Skip to main content
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมง

ยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่า

สำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร พวกมันต่างเริงร่า ไม่ต้องกลัวเปียกฝนแถมอาหารยวนปากมีมากเหลือเฟือ ก็เจ้าไส้เดือนที่ออกมาพลีชีพกลางแสงแดดนี่ไง

วันนี้ ขบวนการนกเอี้ยงเลี้ยงควายเฒ่าที่ไร้ควายจะเลี้ยงนับร้อยตัว มาปาร์ตี้ที่หน้ากระท่อมของฉัน พวกมันกระโดดโลดเต้นหยอยๆ จิกกินเจ้าตัวยาวไปด้วย ถกเถียงกันไปด้วย คล้ายกับบอกว่า กินเข้าไป กินเข้าไป ถึงคราวได้กินแล้วนี่ หรืออาจกำลังวิจารณ์รสชาติที่อร่อยไม่เท่ากันของไส้เดือนแต่ละตัว ฉันไม่อาจรู้ได้ แต่ที่พอจะยืนยันว่ารู้ก็คือความสุขที่พวกมันมี ในขณะที่กินอย่างตะกละตะกราม จนลืมกลัวมนุษย์ที่เฝ้าดูมันอยู่อย่างใกล้ชิด

นั่นก็คือฉัน ซึ่งกำลังนั่งสับไม้ฟืนเป็นท่อนเล็กๆ อยู่ที่ร่มเงาชายคากระท่อม ห่างจากพวกมันเพียงไม่กี่ก้าว

และนี่คือครั้งแรก ที่ฉันเห็นกระบวนการของการคืบคลานไปสู่ความตายอย่างพร้อมเพรียง

"หมอบอกว่าพ่อผมเป็นมะเร็งในท่อน้ำดี"
เด็กหนุ่มหน้าตาหมองเศร้าจนเห็นได้ชัด เขาดูซูบผอมมากกว่าเก่า ซึ่งเดิมก็ผ่ายผอมอยู่แล้ว
"โชค"แวะมาบอกข่าวร้ายนี้ เพราะเขาได้ขอเบิกเงินค่าแรงล่วงหน้าจากฉันไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน แต่ยังไม่มีเวลามาทำงานให้ เพราะงานของพ่อต้องตกทอดมาเป็นงานของเขาทั้งหมด ทั้งการจัดการกับวัวสี่ห้าตัวให้กินหญ้าและต้อนเข้าออกจากคอก รวมทั้งงานดูแลแตงโมประมาณสองไร่นั้นด้วย

การปลูกแตงโมแบบเกษตรพันธะสัญญา ดูเหมือนนายทุนจะเป็นผู้เอื้ออารี ลงทุนให้หมดทุกอย่าง ขอเพียงแค่ทำตามคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่มาชี้แนะให้ และหนึ่งในความจำเป็นอย่างยิ่งของการปลูกพืชชนิดนี้ คือสารเคมีไล่(ฆ่า)แมลง ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกแต่เพียงว่ามันดีต่อผลผลิตอย่างไร แต่ไม่เคยบอกว่ามันมีอันตรายต่อชีวิตคนปลูกและกินอย่างไร

เมื่อใดที่มีการพ่นยาไล่แมลงในแปลงแตงโม ฉันจะเลี่ยงไม่เดินไปทางนั้นเด็ดขาด เพราะกลัวพิษสง และเพราะความสงสารเด็กสองคนพี่น้อง ที่ต้องทำงานกับสารเคมี พวกเขารับหน้าที่เดินถือสายพ่นน้ำยาไปตามร่องแตงโมโดยไม่มีอะไรมาปิดปากปิดจมูก น้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างผิดปกติของโชค อาจมาจากพิษของสารเคมีนั้นด้วย

ฉันไม่เห็นด้วยกับการใช้สารเคมีอันตราย แต่ฉันไม่ใช่คนที่มีอำนาจในการสั่งไม่ให้ใช้มัน จึงต้องยอมรับความจริงว่าโลกของฉันส่วนใหญ่เปื้อนสารพิษ แม้แต่ซอกมุมชีวิตที่ฉันพยายามทะนุถนอมให้สะอาดก็อาจแทรกซึมเข้ามาได้ ทั้งทางดิน น้ำและอากาศ

เมื่อไม่มีอำนาจจะปกป้องชีวิตตัวเองด้วยการห้ามคนอื่นใช้  จึงทำได้เพียงเลี่ยงให้ไกลจากอันตรายเท่าที่จะทำได้

ฉะนั้น สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้า ไส้เดือนที่ขึ้นมาตายอย่างกล้าหาญเยี่ยงนักรบพลีชีพ และนกเอี้ยงได้กินอาหารอย่างชอบธรรม แสดงว่าโดยธรรมชาติแล้วชีวิตทุกชีวิตล้วนเกื้อกูลกันในทุกวิถีทาง แม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิตก็ยังให้ประโยชน์กับสัตว์อื่นได้อีก

แต่มนุษย์ที่รู้มากแบบเราๆ มีการส่งเสริมให้ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อชีวิตทั้งต่อตนเองและสัตว์อื่น ในนามของความสมบูรณ์ของการผลิต น่าขำนัก  แล้วจะถือว่าเป็นความคิดที่ดีงามได้อย่างไร

คล้ายๆ ฉันได้ยินเสียงนกเอี้ยงตัวหนึ่งตะโกนขึ้นในท่ามกลางความเอร็ดอร่อยที่อื้ออึง

"มนุษย์หน้าโง่เอ๋ย....ความตายของพวกเจ้า ล้วนเกิดจากความเขลาของตัวเอง"

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า