ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน
นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน
หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ
ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ
บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้ สู่เมืองเอลล่า ประเทศศรีลังกา
(ภาพถ่ายไม่สะอาด และชัดเจนนักเพราะสแกนมาจากสไลด์เก่า)
วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว ที่ฉันเร่ร่อนบนแผ่นดินนี้ เพราะเดินทางทุกวันจนแทบจำวันเวลาไม่ได้ มองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟที่ไต่ระดับขึ้นสูง สู่สันเขามอง เห็นหุบเขาและสวนชากว้างไกลลิ่บลิ่ว ได้กลิ่นหอมของหมากที่ชาวศรีลังกาเคี้ยวกิน กลิ่นหอมสมุนไพรคล้ายๆ กลิ่นอบเชย โดยเฉพาะผู้ชายที่นั่งข้างๆ ฉัน อายุอานามไม่ใช่น้อยแล้ว เคี้ยวหมากหยับๆ นั่งอย่างสบายอารมณ์ ทำให้ไม่เข้าใจในท่าทีของเขา อาจเป็นว่าพวกผู้ชายมักจะปล่อยอารมณ์ได้อย่างสบายๆ แม้แต่เวลานั่งบนรถไฟที่ต้องใช้ม้านั่งร่วมกับผู้หญิง หรือว่าเฉพาะกับคนต่างชาติเช่นฉัน เขาจึงได้ปล่อยแขนขาให้เป็นอิสระ อย่างไม่ต้องระมัดระวัง และอย่างตั้งใจทำให้มันกลายเป็นอวัยวะส่วนเกินเสียด้วย
ฉันล่ะขัดใจนัก แต่ก็ต้องทำอารมณ์ดี ยิ้มตอบในไมตรีของแก ที่ชวนพูดคุย
“ไอ แอม ทมิฬ” ลุงแกแนะนำตัวอย่างภูมิใจ พร้อมยิ้มกว้างขวาง และฉันเชื่อว่านั่นไม่ใช่ชื่อแกอย่างแน่นอน แกพูดอังกฤษลิ้นรัวต่อไป จับความได้ว่ามาจากเมืองทางเหนือ ถิ่นฐานชาวทมิฬ กำลังไปเยี่ยมญาติทางใต้
ฉันไม่ได้ถามอะไรต่อไป ทั้งที่สงสัยว่าทำไมแกจึงได้ภาคภูมิใจในความเป็นทมิฬของแกนัก ทั้งที่รู้มาจากคนศรีลังกาอื่นๆ ที่ได้พูดคุย พบว่าชาวสิงหลต่างหาก ที่มีฐานะเศรษฐกิจและการศึกษาดีกว่า เพราะนโยบายการปกครองที่เอื้อโอกาสให้มากกว่า
สิ่งนั้นทำให้สงสัยมาจนถึงตอนนี้ เพราะความขัดแย้งและแบ่งฝ่ายของพวกเขาต่างก็เข้มข้นขึ้นทุกวัน ลุงแกกลับประกาศความเป็นฝ่ายของตนอย่างเป็นเรื่องธรรมดา
หรือว่า...ที่กำลังเข่นฆ่ากันอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ในนามทมิฬและสิงหล ไม่ได้เกี่ยวกับทมิฬหรือสิงหลอื่นๆที่เดินเหินอยู่ในประเทศ
จากบันทึก ที่ฉันเขียนไว้บนรถไฟตอนนั้น สภาพของรถไฟชั้นสาม ที่มีโบกี้กว้างกว่ารถไฟบ้านเรา ยังเต็มไปด้วยผู้โดยสารที่ยิ้มแย้มแจ่มใส โดยเฉพาะเด็กนักเรียนผู้ชาย ที่เข้ามาทักทายแล้วชะโงกหน้าออกนอกหน้าต่าง ทำท่าทางหล่อๆขอให้ฉันถ่ายรูป ฉันจึงสนองตอบอย่างยินดี จะเป็นไรไป ฉันได้เก็บภาพที่มีชีวิตชีวาด้วยไง
ในบันทึกตอนหนึ่ง...
หลังจากถ่ายรูปให้เขาแล้ว และสนทนากันนิดหน่อยพอเป็นที่รู้จักกันว่าใครเป็นใคร แต่ในที่สุด เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้ออกไปยืนไกลกว่าที่ฉันนั่ง ดูเหมือนจะพยายามทำตัวเป็นผู้เอื้ออารีในการดูแลฉันจนน่ารำคาญ
รถไฟค่อยๆไต่ขึ้นไปบนยอดภูเขาสูง เป็นวงกลมแบบงูเลื้อย ภาพตื่นตาคือสายน้ำน้อยใหญ่ ที่ไหลหลากลงมาเป็นสายน้ำตก ไม่นานเราก็ทิ้งห่างสวนชาและบ้านเรือนหลังเล็กๆ ประปรายไว้เบื้องหลัง เข้าสู่ยอดภูเขาสูง ฝ่าเข้าไปในดงสนที่มีหมอกหนาทึบเยียบเย็น รถไฟทะยานอยู่ในม่านหมอกไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งหลุดออกมาจากป่า เจ้าม้าเหล็กคันยาวค่อยๆดิ่งลงสู่ตัวเมือง ผ่านมาราวๆสามเมืองเล็กๆ ก็มาถึงเมืองเอลล่า ที่เป็นจุดหมายปลายทาง ในเวลาพลบค่ำพอดี
ตื่นเช้าขึ้นมาจากที่พัก ฉันพบว่าเมืองเล็กๆแห่งนี้ ซุกตัวอยู่ท่ามกลางดงดอกบัวตองสีม่วงเข้ม น่าตื่นตา
อ่านบันทึก หวนระลึกถึงความหลังแล้วใจหาย แหว่งวิ่นไปกับวันเวลา เพราะรู้ว่ามันไม่อาจหวนคืน ทำไมต้องเป็นแบบนี้หนอนี่ อาจเป็นไปได้ว่า ระยะเวลาที่เดินทางในศรีลังกาปีนั้น คือเดือนธันวาคม ก่อนเกิดสึนามิหนึ่งปีพอดี
ตลอดเวลาครึ่งเดือน ฉันตื่นเต้นกับการพบเห็นการประท้วงทุกหัวระแหง ทั้งข่าวการสู้รบระหว่างเลือดทมิฬและสิงหล อันระอุร้อน และวันหนึ่ง...ฉันก็ถูกหางเลขการประท้วงเข้าจนได้
วันนั้น...ฉันรอรถเมล์โดยสาร จากเมืองมิริสสา (เมืองตากอากาศทางตอนใต้) ตั้งใจจะไปที่ฮิกคาดูวา ซึ่งห่างออกไปไม่ถึงร้อยกิโลเมตร นัยว่าที่เมืองนั้นมีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่น่าสนใจ ฉันจึงอยากจะไปดู เผื่อมีโอกาสจะได้แวะไปศึกษาธรรมะบ้าง แต่แล้วแผนการเดินทางของฉันก็ต้องเปลี่ยนไป เพราะฉันถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นรถเพียงคนเดียว จะเป็นเพราะในฐานะชาวต่างชาติหรืออะไรไม่รู้แจ้ง เพราะถามชาวบ้านแถวนั้น ไม่มีใครให้เหตุผลอะไรได้ เพราะว่าตอนนั้นเหลือแต่รถเมล์สายเหลืองสายเดียวที่วิ่งอยู่ ทั้งยังอัดผู้คนพื้นถิ่นเข้าไปไว้จนแน่นเอี๊ยด จนไม่เหลือที่ว่างให้กับชาวต่างชาติแบบฉัน(กระมัง)
การเดินทางจึงต้องเปลี่ยนเป็นรถตู้ ร่วมเดินทางไปกับชาวต่างชาติคนอื่นๆ เป้าหมายต้องเปลี่ยนไป
ในเวลานั้นฉันเข้าใจได้เสมอ เพราะฉันเป็นคนนอก ที่แค่เฝ้าดูความขัดแย้งของประเทศเขา แต่วันนี้...ในประเทศของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างพยายามแบ่งแยกฝ่าย ฉันจึงสงสัยตัวเองว่า ต่อไปในอนาคต ถ้าเรายอมรับการเลือกฝ่ายได้อย่างสบายๆ อย่างไม่ขัดแย้งบาดหมางทางอารมณ์กันไปมากกว่านี้ ฉันจะเลือกแนะนำตัวว่าเป็นฝ่ายไหนดีหนอ
ฝ่ายพันธมิตร หรือว่า นปช. ดีล่ะ หรือว่าเป็นฝ่าย(มือ)ที่สาม
เถอะนะ...จะเลือกฝ่ายไหนก็ตามที ขอให้มันเป็นเพียงแค่การแบ่งข้างทำความดีตามความเชื่อของตนอย่างไม่เบียดเบียนกันก็พอ
ฉันคิดไปตามประสาฉัน อย่างคนที่(พยายาม)ไร้เดียงสาต่อความขัดแย้ง มีชีวิตไปวันๆด้วยการปลูกต้นไม้ และยังเก็บรักษาความฝันที่จะเดินทางไกลอีกครั้ง แม้ว่าถนนทุกสาย พื้นที่ทุกแห่งบนโลกนี้ จะเต็มไปด้วยความขัดแย้งเกลียดชัง
แต่ในวิถีนั้น ฉันเชื่อมั่นว่า ยังมีความรักความปรารถนาดีให้ฉันได้พบเจออยู่เสมอ