Skip to main content
ลูกแม่น้ำโขง วรรณกรรมเยาวชนรางวัลพระราชทาน "แว่นแก้ว" ชนะเลิศรางวัลที่ 3 คืออีกหนึ่งผลงานจากนานมีบุ๊ค เขียนโดย "เขมชาติ"


แม้ว่าลูกแม่น้ำโขงจะเดินตามขนบวรรรกรรมเยาวชนแบบที่เขียน ๆ กัน ที่มักพูดถึงชนบทอันงดงามที่ผู้คนพึ่งพาช่วยเหลือกัน สภาพธรรมชาติที่ผูกพันแวดล้อมวิถีชีวิต การเล่นซนของเด็ก ๆ และข้อคิดทางด้านคุณธรรม เป็นต้นว่า การไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ความมีน้ำใจ  ถึงกระนั้น ลูกแม่น้ำโขง ก็ยังคงน่าอ่านด้วยการบรรยายอย่างมีชีวิตชีวา
  เพราะแม่น้ำโขงแม้นจะไหลอย่างที่เคยไหลก็ยังคงน่ามองและมีเสน่ห์อยู่เสมอ

เด็กชายปุ้ม เติบโตในครอบครัวที่เรียกได้ว่า
"ฐานะดี" สำหรับคนชนบทคือมีแม่เป็นครูและพ่อเป็นทหาร แต่ส่วนใหญ่แล้วพ่อของเขาไม่อยู่บ้าน เขาคิดถึงพ่ออยู่เสมอและดีใจมากเมื่อพ่อกลับมาหา

ปัญหาของเด็กที่เกิดมาฐานะดีท่ามกลางคนอื่น ๆ ที่
"ยากจน" คือ "ไม่มีเพื่อน"  เขากินอาหารอย่างที่คนอื่นไม่ได้กิน ใส่เสื้อผ้าสะอาดในขณะที่คืนอื่นมอมแมม สำหรับเด็ก การไม่มีเพื่อนถือเป็นเรื่องใหญ่ กิจกรรมในวัยเยาว์จะจืดลงทันทีหากไม่มีเพื่อนมาร่วมเด็กคนอื่น มองเขาด้วยความหมั่นไส้กระทั่งกลั่นแล้ง

วันหนึ่งแม่ถามเขาว่า
"ปุ้มอยากมีเพื่อนหรือลูก"
"ครับแม่ ปุ้มไม่มีเพื่อนเลย"
"ที่โรงเรียนล่ะลูก ปุ้มไม่มีเพื่อนเลยเหรอ"
"พวกมันไม่ให้ปุ้มเข้าหมู่ มันว่าปุ้มอ้วน อุ้ยอ้าย ทำอะไรก็ช้า" (หน้า 28)

วิธีที่ปุ้มใช้เพื่อให้ได้เพื่อนคือการทำตัวให้เหมือนกับเพื่อน ๆ
  เพื่อนใส่เสื้อนักเรียนสกปรก ปุ้มก็ทำให้เสื้อขาวสะอาดของตนเองสกปรกบ้าง แต่สำหรับเด็ก ๆ แล้วความเป็นเพื่อนไม่ได้ต้องการเงื่อนไขอะไรมากมาย  หลังจากเข้าร่วมชักเย่อในงานวันเด็กแล้วปุ้มก็ได้เพื่อนใหม่ง่ายดาย

เพื่อนใหม่ของปุ้มคือ
"ล้วน" เป็นเด็กโข่ง อายุมากกว่า ตัวใหญ่กว่า  เป็นที่ครั่นคร้ามของเด็กคนอื่น

วิถีชีวิตของปุ้มและล้วนเหมือนภาพตัดกันของเมืองกับชนบท
  ปุ้มร่ำรวย มีโอวัลตินดื่ม ไม่ต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัว  มีชีวิตเหมือนคุณหนู  ในขณะที่ล้วนยากจน ไม่เคยลิ้มรสโอวัลติน รับภาระช่วยเหลือครอบครัวและโตเกินวัย

ล้วนคอยสอนปุ้มในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งดูแล้วเหมือนคนชนบทสอนคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเกี่ยวหญ้า  การขี่ควายและกิจกรรมเล่นสนุกอื่น ๆ

ความเป็นเพื่อนถูกกระชับให้แน่นแฟ้นขึ้นเมื่อล้วนกับปุ้ม ต้องเผชิญหน้ากับ "เขียว" เด็กอีกคนหนึ่งซึ่งค่อนข้างจะเกกมะเหรกเกเร ปุ้มถูกเขียวหาเรื่องในขณะที่ไปเล่นน้ำโขงกับล้วน เขาถูกล้อว่าเป็น "หมูอ้วน" และถูกข่มขู่จากเขียว
"มึงกล้ามากนะที่ลงมาอาบน้ำโขงถิ่นกู" เขียวขู่

ล้วนเสนอตัวช่วยเหลือปุ้มโดยไม่เกรงกลัว ทำให้เขียวไม่พอใจล้วนไปด้วยอีกคน อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ครั้งนี้มิตรภาพของปุ้มกับล้วนก็แน่นแฟ้นขึ้น

เขียวเก็บความโกรธแค้นไว้และจ้องหาโอกาสจัดการกับล้วน แล้วโอกาสก็มาถึง ล้วนกับเขียวต่อสู้กันตามประสาเด็ก ดูเหมือนว่า เขียวจะสู้ไม่ได้ ปุ้มจึงรับบทพระเอก เข้าไปห้ามล้วนและปลอบใจเขียวกระทั่งที่สุดแล้ว เขียวก็กลายมาเป็นเพื่อนอีกคน

ตอนนี้ ปุ้มมีเพื่อนเพิ่มขึ้นหลายคนแล้ว ดูเหมือนว่าความขัดแย้งของเด็กบ้านเดียวจะหายไป แต่มีความขัดแย้งกับเด็กฝั่งลาวเข้ามาแทน

หน้าแล้ง แม่น้ำโขง บางตอนตื้นจนสามารถข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้ เด็ก ๆ ทั้งฝั่งไทย ฝั่งลาวพากันเล่นน้ำอยู่ฝั่งบ้านตนเอง เล่นไปเล่นมา เด็กฝั่งลาวก็แซวว่า "ลูกบักไทยขี้แพ้"

เขียวตอบไปว่า "บักลาวตาขาว" โต้กันไปมาจนเด็กฝั่งลาวท้าให้ข้ามแม่น้ำไปหา เด็กจากฝั่งไทยตะลุยขึ้นไป แต่ก็ต้องว่ายกลับเพราะทางฝั่งโน้นมีจำนวนมากกว่า ปุ้มได้เล่นบทพระเอกอีกครั้งเมื่อพยายามจะช่วยเหลือเด็กฝั่งลาวที่จะจมน้ำ

ปุ้มเติบโตขึ้นพร้อมกับการเรียนรู้ชีวิตแห่งแม่น้ำโขง การหาปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ  เขาหัดว่ายน้ำ ยายแนะนำเขาว่าต้องให้มดแดงกัดสะดือ จะทำให้ตัวเบา ลอยบนผิวน้ำได้สบายซึ่งเขาก็ทำตามที่ยายบอกจริง ๆ และเกิดความมั่นใจจนสามารถว่ายน้ำได้

เมื่อไปเข้าค่ายลูกเสือ เขาต้องเอาไก่ที่เลี้ยงไว้ไปเป็นอาหารในค่ายลูกเสือ แต่แล้วเขาเกิดสงสารไก่ขึ้นมา จึงคิดช่วยให้มันรอดและนำไปสู่เรื่องน่าปวดหัว

ลูกแม่น้ำโขง วิพากษ์เรื่องการเข้าค่ายลูกเสือในปัจจุบันที่เหมือนกับไปปิคนิกไว้อย่างน่าสนใจว่า
"การออกค่ายพักแรมลูกเสือได้ให้อะไรแก่เด็ก ๆ อย่างจริงจังบ้างไหม ลูกเสือที่ล้นเกล้า ล้นกระหม่อมรัชกาลที่ 6 ทรงวางรากฐานเอาไว้นั้นเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน เป็นการฝึกให้เด็กมีระเบียบวินัย มีความอดทน กล้าหาญ เสียสละ แต่กาลเวลาล่วงเลยผ่านมา อุดมการณ์ของลูกเสือถูกละเลย เป้าหมายของการพักแรมก็เบี่ยงเบนไป เวลาออกค่ายพักแรม ครูเองกลับทำตัวอย่างที่ไม่ดีให้นักเรียนเห็น เช่น ตั้งวงดื่มเหล้าและเล่นการพนัน แล้วก็สั่งให้เด็กเอาไก่เป็น ๆ มาเชือดทำกับแกล้ม" (หน้า 80)

กาลเวลาผันผ่าน แม่น้ำโขงล่องไหล   เด็ก ๆ แห่งลูกแม่น้ำโขงเติบโตไปตามทาง วันนี้ปุ้มเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  "เพื่อน ๆ แม้อยู่ห่างกัน แต่ก็รู้ดีว่าเพื่อนรักเขา เพราะเขารักเพื่อน"


บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
วรรณกรรมจากแดนไกลเล่มนี้ คงไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนในความหมายที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมจินตนาการและการผจญภัยอันสนุกสนานของเด็ก ๆ ในแบบเดียวกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” แม้ว่าชื่อเรื่องจะฟังดูชวนฝัน เสริมสร้างจินตนาการแบบเดียวกับ “เจ้าชายน้อย” ของ อังตวน เดอ เซงเตก ซูเปรี ก็ตาม ตรงกันข้ามทีเดียวนี่เป็นวรรณกรรมที่เหมาะสำหรับนักอ่านประเภท “ฮาร์ดคอร์” โดยแท้ ซึ่งวรรณกรรมประเภทนี้เนื้อหาสาระจะนำมาซึ่งความบันเทิงประทับใจ เนื้อหาสาระอันเข้มข้นและลีลาลูกเล่นในการเล่าเรื่องต่างหากที่จะก่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ ไม่ใช่สาระบันเทิงแบบรายการ “ตาสว่าง” ที่ดูแล้วชวนให้มืดมัวด้วยอคติและความไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น…
นาลกะ
เคยได้ยินชื่อ “ขบวนการนกกางเขน” มานานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่าคืออะไร จนกระทั่งเห็นหนังสือชื่อเดียวกันนี้วางอยู่บนชั้นและลงมืออ่าน จึงได้รู้ว่า “ขบวนการนกกางเขน” เป็นวรรณกรรมเยาวชนต่างประเทศที่แปลโดย “แว่นแก้ว” “ขบวนการนกกางเขน” เป็นทั้งชื่อหนังสือและชื่อเรียกของกลุ่มตัวละครเด็ก ๆ ในเรื่อง เด็ก ๆ ถูกวาดให้มีหลากหลายบุคลิก ตั้งขบวนการ รวมตัวกันหาเรื่องสนุก ๆ ทำ จนกระทั่งเข้าไปผจญภัยในห้องใต้ดินและนำไปสู่การค้นพบขุมทรัพย์ในที่สุด ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้น่าจะอยู่ที่ผู้แปลมากกว่าผู้เขียน  สำหรับผู้เขียนชาวฝรั่งเศสคือ Madeleine Treherne  ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ในภาคฝรั่งเศสว่า Rossignols…
นาลกะ
“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”1 แปลมาจากเรื่อง “Dibs In Search of Self” เป็นหนังสือเกี่ยวกับเด็กที่ไม่ใช่นวนิยายที่จัดได้ว่าเป็น Bestseller  อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้อ่านสนุกน่าติดตามราวกับเป็นวรรณกรรมเยาวชน (จะว่าไปเรื่องราวของเด็ก ๆ ก็เป็นวรรณกรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว)ผมเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญในห้องสมุด อ่านเพียงผ่าน ๆ แต่แรงดึงดูดบางประการทำให้วางไม่ลงและอ่านต่อไปด้วยความเพลิดเพลินจนจบ ผิดกับหนังสือหลายเล่มที่ในระยะหลังผมมักจะอ่านไม่จบ ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่ไม่มีแรงดึงดูดให้อ่าน แต่สำหรับเรื่อง “ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ” นี้เป็นข้อยกเว้นจริง ๆ“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”…
นาลกะ
 อนาโตล ฟรองซ์  เขียนไกรวรรณ  สีดาฟอง แปลอนาโตล ฟรองซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมในปี 1921 เขาเป็นชาวปารีส กำเนิดมาท่ามกลางกองหนังสือเก่าของบิดา เขากลายเป็นนักเขียนแถวหน้าด้วยผลงานเรื่อง “ซิลเวอร์แตร์ บงนาร์ด” (1881)  หลังจากนั้นก็สร้างสรรค์นวนิยายออกมาหลายชิ้นที่โด่งดังมากก็คือ “หมู่เกาะนกเพ็นกวิน” (1908) นวนิยายเชิงเสียดสีที่มีฉากหลังเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของศตวรรษ 20ผลงานเรื่อง “หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้”  เขียนขึ้นตอนบั้นปลายของชีวิตของเขา น่าสังเกตว่าหลังจากเขียนงานวรรณกรรมประเภท “สร้างสรรค์…
นาลกะ
“รพินทรนาถ ฐากูร” เขียน“วิทุร  แสงสิงแก้ว” แปล“ปรีชา  ช่อปทุมมา” แปล“เยี่ยมหน้าให้เขายล อ้ายหนูเอ๋ย เพื่อว่าพวกเขาจะได้ซึมซาบในความหมายแห่งสรรพสิ่ง จงทำตัวให้พวกเขารักเพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้จักรักใคร่ซึ่งกันและกันบ้าง”(สำนวนแปลของปรีชา ช่อปทุมมา)
นาลกะ
 จอห์น  โฮลท์  เขียนกาญจนา  ถอดความหนังสือเล่มนี้พูดถึงเด็ก ๆ ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับพวกเรา โดยต้องการพิจารณาดูว่าเด็กทั้งหลายนั้นถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ใดในสังคม (หรือสังคมปัจจุบันอาจจะไม่ได้มีที่ว่างไว้ให้พวกเด็ก  ๆ เลย?)  ผู้เขียนมีทัศนะที่ก้าวหน้ามากในประเด็นที่รายล้อมอยู่รอบตัวเด็ก และเต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ค่านิยม ความเชื่อและพฤติกรรมที่มีผู้ใหญ่มีต่อเด็กอย่างถึงรากถึงโคนจนบางคนอาจจะรับไม่ได้ นอกจากหนังสือเล่มนี้ที่แปลมาจาก Escape from Childhood แล้วผู้เขียนซึ่งเคยเป็นครู มีประสบการณ์ในการคลุกคลีกับเด็กมายาวนาน  …
นาลกะ
อาการป่วยของแม่ทุเลาลง แต่ยังไม่หายเป็นปกติเพราะโรคฉวยโอกาสบางชนิดที่ยังทำให้แม่อ่อนเพลีย คุณหมอมาดูแลอาการของแม่บ่อยครั้ง คุณหมอจะยิ้มอย่างปลอดโปร่งใจทุกครั้งเมื่อตรวจดูอาการของแม่เสร็จ สายรุ้งไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของคุณหมอมีความหมายว่าอะไร อาจหมายถึงว่าแม่จะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิมหรือเพื่อปลอบใจสายรุ้งกันแน่ หรือว่าคุณหมอที่ไหน ๆ ต่างก็มีรอยยิ้มลักษณะเช่นนี้“แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ”คุณหมอทำท่าตรึกตรองราวกับกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะ ๆ นั่นยิ่งทำให้สายรุ้งรู้สึกกังวลหนักขึ้น“หนูต้องดูแลแม่ดี ๆ นะ” คุณหมอตอบ “หนูรู้ไหมว่าหนูมีส่วนอย่างมากในการทำให้คุณแม่หายจากอาการป่วยไว ๆ” “…
นาลกะ
คุณตาและน้ามลมาที่บ้านสายรุ้งบ่อยขึ้น เพราะแม่ของสายรุ้งไม่สบาย แม่เป็นลมหมดสติขณะกำลังทำงาน โชคดีที่ตอนนั้นสายรุ้งอยู่ที่บ้านด้วย สายรุ้งตกใจมากที่เห็นแม่ล้มลงและหมดสติเขาวิ่งไปตามคุณตาและน้ามลสายรุ้งไม่เข้าใจเลยว่าแม่ล้มป่วยได้อย่างไรในเมื่อดูแลตัวเองดีมาโดยตลอด  แม่เคร่งครัดต่อวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก นอนและตื่นตรงเวลาเหมือนกันทุกวัน ระวังให้ไม่โดนแดด โดนฝน แม่เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น อาหารที่ผ่านการหมักดองแม่ไม่ทานเด็ดขาด ผัก ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดแม่ล้างแล้วล้างอีก อาหารทอดหรือปิ้งย่าง แม่ก็ไม่ทาน ทั้งแม่ยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย…
นาลกะ
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปจนใกล้สิ้นปี สายรุ้งและแม่ผ่านวันเวลาร่วมกันมาอย่างกล้าหาญ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลมพายุ รู้จักการโอนเอนตามแรงลมเมื่อพายุกระหน่ำหนักในขณะที่รากนั้นยึดเกาะดินไว้อย่างมั่นคงสายรุ้งมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกปี การผ่านวันเวลาไปจนมีอายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปีนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับแม่ของสายรุ้งแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความหมาย และความสำคัญอย่างยิ่งยวด เธอตระหนักถึงคุณค่าของแต่ละวินาที และรู้ว่ากาลเวลาในหนึ่งวินาทีของเธอกับของคนอื่นนั้นแตกต่างกันด้วยเหตุว่าเธอมีมาตรวัดความยาวนานของเวลาต่างออกไป ส่วนสายรุ้งอาจยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ “…
นาลกะ
สายรุ้งก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เพลิดเพลินกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์  เกมที่มีภาพสวยงามดึงดูดสายตาและสามารถติดต่อสัมพันธ์ คุยเล่นสนุกกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์ การสร้างสีสันสวยงามเกินจริง การออกแบบฉากที่อลังการ ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคาร ตัวสัตว์ประเภทต่าง ๆ  และความน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ปรากฏในเกม ยั่วเย้าเร้าความสนใจของสายรุ้งและเด็กคนอื่นๆ จนไม่อาจต้านทานได้หากเล่นเกมที่ร้านเกมซึ่งมีเด็กๆ ไปชุมนุมกันนั้น สายรุ้งจะนั่งเล่นไม่นานนัก แค่เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพราะแม่ไม่ต้องการให้เขาขลุกอยู่ที่ร้านเกมนานเกินไป…
นาลกะ
เมฆฝนตั้งเค้าทำท่าเหมือนว่าจะเทน้ำลงมา แต่ก็ไม่เคยหล่นลงมาสักหยด สายลมจะพัดพาเมฆให้ลอยไปที่อื่น จากนั้นท้องฟ้าก็จะปลอดโปร่งเหมือนเดิม ชาวสวนที่เฝ้ารออยู่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหวังจะได้เห็นเม็ดฝนโปรยปราย เมล็ดพืชที่หว่านไว้รอเพียงฝนแรกเท่านั้นก็จะแทงยอดอ่อนออกมาท้องฟ้าครึ้ม เมฆสีดำลอยต่ำและบดบังความร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์ อากาศยามสายขมุกขมัว  “วันนี้ฝนจะตก” ตาพูดกับเด่นและสายรุ้ง “ดูฝงมดพวกนั้นสิพากันอพยพเพราะมันรู้ว่าน้ำจะเจิ่งนองท่วมรังของมัน” สายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าช่างดูอึดอัดด้วยบรรยากาศอันอึมครึม นกฝูงบินตัดก้อนเมฆที่คล้อยลงต่ำ“เราจะได้เล่นน้ำ” เด่นว่าแล้วฝนก็เทลงมาจริงๆ…
นาลกะ
วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของสายรุ้งมาโรงเรียนสาย พอครูถามเขาก็ตอบว่าที่บ้านเขากำลังมีปัญหา พ่อของเขาป่วยหนัก เมื่อสายรุ้งเห็นแววตาเศร้าสร้อยของเพื่อนนักเรียนคนนั้นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เพื่อนนักเรียนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่ตอบคำถามของครู เป็นไปได้ว่าสายรุ้งอาจกำลังคิดถึงตัวเองที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วก็เลยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนคนนั้นดีว่าจะต้องเสียใจมากเพียงใดหากพ่อของเขาต้องมีอันเป็นไป อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนไม่ได้รู้สึกอย่างที่สายรุ้งรู้สึก ความทุกข์ใจของเพื่อนนักเรียนอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยของพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวนั้น…