Skip to main content

ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น

โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ

 

นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ

 

ฉันรู้สึกตัวว่าได้ร่วมเป็นจำเลยที่ถูกพิพากษาแล้วจากธรรมชาติ ด้วยการถูกสั่งสอนให้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของแสงอาทิตย์ที่มีความหมายมากกว่าความสว่าง ความอบอุ่น หรือความร้อนแรงที่แผดเผา แต่มันคือความหมายแห่งความหวังของทุกชีวิต ทั้งฉัน ทั้งต้นไม้ของฉัน และทั้งแมวเหมียวตัวน้อยๆห้าตัวที่ตะเกียกตะกายอยู่ในถุงพลาสติกที่เปียกชื้นและคับแคบนี้


ลูกแมวสีดำล้วนสองตัว และสีดำแต้มขาวที่ปากและเท้าอีกสามตัว อายุของพวกมันราวๆสามเดือน แต่ร่างกายที่ผอมแกร็นทำให้ดูเหมือนอายุน้อยกว่านั้นมาก


คนที่เอามันมาส่งให้ฉันคือตาเก้ เพื่อนชาวไร่ที่มีอาณาบริเวณอยู่ติดกันทางทิศเหนือ แกเอามาให้เพราะว่าฉันเอ่ยปากถามหาลูกแมวมาเลี้ยงสักหนึ่งตัวหรือสองตัวกับยายแท่นผู้เป็นเมียของแก ที่แวะมายืมจอบไปให้คนงานดายหญ้าในแปลงมันสำปะหลัง เมื่อวันก่อน

 

ใครจะไปคิดว่าลูกแมวจะมาเร็ว และมากขนาดนี้ด้วยเล่า

ผมไปขอมาจากข้างบ้าน เจ้าของเขาใส่กระสอบมาให้ทั้งคร่อก ก็ไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน”

นั่นน่ะซี ฉันคิดในใจ ฉันเองก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเหมือนกัน ได้แต่ถอนหายใจ แค่หมาสองตัวมันก็กินข้าววันละกิโลแล้วนี่


ถ้ายังไงที่เหลือผมเอาไปให้ทางเถียงนาด้านล่างโน่นก็ได้” ตาเก้เห็นท่าทางยุ่งยากใจของฉันจึงพยายามหาทางออกให้ แต่ฉันสิกลับยุ่งยากใจกว่า เพราะทางข้างล่างโน่นห่างไปร่วมครึ่งกิโลเมตร มีแต่เถียงนาตาลี ใครๆก็รู้ว่ายายแดงไม่ชอบแมว ฉะนั้น ฉันพอจะนึกออกว่าพวกมันที่เหลือจะต้องระเห็จไปอยู่ที่ไหน ที่ไหนนะหรือ ก็ในป่าดงพงไพรแถวนี้ และคงเปียกปอนหนาวสั่นจนตาย หรือไม่ก็ถูกหมาพรานของตาแส เพื่อนบ้านทางทิศตะวันออกไร่ของฉันนี่แหละเขมือบมัน

 

ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรถ้าจะดูแลแมวอีกห้าตัว แต่เวลาฉันไม่อยู่ไร่ใครจะดูแลแทน ช่างเถอะเรื่องนั้นค่อยว่ากัน ฉันสรุปในใจ แล้วบอกขอบคุณตาเก้อย่างเคอะเขิน ก็อย่างว่าล่ะนะ..ขอบคุณที่อุตส่าห์เอามาให้ แต่ใจหายที่มากเกินไป

 

ในที่สุดเจ้าเหมียวหนึ่งคร่อกก็มาแบ่งปันพื้นที่บนบ้านของฉัน พวกมันทั้งกินทั้งถ่าย ทั้งเดินทั้งวิ่งให้วุ่นไปหมด เพราะพื้นที่ข้างล่างยังเปียกแฉะไปด้วยน้ำที่ท่วมขังมาหลายวันแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ใต้ถุนบ้าน โชคดีของเจ้าหมาหนุ่มสองตัวที่ยังมีแคร่ไม้ไผ่ให้อาศัยนอน ฉันต้องหาดินมาถมขึ้นเป็นเนินสำหรับก่อกองไฟเพื่อไล่ยุงและให้ไออุ่นในยามค่ำคืน



สามวันผ่านไป ลูกแมวทั้งหลายพยายามจะป่ายปีนลงไปข้างล่าง มันมีสัญชาตญาณของนักล่า หลังจากล่าจิ้งจก จิ้งเหลนจนกระเจิงไปหมดบ้าน มันคงอยากจะลงสนามจริงๆ ซึ่งอุดมไปด้วยหนูจี๊ดมากมายก่ายกองอยู่ทั่วไปทั้งสวน แต่เจ้าหมาหนุ่มผู้มีอำนาจเด็ดขาดในบ้านมาก่อนตั้งป้อมร้องขู่ฮึ่มๆอยู่ทุกครั้งไปที่เห็นเงาเจ้าตัวเล็กกำลังมุดช่องกล่องกระดาษที่เป็นเครื่องกัดขวางตรงประตู บางครั้งบางตัวก็กระโดดลงมาหลายขั้นบันได

 

ทุกครั้งที่มีเสียงแฮ่ๆ ฮึ่มๆ ฉันรีบวิ่งมาฉวยเจ้าตัวนุ่มโยนขึ้นบ้านก่อนที่จะสายเกินแก้ จนเกิดการปะทะสร้างความเสียหายแก่ชีวิต เพราะเค้าของสงครามแย่งพื้นที่ได้ก่อตัวขึ้นแล้วในบ้านนี้

 

นี่คือความวุ่นวายในวันฝนตกน้ำท่วมนอง ฉันต้องเฝ้าระแวดระวังไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า แม้จะดูคล้ายๆเรื่องไร้สาระ แต่ไม่อาจมองข้าม เพราะต่างฝ่ายต่างไม่อาจเจรจา ด้วยว่าภาษาที่ใช้นั้นต่างกัน

 

เรื่องฟ้าฝน ฉันยอมรับว่าไร้อำนาจในการควบคุมโดยสิ้นเชิง ต้องปล่อยให้ชะตา(ฉัน)ฟ้าลิขิต แต่เรื่องราวความไม่ชอบหน้า ไม่พอใจกันระหว่างหมาและแมว ฉันไม่อาจดูดายให้ฝ่ายใดถูกทำร้ายได้ จึงครุ่นคิดหาหนทางสร้างสันติสุขในบ้านให้จงได้ แต่เพราะฉันไร้ประสบการณ์ในเรื่องราวเหล่านี้ ไม่เคยเป็นนักจัดการความขัดแย้ง ครั้นจะหาหาตำรา “สันติวิธี” หรือ “อหิงสาอารยะขัดขืน” อะไรเหล่านั้นมาอ่าน ก็คงช่วยอะไรไม่ได้

 

ตราบใดที่หมายังเชื่อมั่นในอำนาจ และแมวก็ยังอยากจะได้อิสระภาพกว้างไกลในชีวิต

เจ้าหมาคงไม่ยอมฟังฉัน และเจ้าแมวคงไม่ยอมรับอำนาจของหมา

โอ....ฉันจะทำอย่างไรดี


บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแกถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม…
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่…
เงาศิลป์
สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด.....หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน…
เงาศิลป์
วันเวลาที่ผ่านไป ฉันค่อยๆ คลายความกังวล แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจะมาอยู่เป็นเพื่อนเกือบตลอดเวลา แต่วิชาเกลือจิ้มเกลือ เจ็บแก้เจ็บ ยังใช้ได้เสมอ (โปรดใช้วิจารณญาณในการนำไปทดลอง)และแล้วเหมือนกรรมบันดาล (อีกแล้ว) วันหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่า คนเราได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเพียงแค่ 60 – 70 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่เคยรู้จักมัน และปล่อยให้มายาคติบางอย่างครอบงำ โดยเฉพาะคำว่า “อย่าทำ” .... “ไม่ควรทำ”.....หรือ “ไม่เหมาะสมที่จะทำ” และอะไรอีกหลายความคิดที่ปิดกั้นโอกาสของตัวเองกลางเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง ฉันเร่ร่อนลงเรือไปที่หาดไร่เล ตอนนั้นแทบว่าไม่มีคนไทยรู้จักหาดไร่เล นอกจากฮิปปี้และนักปีนผา (…
เงาศิลป์
การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมายคุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า “ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร” ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน…
เงาศิลป์
เช้าวันนี้….ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ” ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิดรอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วงสายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆจึงเดินออกไปดูร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป …
เงาศิลป์
“ฉันจะต้องไม่พิการ”ฉันคำรามหนักแน่นอยู่ในใจ ในคืนวันหนึ่ง เมื่อนอนอยู่ในท่าทีเอาขาขวาพาดไว้บนกำแพง เพื่อดัดขาไล่ความเมื่อยล้า จากงานหนักจากวันนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้เข่าของฉันเจ็บน้อยลง ฉันจะทำทันที เริ่มจากการค้นหาวิธีแก้ไข ควบคู่ไปกับการยอมรับความเจ็บปวดของขาข้างขวาว่าเป็นคู่แท้ของชีวิตปีแรก ฉันเดินกะเผลกแบบคนขาเป๋ เพราะขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย และยังไม่มีพละกำลัง เวลาเดินจึงเห็นว่าตัวเอียงมาก เป็นที่เวทนาตัวเองยามคนจ้องมอง ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนพิการมากขึ้นแต่แล้ววันหนึ่ง เหมือนพระมาโปรด ฉันกลับมากรุงเทพฯ แล้วไปเยี่ยมเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ขณะนั่งอยู่ริมสนามฟุตบอล มองคนอื่นๆเล่นกิฬา อย่างเสียดาย…