อย่างไรเสียก็ยังมี น้ำ ฟ้า ป่า เขา มีพ่อแม่ประกอบอาชีพทำนาและขยันขันแข็งแบบเดียว กับคนชนบททั่วไป มีญาติพี่น้องมากมายล้อมหน้าล้อมหลัง


ภัยธรรมชาติยังคงเป็นตัวแปรที่ทอดทิ้งไม่ได้ในวรรณกรรมเยาวชนที่ใช้ฉากชนบท เมื่อไร่นาเสียหายจากน้ำท่วม “บุญมี” พ่อของ “คำใส” จึงเข้าทำงานในกรุงเทพ ฯ ซึ่งมีพี่น้องบางคนล่วงหน้ามาทำอยู่ก่อนแล้ว


แม้ว่าเมืองกรุงจะหาเงินได้ง่ายกว่าชนบท แต่เมืองกรุงก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่มั่นคง ตามแบบฉบับของงานวรรณกรรมในแนวนี้ที่จะต้องให้เห็นภาพความลำบากเลวร้ายของเมืองกรุง ผู้แต่งจึงให้พ่อของ “คำใส” ต้องไปลิ้มรสชาติของการติดคุก เป็นการติดคุกที่เกิดจากการเข้าใจผิด


หลังออกจากคุก บุญมีกลับบ้าน มาอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้งแม้ว่าเขาจะไม่มีเงินแต่ “บ้าน” ก็ต้องการเขา


ถึงแม้ว่าวรรณกรรมเล่มนี้ จะชี้ให้เห็นถึงกระแสของการรุกบ่าทางวัฒนธรรมที่ชนบทไม่มีทางต้านทานได้ แต่วรรณกรรมก็ไม่ได้มุ่งพร่ำพรรณาถึงผลร้ายหรือความโศกเศร้าสูญเสียที่เป็นผลมาจากกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้แบบที่เราเคยเห็นในงานอื่น ๆ ที่มาจากทางอีสานอย่างงานบทกวีของ “ไพวรินทร์ ขาวงาม” ที่เอาแต่โศกเศร้าและรำพึงรำพันถึงความรุ่มรวยและความดีงามในอดีต


ผู้เขียนแก้ปัญหาให้ชุมชนชนบทและสถาบันครอบครัวโดยใช้ความรัก ความเอาใจใส่ของพ่อแม่ ตลอดจนญาติพี่น้องเป็นปราการป้องกันเด็กไม่ให้หลงเตลิดไปกับความเพลิดเพลินรูปแบบใหม่ ๆ ที่พ่อแม่ตามไม่ทัน บางฉากบางตอนเราจึงได้เห็น “ความรัก” ที่พ่อแม่มีต่อลูกในแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นกันทั่วไปในชนบท


นอกจากนี้แล้ว กีฬาก็เป็นหนทางหนึ่งในการดึงความสนใจของเด็กไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ความฝันอยากจะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติของ “คำใส” ช่วยให้เขาค่อย ๆ ถอนตัวออกจากการไปมั่วสุมในร้านเกมส์ได้


วรรณกรรมเรื่องนี้จบลงด้วยประโยคที่ “คำใส” พูดกับน้องที่เพิ่งคลอดว่า “เราจะเป็นพี่ชายที่ดี และเป็นลูกสุดที่รักของพ่อแม่ตลอดกาล”


ใครที่เบื่อการเมืองก็อ่านวรรณกรรมเยาวชนแก้เบื่อได้ไม่มากก็น้อย.


บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
วรรณกรรมจากแดนไกลเล่มนี้ คงไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนในความหมายที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมจินตนาการและการผจญภัยอันสนุกสนานของเด็ก ๆ ในแบบเดียวกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” แม้ว่าชื่อเรื่องจะฟังดูชวนฝัน เสริมสร้างจินตนาการแบบเดียวกับ “เจ้าชายน้อย” ของ อังตวน เดอ เซงเตก ซูเปรี ก็ตาม ตรงกันข้ามทีเดียวนี่เป็นวรรณกรรมที่เหมาะสำหรับนักอ่านประเภท “ฮาร์ดคอร์” โดยแท้ ซึ่งวรรณกรรมประเภทนี้เนื้อหาสาระจะนำมาซึ่งความบันเทิงประทับใจ เนื้อหาสาระอันเข้มข้นและลีลาลูกเล่นในการเล่าเรื่องต่างหากที่จะก่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ ไม่ใช่สาระบันเทิงแบบรายการ “ตาสว่าง” ที่ดูแล้วชวนให้มืดมัวด้วยอคติและความไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น…
นาลกะ
เคยได้ยินชื่อ “ขบวนการนกกางเขน” มานานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่าคืออะไร จนกระทั่งเห็นหนังสือชื่อเดียวกันนี้วางอยู่บนชั้นและลงมืออ่าน จึงได้รู้ว่า “ขบวนการนกกางเขน” เป็นวรรณกรรมเยาวชนต่างประเทศที่แปลโดย “แว่นแก้ว” “ขบวนการนกกางเขน” เป็นทั้งชื่อหนังสือและชื่อเรียกของกลุ่มตัวละครเด็ก ๆ ในเรื่อง เด็ก ๆ ถูกวาดให้มีหลากหลายบุคลิก ตั้งขบวนการ รวมตัวกันหาเรื่องสนุก ๆ ทำ จนกระทั่งเข้าไปผจญภัยในห้องใต้ดินและนำไปสู่การค้นพบขุมทรัพย์ในที่สุด ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้น่าจะอยู่ที่ผู้แปลมากกว่าผู้เขียน  สำหรับผู้เขียนชาวฝรั่งเศสคือ Madeleine Treherne  ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ในภาคฝรั่งเศสว่า Rossignols…
นาลกะ
“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”1 แปลมาจากเรื่อง “Dibs In Search of Self” เป็นหนังสือเกี่ยวกับเด็กที่ไม่ใช่นวนิยายที่จัดได้ว่าเป็น Bestseller  อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้อ่านสนุกน่าติดตามราวกับเป็นวรรณกรรมเยาวชน (จะว่าไปเรื่องราวของเด็ก ๆ ก็เป็นวรรณกรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว)ผมเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญในห้องสมุด อ่านเพียงผ่าน ๆ แต่แรงดึงดูดบางประการทำให้วางไม่ลงและอ่านต่อไปด้วยความเพลิดเพลินจนจบ ผิดกับหนังสือหลายเล่มที่ในระยะหลังผมมักจะอ่านไม่จบ ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่ไม่มีแรงดึงดูดให้อ่าน แต่สำหรับเรื่อง “ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ” นี้เป็นข้อยกเว้นจริง ๆ“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”…
นาลกะ
 อนาโตล ฟรองซ์  เขียนไกรวรรณ  สีดาฟอง แปลอนาโตล ฟรองซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมในปี 1921 เขาเป็นชาวปารีส กำเนิดมาท่ามกลางกองหนังสือเก่าของบิดา เขากลายเป็นนักเขียนแถวหน้าด้วยผลงานเรื่อง “ซิลเวอร์แตร์ บงนาร์ด” (1881)  หลังจากนั้นก็สร้างสรรค์นวนิยายออกมาหลายชิ้นที่โด่งดังมากก็คือ “หมู่เกาะนกเพ็นกวิน” (1908) นวนิยายเชิงเสียดสีที่มีฉากหลังเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของศตวรรษ 20ผลงานเรื่อง “หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้”  เขียนขึ้นตอนบั้นปลายของชีวิตของเขา น่าสังเกตว่าหลังจากเขียนงานวรรณกรรมประเภท “สร้างสรรค์…
นาลกะ
“รพินทรนาถ ฐากูร” เขียน“วิทุร  แสงสิงแก้ว” แปล“ปรีชา  ช่อปทุมมา” แปล“เยี่ยมหน้าให้เขายล อ้ายหนูเอ๋ย เพื่อว่าพวกเขาจะได้ซึมซาบในความหมายแห่งสรรพสิ่ง จงทำตัวให้พวกเขารักเพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้จักรักใคร่ซึ่งกันและกันบ้าง”(สำนวนแปลของปรีชา ช่อปทุมมา)
นาลกะ
 จอห์น  โฮลท์  เขียนกาญจนา  ถอดความหนังสือเล่มนี้พูดถึงเด็ก ๆ ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับพวกเรา โดยต้องการพิจารณาดูว่าเด็กทั้งหลายนั้นถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ใดในสังคม (หรือสังคมปัจจุบันอาจจะไม่ได้มีที่ว่างไว้ให้พวกเด็ก  ๆ เลย?)  ผู้เขียนมีทัศนะที่ก้าวหน้ามากในประเด็นที่รายล้อมอยู่รอบตัวเด็ก และเต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ค่านิยม ความเชื่อและพฤติกรรมที่มีผู้ใหญ่มีต่อเด็กอย่างถึงรากถึงโคนจนบางคนอาจจะรับไม่ได้ นอกจากหนังสือเล่มนี้ที่แปลมาจาก Escape from Childhood แล้วผู้เขียนซึ่งเคยเป็นครู มีประสบการณ์ในการคลุกคลีกับเด็กมายาวนาน  …
นาลกะ
อาการป่วยของแม่ทุเลาลง แต่ยังไม่หายเป็นปกติเพราะโรคฉวยโอกาสบางชนิดที่ยังทำให้แม่อ่อนเพลีย คุณหมอมาดูแลอาการของแม่บ่อยครั้ง คุณหมอจะยิ้มอย่างปลอดโปร่งใจทุกครั้งเมื่อตรวจดูอาการของแม่เสร็จ สายรุ้งไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของคุณหมอมีความหมายว่าอะไร อาจหมายถึงว่าแม่จะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิมหรือเพื่อปลอบใจสายรุ้งกันแน่ หรือว่าคุณหมอที่ไหน ๆ ต่างก็มีรอยยิ้มลักษณะเช่นนี้“แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ”คุณหมอทำท่าตรึกตรองราวกับกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะ ๆ นั่นยิ่งทำให้สายรุ้งรู้สึกกังวลหนักขึ้น“หนูต้องดูแลแม่ดี ๆ นะ” คุณหมอตอบ “หนูรู้ไหมว่าหนูมีส่วนอย่างมากในการทำให้คุณแม่หายจากอาการป่วยไว ๆ” “…
นาลกะ
คุณตาและน้ามลมาที่บ้านสายรุ้งบ่อยขึ้น เพราะแม่ของสายรุ้งไม่สบาย แม่เป็นลมหมดสติขณะกำลังทำงาน โชคดีที่ตอนนั้นสายรุ้งอยู่ที่บ้านด้วย สายรุ้งตกใจมากที่เห็นแม่ล้มลงและหมดสติเขาวิ่งไปตามคุณตาและน้ามลสายรุ้งไม่เข้าใจเลยว่าแม่ล้มป่วยได้อย่างไรในเมื่อดูแลตัวเองดีมาโดยตลอด  แม่เคร่งครัดต่อวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก นอนและตื่นตรงเวลาเหมือนกันทุกวัน ระวังให้ไม่โดนแดด โดนฝน แม่เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น อาหารที่ผ่านการหมักดองแม่ไม่ทานเด็ดขาด ผัก ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดแม่ล้างแล้วล้างอีก อาหารทอดหรือปิ้งย่าง แม่ก็ไม่ทาน ทั้งแม่ยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย…
นาลกะ
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปจนใกล้สิ้นปี สายรุ้งและแม่ผ่านวันเวลาร่วมกันมาอย่างกล้าหาญ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลมพายุ รู้จักการโอนเอนตามแรงลมเมื่อพายุกระหน่ำหนักในขณะที่รากนั้นยึดเกาะดินไว้อย่างมั่นคงสายรุ้งมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกปี การผ่านวันเวลาไปจนมีอายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปีนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับแม่ของสายรุ้งแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความหมาย และความสำคัญอย่างยิ่งยวด เธอตระหนักถึงคุณค่าของแต่ละวินาที และรู้ว่ากาลเวลาในหนึ่งวินาทีของเธอกับของคนอื่นนั้นแตกต่างกันด้วยเหตุว่าเธอมีมาตรวัดความยาวนานของเวลาต่างออกไป ส่วนสายรุ้งอาจยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ “…
นาลกะ
สายรุ้งก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เพลิดเพลินกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์  เกมที่มีภาพสวยงามดึงดูดสายตาและสามารถติดต่อสัมพันธ์ คุยเล่นสนุกกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์ การสร้างสีสันสวยงามเกินจริง การออกแบบฉากที่อลังการ ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคาร ตัวสัตว์ประเภทต่าง ๆ  และความน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ปรากฏในเกม ยั่วเย้าเร้าความสนใจของสายรุ้งและเด็กคนอื่นๆ จนไม่อาจต้านทานได้หากเล่นเกมที่ร้านเกมซึ่งมีเด็กๆ ไปชุมนุมกันนั้น สายรุ้งจะนั่งเล่นไม่นานนัก แค่เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพราะแม่ไม่ต้องการให้เขาขลุกอยู่ที่ร้านเกมนานเกินไป…
นาลกะ
เมฆฝนตั้งเค้าทำท่าเหมือนว่าจะเทน้ำลงมา แต่ก็ไม่เคยหล่นลงมาสักหยด สายลมจะพัดพาเมฆให้ลอยไปที่อื่น จากนั้นท้องฟ้าก็จะปลอดโปร่งเหมือนเดิม ชาวสวนที่เฝ้ารออยู่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหวังจะได้เห็นเม็ดฝนโปรยปราย เมล็ดพืชที่หว่านไว้รอเพียงฝนแรกเท่านั้นก็จะแทงยอดอ่อนออกมาท้องฟ้าครึ้ม เมฆสีดำลอยต่ำและบดบังความร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์ อากาศยามสายขมุกขมัว  “วันนี้ฝนจะตก” ตาพูดกับเด่นและสายรุ้ง “ดูฝงมดพวกนั้นสิพากันอพยพเพราะมันรู้ว่าน้ำจะเจิ่งนองท่วมรังของมัน” สายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าช่างดูอึดอัดด้วยบรรยากาศอันอึมครึม นกฝูงบินตัดก้อนเมฆที่คล้อยลงต่ำ“เราจะได้เล่นน้ำ” เด่นว่าแล้วฝนก็เทลงมาจริงๆ…
นาลกะ
วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของสายรุ้งมาโรงเรียนสาย พอครูถามเขาก็ตอบว่าที่บ้านเขากำลังมีปัญหา พ่อของเขาป่วยหนัก เมื่อสายรุ้งเห็นแววตาเศร้าสร้อยของเพื่อนนักเรียนคนนั้นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เพื่อนนักเรียนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่ตอบคำถามของครู เป็นไปได้ว่าสายรุ้งอาจกำลังคิดถึงตัวเองที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วก็เลยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนคนนั้นดีว่าจะต้องเสียใจมากเพียงใดหากพ่อของเขาต้องมีอันเป็นไป อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนไม่ได้รู้สึกอย่างที่สายรุ้งรู้สึก ความทุกข์ใจของเพื่อนนักเรียนอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยของพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวนั้น…