Skip to main content

ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน


นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน


หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ


ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ


บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้ สู่เมืองเอลล่า ประเทศศรีลังกา

(ภาพถ่ายไม่สะอาด และชัดเจนนักเพราะสแกนมาจากสไลด์เก่า)


วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว ที่ฉันเร่ร่อนบนแผ่นดินนี้ เพราะเดินทางทุกวันจนแทบจำวันเวลาไม่ได้ มองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟที่ไต่ระดับขึ้นสูง สู่สันเขามอง เห็นหุบเขาและสวนชากว้างไกลลิ่บลิ่ว ได้กลิ่นหอมของหมากที่ชาวศรีลังกาเคี้ยวกิน กลิ่นหอมสมุนไพรคล้ายๆ กลิ่นอบเชย โดยเฉพาะผู้ชายที่นั่งข้างๆ ฉัน อายุอานามไม่ใช่น้อยแล้ว เคี้ยวหมากหยับๆ นั่งอย่างสบายอารมณ์ ทำให้ไม่เข้าใจในท่าทีของเขา อาจเป็นว่าพวกผู้ชายมักจะปล่อยอารมณ์ได้อย่างสบายๆ แม้แต่เวลานั่งบนรถไฟที่ต้องใช้ม้านั่งร่วมกับผู้หญิง หรือว่าเฉพาะกับคนต่างชาติเช่นฉัน เขาจึงได้ปล่อยแขนขาให้เป็นอิสระ อย่างไม่ต้องระมัดระวัง และอย่างตั้งใจทำให้มันกลายเป็นอวัยวะส่วนเกินเสียด้วย


ฉันล่ะขัดใจนัก แต่ก็ต้องทำอารมณ์ดี ยิ้มตอบในไมตรีของแก ที่ชวนพูดคุย


ไอ แอม ทมิฬ” ลุงแกแนะนำตัวอย่างภูมิใจ พร้อมยิ้มกว้างขวาง และฉันเชื่อว่านั่นไม่ใช่ชื่อแกอย่างแน่นอน แกพูดอังกฤษลิ้นรัวต่อไป จับความได้ว่ามาจากเมืองทางเหนือ ถิ่นฐานชาวทมิฬ กำลังไปเยี่ยมญาติทางใต้


ฉันไม่ได้ถามอะไรต่อไป ทั้งที่สงสัยว่าทำไมแกจึงได้ภาคภูมิใจในความเป็นทมิฬของแกนัก ทั้งที่รู้มาจากคนศรีลังกาอื่นๆ ที่ได้พูดคุย พบว่าชาวสิงหลต่างหาก ที่มีฐานะเศรษฐกิจและการศึกษาดีกว่า เพราะนโยบายการปกครองที่เอื้อโอกาสให้มากกว่า


สิ่งนั้นทำให้สงสัยมาจนถึงตอนนี้ เพราะความขัดแย้งและแบ่งฝ่ายของพวกเขาต่างก็เข้มข้นขึ้นทุกวัน ลุงแกกลับประกาศความเป็นฝ่ายของตนอย่างเป็นเรื่องธรรมดา


หรือว่า...ที่กำลังเข่นฆ่ากันอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ในนามทมิฬและสิงหล ไม่ได้เกี่ยวกับทมิฬหรือสิงหลอื่นๆที่เดินเหินอยู่ในประเทศ


จากบันทึก ที่ฉันเขียนไว้บนรถไฟตอนนั้น สภาพของรถไฟชั้นสาม ที่มีโบกี้กว้างกว่ารถไฟบ้านเรา ยังเต็มไปด้วยผู้โดยสารที่ยิ้มแย้มแจ่มใส โดยเฉพาะเด็กนักเรียนผู้ชาย ที่เข้ามาทักทายแล้วชะโงกหน้าออกนอกหน้าต่าง ทำท่าทางหล่อๆขอให้ฉันถ่ายรูป ฉันจึงสนองตอบอย่างยินดี จะเป็นไรไป ฉันได้เก็บภาพที่มีชีวิตชีวาด้วยไง


ในบันทึกตอนหนึ่ง...


หลังจากถ่ายรูปให้เขาแล้ว และสนทนากันนิดหน่อยพอเป็นที่รู้จักกันว่าใครเป็นใคร แต่ในที่สุด เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้ออกไปยืนไกลกว่าที่ฉันนั่ง ดูเหมือนจะพยายามทำตัวเป็นผู้เอื้ออารีในการดูแลฉันจนน่ารำคาญ


รถไฟค่อยๆไต่ขึ้นไปบนยอดภูเขาสูง เป็นวงกลมแบบงูเลื้อย ภาพตื่นตาคือสายน้ำน้อยใหญ่ ที่ไหลหลากลงมาเป็นสายน้ำตก ไม่นานเราก็ทิ้งห่างสวนชาและบ้านเรือนหลังเล็กๆ ประปรายไว้เบื้องหลัง เข้าสู่ยอดภูเขาสูง ฝ่าเข้าไปในดงสนที่มีหมอกหนาทึบเยียบเย็น รถไฟทะยานอยู่ในม่านหมอกไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งหลุดออกมาจากป่า เจ้าม้าเหล็กคันยาวค่อยๆดิ่งลงสู่ตัวเมือง ผ่านมาราวๆสามเมืองเล็กๆ ก็มาถึงเมืองเอลล่า ที่เป็นจุดหมายปลายทาง ในเวลาพลบค่ำพอดี

ตื่นเช้าขึ้นมาจากที่พัก ฉันพบว่าเมืองเล็กๆแห่งนี้ ซุกตัวอยู่ท่ามกลางดงดอกบัวตองสีม่วงเข้ม น่าตื่นตา


อ่านบันทึก หวนระลึกถึงความหลังแล้วใจหาย แหว่งวิ่นไปกับวันเวลา เพราะรู้ว่ามันไม่อาจหวนคืน ทำไมต้องเป็นแบบนี้หนอนี่ อาจเป็นไปได้ว่า ระยะเวลาที่เดินทางในศรีลังกาปีนั้น คือเดือนธันวาคม ก่อนเกิดสึนามิหนึ่งปีพอดี


ตลอดเวลาครึ่งเดือน ฉันตื่นเต้นกับการพบเห็นการประท้วงทุกหัวระแหง ทั้งข่าวการสู้รบระหว่างเลือดทมิฬและสิงหล อันระอุร้อน และวันหนึ่ง...ฉันก็ถูกหางเลขการประท้วงเข้าจนได้


วันนั้น...ฉันรอรถเมล์โดยสาร จากเมืองมิริสสา (เมืองตากอากาศทางตอนใต้) ตั้งใจจะไปที่ฮิกคาดูวา ซึ่งห่างออกไปไม่ถึงร้อยกิโลเมตร นัยว่าที่เมืองนั้นมีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่น่าสนใจ ฉันจึงอยากจะไปดู เผื่อมีโอกาสจะได้แวะไปศึกษาธรรมะบ้าง แต่แล้วแผนการเดินทางของฉันก็ต้องเปลี่ยนไป เพราะฉันถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นรถเพียงคนเดียว จะเป็นเพราะในฐานะชาวต่างชาติหรืออะไรไม่รู้แจ้ง เพราะถามชาวบ้านแถวนั้น ไม่มีใครให้เหตุผลอะไรได้ เพราะว่าตอนนั้นเหลือแต่รถเมล์สายเหลืองสายเดียวที่วิ่งอยู่ ทั้งยังอัดผู้คนพื้นถิ่นเข้าไปไว้จนแน่นเอี๊ยด จนไม่เหลือที่ว่างให้กับชาวต่างชาติแบบฉัน(กระมัง)


การเดินทางจึงต้องเปลี่ยนเป็นรถตู้ ร่วมเดินทางไปกับชาวต่างชาติคนอื่นๆ เป้าหมายต้องเปลี่ยนไป


ในเวลานั้นฉันเข้าใจได้เสมอ เพราะฉันเป็นคนนอก ที่แค่เฝ้าดูความขัดแย้งของประเทศเขา แต่วันนี้...ในประเทศของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างพยายามแบ่งแยกฝ่าย ฉันจึงสงสัยตัวเองว่า ต่อไปในอนาคต ถ้าเรายอมรับการเลือกฝ่ายได้อย่างสบายๆ อย่างไม่ขัดแย้งบาดหมางทางอารมณ์กันไปมากกว่านี้ ฉันจะเลือกแนะนำตัวว่าเป็นฝ่ายไหนดีหนอ


ฝ่ายพันธมิตร หรือว่า นปช. ดีล่ะ หรือว่าเป็นฝ่าย(มือ)ที่สาม


เถอะนะ...จะเลือกฝ่ายไหนก็ตามที ขอให้มันเป็นเพียงแค่การแบ่งข้างทำความดีตามความเชื่อของตนอย่างไม่เบียดเบียนกันก็พอ


ฉันคิดไปตามประสาฉัน อย่างคนที่(พยายาม)ไร้เดียงสาต่อความขัดแย้ง มีชีวิตไปวันๆด้วยการปลูกต้นไม้ และยังเก็บรักษาความฝันที่จะเดินทางไกลอีกครั้ง แม้ว่าถนนทุกสาย พื้นที่ทุกแห่งบนโลกนี้ จะเต็มไปด้วยความขัดแย้งเกลียดชัง


แต่ในวิถีนั้น ฉันเชื่อมั่นว่า ยังมีความรักความปรารถนาดีให้ฉันได้พบเจออยู่เสมอ



บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…