Skip to main content
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า

สองเดือนที่ฉันห่างหายไม่ได้ส่งข่าวคราวถึงคุณ เพราะเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์นั้นเป็นห้วงเวลาที่โหดร้ายนัก การเฝ้าระวังไฟจากไร่อ้อยรอบๆไร่ตัวเอง ที่ชาวบ้านพร้อมใจกันสุมเผา ภายหลังจากตัดต้นขายไปแล้ว เป็นเวลาที่ฉันเกือบเป็นบ้า ประเดี๋ยวทิศนั้นลุกโหม ประเดี๋ยวทิศนี้ลุกไหม้ บางครั้งมันลามเลียเฉียดกรายมาถึงท้ายไร่ จนต้องวิ่งโร่ออกไปดู แบบไม่คิดชีวิต คุณนึกภาพหญิงแก่ๆ คนหนึ่งที่ใส่รองเท้าบู๊ตพลาสติก มือถือมีดพร้า วิ่งลุยดงหญ้าสูงท่วมขา มีหมาอีกหกตัววิ่งตามหลัง บางตัวขี้เล่นเหลือร้ายวิ่งมาขัดขาซะอย่างนั้น และเมื่อไปถึงที่เพลิงลุกไหม้ พบว่ามีคนหนุ่มหนึ่งคนยืนเฝ้าไฟอยู่แล้ว เขาบอกว่าจะตัดไม้ต้นนั้น พลางชี้มือไปที่ต้นไม้ใหญ่ขนาดโอบ แต่เพราะที่โคนมันรกเกินไป ก็ต้องเผาหญ้าซะเลย

 

ใช่ ทุกคนมีสิทธิเผาหญ้าในที่ทางของตัวเอง แต่ว่าการกำจัดหญ้าแบบง่ายๆอย่างนี้ มันพาลลุกลามไปกำจัดต้นไม้ของคนอื่นเขาได้ง่ายๆเช่นกัน ฉันอยากจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ก็ได้แค่ถามว่า "ต้องการให้ช่วยดูไฟไหมคะ"

 

บางคืน ฉันเห็นเปลวไฟแลบเลียยอดไม้อยู่ทางป่าชุมชน รีบหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาส่อง แล้วโทรศัพท์ไปถึงผู้ใหญ่บ้าน เขาเองก็ดีเหลือ รีบรับปากว่า ครับ ครับ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ ประเดี๋ยวเดียวสิ่งที่เห็นหายไปแล้ว ตายล่ะหวา นี่เรามิกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เฝ้าไฟป่าไปแล้วหรือ อย่ากระนั้นเลย รีบบึ่งเจ้าสองล้อฝ่าความมืดเข้าไปในป่า ยังดีที่มีหมายอดนักวิ่ง วิ่งตามเป็นฝูง เมื่อไปถึงในป่า มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ไม่มีแม้แต่สีแดงๆของเปลวเพลิง รีบหันหัวรถกลับบึ่งออกมาเพราะความกลัว...กลัวทั้งผี กลัวทั้งหลงทาง แต่ด้วยทางในป่าหนืดเหนียวเพราะเป็นดินทราย พาลจะล้มลงคลุกฝุ่นหลายหน หลุดจากป่าได้ รีบโทรฯบอกผู้ใหญ่บ้านว่า ระงับการมาด่วน เพราะไฟที่เห็นนั้นอยู่นอกเขตป่า เป็นการเผาไร่อ้อยของบริษัทน้ำตาลด้านหลังป่าไกลๆโน่นต่างหาก (ที่เห็นว่าอยู่ใกล้ๆเวลามองจากไร่ เพราะว่าพื้นที่ปลูกอ้อยของบริษัทนั้น เนื้อที่หลายพันไร่)

 

อ้อ...อีกหนหนึ่ง เวลากลางวันแสกๆ ควันไฟสีเทาทึมลอยฟุ้งพร้อมลมพัดโหม ทางป่าผืนเล็กๆทิศตะวันออก ในใจคิดว่า น่าจะเป็นต้าเก้เผาไร่อ้อย แต่ก็ยังสงสัยว่าทำไมอาจหาญเผาไร่เวลาเที่ยงจัดๆแบบนี้ แกคงจะเชื่อมั่นในตัวเองว่าเอาไฟอยู่น่ะนะ จึงเฉยเสีย ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไป ไม่ได้มองดูฟ้า มองดูไฟอะไรอีกเลย

 

สักครู่ ยายแดงที่อยู่ที่เถียงนาทางทิศใต้ กริ๊งมาถามว่า ใครเขาจุดป่าตอนเที่ยงๆกันน่ะน้อง ตาเก้มั้ง...ฉันตอบ แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก กระทั่งราวๆ ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉันเห็นรถแทรคเตอร์คันใหญ่วิ่งรวดเร็วผิดปกติผ่านหน้าไร่ ไปยังทิศทางที่เพลิงกำลังประทุ ราวๆสักหนึ่งชั่วโมง...ทุกอย่างก็เป็นปกติ เหลือเพียงควันไฟอ่อนๆ กลิ่นไหม้ๆโชยมา

 

และเมื่อวานซืนนี้เอง ยายแท่น เมียตาเก้เดินมาคุยกับฉันเพราะแกต้อนวัวมากินหญ้าใกล้ๆไร่ แกบอกว่า วันนั้น คุณไม่รู้เหรอว่ามีคนแอบมาจุดป่าเพื่อหาแย้ ถ้าตาเก้ช้าอีกนิดเดียวไฟจะต้องลามมาถึงไร่ของคุณแน่ๆเลย โอ้ยโหย!!....ฉันร้องลั่น

 

นั่นล่ะ คืออาการบ้าที่เกิดขึ้นในระยะสองเดือนที่ผ่านมา

 

 



ภาพประกอบ ที่ไม่ประกอบเนื้อหา แค่อยากบอกว่า ร้อนเหลือจะทน

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า