Skip to main content

ความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่ทำให้มียอดคนตายถึง 6 ล้านคนนั้นมีประเด็นและเรื่องราวให้พูดถึงได้ไม่รู้จบกระทั่งปัจจุบัน ศิลปะภาพยนตร์และวรรณกรรมเรื่องแล้วเรื่องเล่าที่นำเอาการฆาตกรรมหฤโหดมาเสนอในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ถึงความไร้เหตุผลของมนุษย์ที่นำไปสู่การทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งมนุษย์ด้วยกันเอง


ชะตาลิขิต” วรรณกรรมแปลจากสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค เป็นอีกเล่มหนึ่งที่พูดถึงเรื่องนี้โดยตรงและพรรณนาสภาพเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นในตอนนั้นไว้อย่างละเอียดลออทั้งนี้เพราะตัวผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มี ประสบการณ์ตรงจากการถูกกวาดต้อนเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันตั้งแต่เด็ก และทุกข์ทรมานอยู่ในค่ายนรกนั้นหลายปีกระทั่งสงครามสงบ เขาเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตไม่กี่คนที่กลับมาบอกเล่าให้คนรุ่นหลังได้ยินและ ได้อ่านกัน


ทองแท้” แปลงานชิ้นนี้มาจากผลงานของนักเขียนรางวัลโนเบล “คาลติช อิมเร่” เขาเป็นนักเขียนชาวฮังการีเชื้อสายยิว เกิดที่กรุงบูดาเปสต์ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองไม่นาน แม้ว่าตอนนั้นเขาอายุเพียง 14 ปีแต่ก็เป็นเช่นเดียวกับยิวคนอื่น ๆ ในยุโรปคือถูกส่งเข้าค่ายกักกันเมื่อนาซีเยอรมันแผ่ขยายอำนาจในมหาสงคราม


เขาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความเป็นยิวของตนเองที่ทำให้เขาต้องประสบเคราะห์กรรม หลังรับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ค.. 2002 ว่า

ผมไม่ใช่ยิวที่เคร่งครัดนักแต่เพราะผมเป็นยิว ผมจึงถูกส่งไปเอาส์ชวิตส์ เพราะผมเป็นยิว ผมถึงต้องอยู่ในค่ายมรณะนั้นและเพราะผมเป็นยิว ผมจึงต้องทนอยู่ในสังคมที่เกลียดยิว สังคมที่มีอคติต่อคนยิวสูงมาก ผมมีความรู้สึกว่า ผมถูกบีบบังคับให้ยอมรับความเป็นยิว ใช่ ผมเป็นยิว ผมยอมนับแต่มันหนักหนาเกินไปกับการที่จะลงโทษผม แค่เพราะผมเป็นยิว” (คำนำสำนักพิมพ์)


ชะตาลิขิต” เป็นวรรณกรรมที่เรียกได้ว่า “หนัก” อย่างแท้จริง อัดแน่นไว้ด้วยรายละเอียดของสภาพภายในค่ายกักกัน และให้ความสำคัญกับการบรรยายสิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้นในค่ายกักกันชนิดที่อ่านแล้วรู้สึกเบื่อ เป็นสัจนิยมแท้ ๆ ที่ตั้งอกตั้งใจบรรยายฉากและสิ่งที่ปรากฎรอบตัวเหมือนกับว่าต้องการให้ผู้อ่านเข้าไปสัมผัสเรื่องราวให้มากที่สุด นี่เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของวรรณกรรมในแนวนี้ที่ผู้เขียนมีส่วนร่วมโดยตรง


อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดของคนอื่นนั้นเป็นสิ่งไม่มีใครอยากรับรู้ ไม่มีใครต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมกับความทุกข์ของคนอื่น การนำผู้อ่านเข้าไปสู่โลกแห่งการกักกันอันทรมานแบบที่ชาวยิวได้รับจะทำให้ผู้อ่านพลอยเหน็ดเหนื่อยไปด้วย


ผู้เขียนเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเด็กหนุ่ม ที่เฝ้ามองอย่างงุนงงกับการจากไปของพ่อสู่ค่ายกักกัน ถัดจากพ่อไม่นานนักก็ถึงคราวของเขาเอง ในเวลาต่อมาเมื่อเข้าไปในค่ายแล้ว เขาก็ได้พบกับสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เจอ


ผมกลายเป็นคนแก่เฒ่าเหี่ยวเฉาภายในเวลาอันสั้น ถ้าอยู่บ้าน กว่าจะแก่ชราขนาดนี้ต้องใช้เวลาห้าสิบถึงหกสิบปีแน่ ๆ แต่อยู่ที่นี่เพียงสามเดือนก็นานพอทำให้ร่างกายผมทรุดโทรมลงพอกันได้แล้ว ผมว่าไม่มีสิ่งใดน่าเศร้าไปกว่าการคอยนับวันแต่ละวันที่ร่างกายของเราค่อย ๆ ตายลงไป ปกติร่างกายผมแข็งแรงดีและผมชื่นชมร่างกายตัวเองเสมอ ผมยังจำตอนบ่ายในฤดูร้อนวันหนึ่งได้ ผมอ่านนวนิยายที่ตื่นเต้นเร้าใจอยู่ในห้องที่เย็นสบาย ระหว่างนั้นผมลูบน่องเล่นอย่างมีความสุข ผิวของผมเนียน มีขนสีทอง ที่น่องมีสีคล้ำเพราะโดนแดดและแข็งเกร็งด้วยกล้ามเนื้อ แต่ตอนนี้ผิวหนังเดียวกันนี้หย่อนคล้อย ผิวแห้งมีริ้วรอยและเป็นสีเหลือง แถมยังเป็นแผล มีหนอง มีรอยด่างสีน้ำตาลและรอยแผลฉีกตกสะเก็ดปุปะไปหมด ผมเริ่มรำคาญนิ้วมือที่คันคะเยอ ผู้เชี่ยวชาญอย่างซีตรอม บันดิ ผงกหัวและลงความเห็นว่าเป็นโรคเรื้อน ผมงงไปหมด รู้สึกสิ้นเรี่ยวสิ้นแรง เนื้อที่ห่อหุ้มกระดูกละลายหายไปทุกวัน มีสิ่งแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามร่างกายที่เมื่อก่อนเคยเป็นเพื่อนที่ดีของผม ผมไม่สามารถมองดูร่างกายโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดและเกลียดชังได้ ดังนั้นผมจึงไม่ถอดเสื้ออาบน้ำอีก” (หน้า 111)


นี่เป็นวรรณกรรมที่ไม่เหมาะสำหรับคนที่มองหารสชาติกลมกล่อมจากการอ่าน แต่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการศึกษาวิธีการเขียนเชิงสัจนิยมที่ให้ความสำคัญกับการคบรรยายสถานการณ์ ฉาก ลักษณะทางกายภาพ ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร เป็นวรรณกรรมประจักษ์พยานที่ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะนำเสนอความบันเทิงแต่อย่างใด แต่มุ่งเสนอเรื่องราวความโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้นจริงในลักษณะที่เหมือนกับเอามาวางแผ่ลงต่อหน้า (จึงเป็นธรรมดาที่วรรณกรรมเล่มนี้จะไม่เป็นที่รู้จักกันแม้เมื่อแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วก็ตาม)


คาลติช อิมเร่” ฝังใจกับประสบการณ์จากค่ายกักกันมาก มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาที่ปฏิเสธไม่ได้ ลืมไม่ลง นอกจากจะเป็นความทรงจำเจ็บปวดส่วนตัวแล้ว เขายังเรียกว่าเป็นหายนะแห่งมนุษยชาติ


แต่เป็นหายนะที่มีคุณค่ายิ่งนัก เพราะได้สร้างความตระหนักรู้อย่างยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถจะเอามาตรวัดใด ๆ มาวัดได้เพราะการตระหนักรู้นั้นมาจากความระทมทุกข์ที่หาที่เปรียบมิได้และสิ่งนี้เป็นบ่อเกิดแห่งการระลึกในคุณธรรมที่ประมาณมิได้


บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
วรรณกรรมจากแดนไกลเล่มนี้ คงไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนในความหมายที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมจินตนาการและการผจญภัยอันสนุกสนานของเด็ก ๆ ในแบบเดียวกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” แม้ว่าชื่อเรื่องจะฟังดูชวนฝัน เสริมสร้างจินตนาการแบบเดียวกับ “เจ้าชายน้อย” ของ อังตวน เดอ เซงเตก ซูเปรี ก็ตาม ตรงกันข้ามทีเดียวนี่เป็นวรรณกรรมที่เหมาะสำหรับนักอ่านประเภท “ฮาร์ดคอร์” โดยแท้ ซึ่งวรรณกรรมประเภทนี้เนื้อหาสาระจะนำมาซึ่งความบันเทิงประทับใจ เนื้อหาสาระอันเข้มข้นและลีลาลูกเล่นในการเล่าเรื่องต่างหากที่จะก่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ ไม่ใช่สาระบันเทิงแบบรายการ “ตาสว่าง” ที่ดูแล้วชวนให้มืดมัวด้วยอคติและความไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น…
นาลกะ
เคยได้ยินชื่อ “ขบวนการนกกางเขน” มานานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่าคืออะไร จนกระทั่งเห็นหนังสือชื่อเดียวกันนี้วางอยู่บนชั้นและลงมืออ่าน จึงได้รู้ว่า “ขบวนการนกกางเขน” เป็นวรรณกรรมเยาวชนต่างประเทศที่แปลโดย “แว่นแก้ว” “ขบวนการนกกางเขน” เป็นทั้งชื่อหนังสือและชื่อเรียกของกลุ่มตัวละครเด็ก ๆ ในเรื่อง เด็ก ๆ ถูกวาดให้มีหลากหลายบุคลิก ตั้งขบวนการ รวมตัวกันหาเรื่องสนุก ๆ ทำ จนกระทั่งเข้าไปผจญภัยในห้องใต้ดินและนำไปสู่การค้นพบขุมทรัพย์ในที่สุด ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้น่าจะอยู่ที่ผู้แปลมากกว่าผู้เขียน  สำหรับผู้เขียนชาวฝรั่งเศสคือ Madeleine Treherne  ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ในภาคฝรั่งเศสว่า Rossignols…
นาลกะ
“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”1 แปลมาจากเรื่อง “Dibs In Search of Self” เป็นหนังสือเกี่ยวกับเด็กที่ไม่ใช่นวนิยายที่จัดได้ว่าเป็น Bestseller  อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้อ่านสนุกน่าติดตามราวกับเป็นวรรณกรรมเยาวชน (จะว่าไปเรื่องราวของเด็ก ๆ ก็เป็นวรรณกรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว)ผมเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญในห้องสมุด อ่านเพียงผ่าน ๆ แต่แรงดึงดูดบางประการทำให้วางไม่ลงและอ่านต่อไปด้วยความเพลิดเพลินจนจบ ผิดกับหนังสือหลายเล่มที่ในระยะหลังผมมักจะอ่านไม่จบ ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่ไม่มีแรงดึงดูดให้อ่าน แต่สำหรับเรื่อง “ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ” นี้เป็นข้อยกเว้นจริง ๆ“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”…
นาลกะ
 อนาโตล ฟรองซ์  เขียนไกรวรรณ  สีดาฟอง แปลอนาโตล ฟรองซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมในปี 1921 เขาเป็นชาวปารีส กำเนิดมาท่ามกลางกองหนังสือเก่าของบิดา เขากลายเป็นนักเขียนแถวหน้าด้วยผลงานเรื่อง “ซิลเวอร์แตร์ บงนาร์ด” (1881)  หลังจากนั้นก็สร้างสรรค์นวนิยายออกมาหลายชิ้นที่โด่งดังมากก็คือ “หมู่เกาะนกเพ็นกวิน” (1908) นวนิยายเชิงเสียดสีที่มีฉากหลังเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของศตวรรษ 20ผลงานเรื่อง “หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้”  เขียนขึ้นตอนบั้นปลายของชีวิตของเขา น่าสังเกตว่าหลังจากเขียนงานวรรณกรรมประเภท “สร้างสรรค์…
นาลกะ
“รพินทรนาถ ฐากูร” เขียน“วิทุร  แสงสิงแก้ว” แปล“ปรีชา  ช่อปทุมมา” แปล“เยี่ยมหน้าให้เขายล อ้ายหนูเอ๋ย เพื่อว่าพวกเขาจะได้ซึมซาบในความหมายแห่งสรรพสิ่ง จงทำตัวให้พวกเขารักเพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้จักรักใคร่ซึ่งกันและกันบ้าง”(สำนวนแปลของปรีชา ช่อปทุมมา)
นาลกะ
 จอห์น  โฮลท์  เขียนกาญจนา  ถอดความหนังสือเล่มนี้พูดถึงเด็ก ๆ ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับพวกเรา โดยต้องการพิจารณาดูว่าเด็กทั้งหลายนั้นถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ใดในสังคม (หรือสังคมปัจจุบันอาจจะไม่ได้มีที่ว่างไว้ให้พวกเด็ก  ๆ เลย?)  ผู้เขียนมีทัศนะที่ก้าวหน้ามากในประเด็นที่รายล้อมอยู่รอบตัวเด็ก และเต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ค่านิยม ความเชื่อและพฤติกรรมที่มีผู้ใหญ่มีต่อเด็กอย่างถึงรากถึงโคนจนบางคนอาจจะรับไม่ได้ นอกจากหนังสือเล่มนี้ที่แปลมาจาก Escape from Childhood แล้วผู้เขียนซึ่งเคยเป็นครู มีประสบการณ์ในการคลุกคลีกับเด็กมายาวนาน  …
นาลกะ
อาการป่วยของแม่ทุเลาลง แต่ยังไม่หายเป็นปกติเพราะโรคฉวยโอกาสบางชนิดที่ยังทำให้แม่อ่อนเพลีย คุณหมอมาดูแลอาการของแม่บ่อยครั้ง คุณหมอจะยิ้มอย่างปลอดโปร่งใจทุกครั้งเมื่อตรวจดูอาการของแม่เสร็จ สายรุ้งไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของคุณหมอมีความหมายว่าอะไร อาจหมายถึงว่าแม่จะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิมหรือเพื่อปลอบใจสายรุ้งกันแน่ หรือว่าคุณหมอที่ไหน ๆ ต่างก็มีรอยยิ้มลักษณะเช่นนี้“แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ”คุณหมอทำท่าตรึกตรองราวกับกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะ ๆ นั่นยิ่งทำให้สายรุ้งรู้สึกกังวลหนักขึ้น“หนูต้องดูแลแม่ดี ๆ นะ” คุณหมอตอบ “หนูรู้ไหมว่าหนูมีส่วนอย่างมากในการทำให้คุณแม่หายจากอาการป่วยไว ๆ” “…
นาลกะ
คุณตาและน้ามลมาที่บ้านสายรุ้งบ่อยขึ้น เพราะแม่ของสายรุ้งไม่สบาย แม่เป็นลมหมดสติขณะกำลังทำงาน โชคดีที่ตอนนั้นสายรุ้งอยู่ที่บ้านด้วย สายรุ้งตกใจมากที่เห็นแม่ล้มลงและหมดสติเขาวิ่งไปตามคุณตาและน้ามลสายรุ้งไม่เข้าใจเลยว่าแม่ล้มป่วยได้อย่างไรในเมื่อดูแลตัวเองดีมาโดยตลอด  แม่เคร่งครัดต่อวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก นอนและตื่นตรงเวลาเหมือนกันทุกวัน ระวังให้ไม่โดนแดด โดนฝน แม่เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น อาหารที่ผ่านการหมักดองแม่ไม่ทานเด็ดขาด ผัก ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดแม่ล้างแล้วล้างอีก อาหารทอดหรือปิ้งย่าง แม่ก็ไม่ทาน ทั้งแม่ยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย…
นาลกะ
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปจนใกล้สิ้นปี สายรุ้งและแม่ผ่านวันเวลาร่วมกันมาอย่างกล้าหาญ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลมพายุ รู้จักการโอนเอนตามแรงลมเมื่อพายุกระหน่ำหนักในขณะที่รากนั้นยึดเกาะดินไว้อย่างมั่นคงสายรุ้งมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกปี การผ่านวันเวลาไปจนมีอายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปีนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับแม่ของสายรุ้งแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความหมาย และความสำคัญอย่างยิ่งยวด เธอตระหนักถึงคุณค่าของแต่ละวินาที และรู้ว่ากาลเวลาในหนึ่งวินาทีของเธอกับของคนอื่นนั้นแตกต่างกันด้วยเหตุว่าเธอมีมาตรวัดความยาวนานของเวลาต่างออกไป ส่วนสายรุ้งอาจยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ “…
นาลกะ
สายรุ้งก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เพลิดเพลินกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์  เกมที่มีภาพสวยงามดึงดูดสายตาและสามารถติดต่อสัมพันธ์ คุยเล่นสนุกกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์ การสร้างสีสันสวยงามเกินจริง การออกแบบฉากที่อลังการ ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคาร ตัวสัตว์ประเภทต่าง ๆ  และความน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ปรากฏในเกม ยั่วเย้าเร้าความสนใจของสายรุ้งและเด็กคนอื่นๆ จนไม่อาจต้านทานได้หากเล่นเกมที่ร้านเกมซึ่งมีเด็กๆ ไปชุมนุมกันนั้น สายรุ้งจะนั่งเล่นไม่นานนัก แค่เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพราะแม่ไม่ต้องการให้เขาขลุกอยู่ที่ร้านเกมนานเกินไป…
นาลกะ
เมฆฝนตั้งเค้าทำท่าเหมือนว่าจะเทน้ำลงมา แต่ก็ไม่เคยหล่นลงมาสักหยด สายลมจะพัดพาเมฆให้ลอยไปที่อื่น จากนั้นท้องฟ้าก็จะปลอดโปร่งเหมือนเดิม ชาวสวนที่เฝ้ารออยู่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหวังจะได้เห็นเม็ดฝนโปรยปราย เมล็ดพืชที่หว่านไว้รอเพียงฝนแรกเท่านั้นก็จะแทงยอดอ่อนออกมาท้องฟ้าครึ้ม เมฆสีดำลอยต่ำและบดบังความร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์ อากาศยามสายขมุกขมัว  “วันนี้ฝนจะตก” ตาพูดกับเด่นและสายรุ้ง “ดูฝงมดพวกนั้นสิพากันอพยพเพราะมันรู้ว่าน้ำจะเจิ่งนองท่วมรังของมัน” สายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าช่างดูอึดอัดด้วยบรรยากาศอันอึมครึม นกฝูงบินตัดก้อนเมฆที่คล้อยลงต่ำ“เราจะได้เล่นน้ำ” เด่นว่าแล้วฝนก็เทลงมาจริงๆ…
นาลกะ
วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของสายรุ้งมาโรงเรียนสาย พอครูถามเขาก็ตอบว่าที่บ้านเขากำลังมีปัญหา พ่อของเขาป่วยหนัก เมื่อสายรุ้งเห็นแววตาเศร้าสร้อยของเพื่อนนักเรียนคนนั้นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เพื่อนนักเรียนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่ตอบคำถามของครู เป็นไปได้ว่าสายรุ้งอาจกำลังคิดถึงตัวเองที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วก็เลยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนคนนั้นดีว่าจะต้องเสียใจมากเพียงใดหากพ่อของเขาต้องมีอันเป็นไป อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนไม่ได้รู้สึกอย่างที่สายรุ้งรู้สึก ความทุกข์ใจของเพื่อนนักเรียนอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยของพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวนั้น…