Skip to main content

ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ.....


ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ


ต้นไม้ขนาดพอกอด ที่ล้มลงเองตามวาระ เนื่องจากที่โคนถูกไฟที่ลุกลามมาจากป่า เมื่อปีก่อนที่ฉันจะมาอยู่ที่นี่ และบังเอิญมันเป็นไม้ที่อยู่ตรงเขตแดน เ มื่อฝนตกหนักมันจึงล้มฟาดลงมานอนในเขตพื้นที่ของฉัน ฉันจึงใช้รถแทร็คเตอร์ลากมาเก็บที่หน้ากระท่อม ตอนนี้มันกำลังลุกไหม้เป็นเปลวไฟ ส่งประกายแดงวาบเปล่งความอบอุ่นกล่อมเจ้าหมาน้อยใหญ่ห้าตัวให้ยอมนอนหลับที่ใต้บันได ความจำเป็นอย่างนี้ ที่ต้องทำการเผาผลาญต้นไม้ใหญ่ เพื่อลดการตื่นขึ้นมาใส่ไฟในยามดึก ไม้ขนาดใหญ่จะลุกไหม้นาน แค่เปลี่ยนเป็นถ่านแดงๆ ก็สามารถให้ไออุ่นได้ทั้งคืน


แต่ยามกลางวันนี่สิ กว่าฉันจะดับไฟได้ ต้องใช้กระบอกฉีดน้ำเล็กๆ ฉีดพ่นอยู่นาน

ไฟสุมขอนดับยากจริงๆ” นึกถึงคำเปรียบเปรยที่ใช้กับสถานการณ์ทางภาคใต้ มันช่างยากจะดับให้สนิทจริงๆด้วย

เมื่อสมัยเป็นเด็ก เคยเห็นพ่ออมน้ำแล้วพ่นเป็นฟองฝอยลงใส่ไฟ พ่อบอกว่า เป็นการดับไฟอย่างนุ่มนวล ไม่ให้อากาศไล่ขี้เถ้าให้ฟุ้งขึ้นมา จนเลอะเทอะบ้าน มาวันนี้ฉันทำหน้าที่ดับไฟของตัวเองอย่างช้าๆ แต่หลายครั้งต้องกลับมาฉีดน้ำใหม่ เพราะลมหนาวที่กระพือพัดอย่างแข็งขัน โหมให้เปลวไฟลุกโชนขึ้นมาใหม่อย่างง่ายดาย


ครั้งหนึ่งด้วยความใจร้อน ตักน้ำใส่ฝักบัวแล้วราดลงไป ผลก็คือขี้เถ้าลอยฟุ้งกระจาย เกาะตามเนื้อตัวผมเผ้าจนขาวโพลน ขาวไปทั่วบ้าน


จึงรู้ว่าการดับไฟ ทั้งภายนอกและภายใน ต้องใส่ใจระมัดระวังอย่างรู้วิธี


นอกจากเรื่องของไฟ ฉันยังเป็นหนี้บุญคุณต่อดิน เพราะฉันเป็นคนปลูกต้นไม้ ดังนั้นเรื่องการจัดการกับดินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันจะต้องเรียนรู้ การฟื้นฟูชีวิตของดินให้หวนคืนมา ฉันต้องพึ่งพาน้ำ หากปราศจากน้ำฉันคงไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนปลูกต้นไม้ แต่วิธีการที่จะให้น้ำ ต้องใช้ความประณีตบรรจงพอสมควร ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นการฆาตกรรมดินซ้ำสอง


การดูแลต้นไม้ ต้องค่อยๆรดน้ำให้ซึมลงไปในดินทีละนิด หรือใช้การขุดหลุมให้ลึกประมาณข้อศอกแต่มีขนาดแคบเพื่อเอาขวดน้ำปักลงไปในดิน ให้น้ำไหลซึมออกมาสู่เนื้อดินที่ละนิดแล้ว ต้นไม้ดูดน้ำเข้าสู่ลำต้นทางหมวกรากได้เร็วที่สุด ไม่ต้องให้น้ำสูญเสียไปกับแสงแดด ไม่ทำให้ดินทรายจับก้อนแข็งราวผลึกแก้วที่พร้อมจะกักเก็บและสะท้อนไอร้อนขึ้นสู่อากาศได้อีก


หากดินเป็นกระดาษและต้นไม้เป็นตัวอักษร อันมีน้ำเป็นปากกา วิธีการเขียนอักษรต้องใจเย็น จึงจะทำให้อักษรเด่นชัดขึ้นมา ขณะที่มีแรงลมคอยเกื้อกูลอย่างเงียบๆ ส่วนไฟนั้นเล่า ไฟที่เป็นเชื้อเพลิง ฉันใช้มันเพื่อดำรงชีวิต

แม้จะไม่เกี่ยวกับการปลูกต้นไม้เท่าใดนัก แต่มันก็เกี่ยวเนื่องกัน ต้นไม้ที่ใช้มาทำเชื้อเพลิงหุงต้มในทุกวัน ฉันเก็บมาจากป่าข้างไร่ จากต้นที่ล้มตายลงมีอยู่เหลือเฟือ


เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการได้มาของไฟและความอบอุ่นจากไฟแล้ว สิ่งที่เหลือจากกองไฟคือขึ้เถ้า มันก็จะกลายเป็นปุ๋ยอย่างดีแก่ต้นไม้ต่อไป


ฉะนี้แล้ว จะไม่เรียกว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้ชีวิตฉันได้อย่างไร


แต่ในนามของดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบเป็นตัวตนภายใน

ฉันเหมือนดินที่ผุกร่อนลงทุกวัน รู้สึกได้ถึงสายน้ำที่ไหลวนอย่างแปรปรวน ส่วนลมนั้นเล่า บ่อยครั้งที่ก่อตัวพัดโหมรุนแรง แต่บางครั้งก็อ่อนล้าคล้ายขาดสาย ส่วนสิ่งสุดท้ายที่สำคัญ คือไฟ บ่อยครั้งที่สุด ที่ไฟภายในลุกโหมเผาไหม้ตัวเองจนแทบกลายเป็นจุล โดยไม่รู้เหตุแห่งที่มา


ยามก้มเก็บไม้ผุเพื่อเอามาเผาไฟ ยามเขียนอักษรต้นไม้ลงบนกระดาษดิน

ฉันบอกกับตัวเองเสมอว่า นี่คือโอกาส ที่จะได้ “รู้” ในเรื่องราวของดิน น้ำ ลม ไฟ


บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า