Skip to main content
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น

 

อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่า

หมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่า

หรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ

เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ฉันได้เดินทางสู่เทือกภูพาน เพื่อไปพบเจอกับความตายอันงดงามนั้น และเรื่องราวที่อยากถ่ายทอด ไม่ใช่เพียงเรื่องของเรือนร่างที่เปลี่ยนแปลงไปตามวิถีธรรมชาติ แต่เป็นบันทึกที่เจ้าของร่างทิ้งเอาไว้ให้เราอ่านเป็นบทเรียน

 

เด็กหญิง อายุ 12 ปี ป่วยเป็นมะเร็งในตับอ่อนรายที่สามของประเทศไทย หมอบอกว่าเธอจะมีเวลาเหลือ 2 เดือน ถ้ารักษาด้วยเคมีบำบัด แต่เธอได้ปฏิเสธการแพทย์แผนปัจจุบัน แล้วตัดสินเลือกธรรมโอสถเยียวยาตัวเอง จนมีเวลาอยู่ต่อมาได้อีก 4 เดือน พร้อมบันทึก 4 เล่ม ที่ตรึงใจ

 

 

ตอนที่แล้ว.....แม่พาลูกไปอาบแดด ที่ข้างกุฏิ

 

ถึงเวลาที่ต้องเข้านอนในห้อง แม่อุ้มประคองร่างลูกน้อยด้วยความระมัดระวังเกรงว่าลูกจะเจ็บ เพราะร่างกายของลูกบอบบางเหลือเกิน ก่อนนอนของทุกวันแม่กับพ่อจะต้องนวดฝ่าเท้าให้ลูก แต่วันนี้แม่ทำคนเดียวเพราะพ่อไปงานศพลุงยุทธ แม่นวดเบาๆอย่างทะนุถนอม แล้วลูกก็ผ่อนคลายร่างกายอย่างสบายอยู่บนเตียงนอน มีหนังสือที่ลูกชอบอ่าน คือประวัติหลวงปู่มั่น วางไว้บนหัวเตียง (ลูกน้อยชอบวางหนังสือไว้บนหัวเตียงทุกครั้งก่อนนอนตั้งแต่เล็กๆแล้วถ้าไม่มีหนังสือจะนอนไม่หลับต้องหามาจนได้) คืนสุดท้ายมีหนังสือ 4 เล่มอยู่บนหัวนอนคือหลวงปู่มั่น, รัตนนารี, สัมมาสัมพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก, 40 ภิกษุณีอรหันต์

 

คืนนั้น ลูกนอนหลับตั้งแต่หัวค่ำ แต่ตื่นบ่อยมากเพราะหิวน้ำบ่อยกว่าปกติ (อาจเป็นเพราะเมื่อตอนกลางวันลูกดื่มน้ำมะพร้าวไปสามลูก) และถ่ายอุจจาระไม่รู้ตัว

"ลูกรู้สึกตัวมั้ยว่าลูกถ่าย" ลูกน้อยส่ายหน้าเบาๆ ทำให้แม่กังวลใจไม่น้อยทำไมลูกแม่จึงเป็นอย่างนี้

 

ประมาณห้าทุ่มลูกสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย แม่ซึ่งยังหลับๆตื่นๆ คอยสังเกตอาการของลูก รีบกอดลูกไว้แนบอก

"แม่จ๋า มีคนมัดมือมัดเท้าของป่านเอาไว้ จนอึดอัดหายใจแทบไม่ออก ป่านพยายามดิ้นรนต่อสู้ แล้วตัดสินใจหายใจเข้าลึกๆ จึงตื่นจ้ะแม่"

"มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้นเองแหละลูก ไม่มีใครมาทำอันตรายอะไรหนูได้หรอก" ลูกกอดแม่ แม่กอดลูกด้วยความรักและสงสารลูกจับใจ ลูบหัวให้ผ่อนคลาย ลูกเงียบไปชั่วครู่ แล้วถามว่า

"เมื่อไหร่พ่อจะกลับมาล่ะจ๊ะแม่ พ่อคงกลับถึงวัดตอนเช้านะแม่" คำถามของลูก ทำให้แม่รู้ว่าจิตใจของลูกคงรอพ่ออยู่

"พ่อคงถึงพรุ่งนี้เช้านะลูกเพราะนี่ก็ดึกแล้ว" ตามกำหนดแล้วเป็นอย่างนั้น และลูกก็รู้ว่าพ่อไปช่วยงานศพของลุงยุทธ ลุงยุทธที่เป็นมะเร็งเช่นเดียวกันกับลูก และเป็นหัวหน้าของพ่อ ได้เสียชีวิตไปเมื่อตอนสายของวันที่


20 สิงหาคม 2551 แต่ไม่นานนัก พ่อก็มาถึง พ่อกลับมาที่วัด มาหาลูกในเวลาเที่ยงคืน พ่อคงห่วงลูกมาก การขับรถทางไกลจากขอนแก่นมาดงหลวง หนทางไม่ใกล้นัก แม่รู้ว่าหัวใจของพ่ออยู่ที่ลูกตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อมาเห็นอาการบางอย่างของลูก จึงกระซิบบอกกับแม่ว่า

"ลูกเราอาการไม่ดีแล้วนะแม่ สงสัยว่าลูกคงอยู่กับเราได้อีกไม่นาน" พ่อพูดเบาๆไม่ให้ลูกได้ยิน แม่นิ่งเงียบไม่โต้ตอบ เพราะหัวใจของแม่มันไม่ยอมรับรู้ในเรื่องนี้

"พ่อ ลูกบอกว่าลูกหายใจไม่สะดวกด้วยนะ" แม่เปลี่ยนเรื่อง พ่อซึ่งนั่งจับมือลูก ลูบหัวลูกอย่างอ่อนโยน

 

แม่จึงทำ "กัวซา" และนวดเฟ้นตามร่างกายโดยเฉพาะที่เท้าอันเย็นเฉียบให้ลูก แม่นวดคลำอยู่อย่างนั้นแทบตลอดคืน

คืนนั้น เป็นคืนที่ยาวนานและทรมานหัวใจแม่อย่างเป็นที่สุด แม่อยากให้ท้องฟ้าสว่างเร็วๆเพื่อว่าบรรยากาศแห่งความกดดันจะทุเลาเบาบางลงบ้าง พ่อและแม่นั่งสมาธิประคองมือลูกสาวตัวน้อยไว้ในอุ้งมือ แล้วแผ่เมตตาภาวนาถ่ายทอดพลังชีวิตให้แก่ลูกจนกระทั่งลูกหลับไปอย่างสงบสบาย

 

ทุกๆวันที่ลูกนอนอาบแดด ลูกจะนอนหลับตาทำสมาธิ วันนี้ลูกหลับตานิ่งนานคล้ายหลับลึกจนแม่เป็นห่วง แสงแดดจ้ามาก แม่จึงอุ้มลูกกลับมานอนที่ระเบียงกุฏิ ในขณะที่ช้อนร่างเล็กๆของลูก น้ำหนักร่างช่างเบาหวิวเหลือเกิน แต่ทว่าในใจแม่กลับหนักอึ้ง เมื่อรู้ว่าวันนี้ความร้อนของแสงตะวันไม่สามารถสลายความเย็นเฉียบที่ห่อหุ้มแข้งขาของลูกได้อีกแล้ว

 

แม่ค่อยๆวางร่างอันบางเฉียบลงนั่งพิงเบาะหนา แม่ส่งถาดผลไม้ให้ลูกอธิษฐานถวายแด่หลวงพ่อ และกล่าวอุทิศบุญ จากนั้นแม่ค่อยๆประคองให้ลูกนอน ปกติลูกจะนอนตะแคงอ่านหนังสือ สลับกับการเขียนบันทึก วันนี้ แม่เห็นลูกหยิบเล่มที่เป็นเรื่องราวของหลวงปู่มั่นมาอ่านบ่อยที่สุด สลับกับเล่มอื่นๆ ที่ลูกชอบอ่าน หนังสือทั้งหมดที่มีอยู่หลายสิบเล่มลูกอ่านหมดแล้ว วันนี้คงเป็นวันที่อ่านทบทวนในเรื่องที่ลูกสนใจจริงๆ

 

แม่นวดให้ลูกตลอดเวลาจนลูกหลับไป และตื่นมาในเวลาเที่ยงกว่าๆ แม่เห็นความสดชื่นของลูกมีมากขึ้น จึงวางใจว่าลูกกลับมาเข้มแข็งได้เหมือนเดิมอีกครั้ง

 

หลังจากกินอาหารเที่ยง ลูกนอนหลับอย่างยาวนาน แม่ไม่พยายามรบกวนใดๆ จนกระทั่งลูกตื่นขึ้นมาในเวลาสี่โมงเย็น ได้เวลาอาหารเย็นและเป็นเวลาที่ป้าเฒ่ากับลุงเปี๊ยกขึ้นมาเยี่ยมตามปกติ วันนี้ป้าเฒ่ามีเพื่อนพยาบาลที่ทำงานที่โรงพยาบาลเขาวงมาด้วยหนึ่งคน

 

ป้าเฒ่ากับเพื่อนพยาบาลจับที่ชีพจรของลูกแล้วมองหน้ากัน ป้าเฒ่าบอกว่าพรุ่งนี้จะขอเตียงผู้ป่วยกับออกซิเจนที่โรงพยาบาลมาให้ เวลานั่งนอนจะได้สะดวกขึ้น จากนั้นป้าเฒ่าก็พาเพื่อนพยาบาลเดินชมบริเวณวัดลุงเปี๊ยกไม่ได้ไปด้วย นั่งคุยกับพ่ออยู่ใกล้ๆที่ลูกนอน พ่อคงเห็นอาการบางอย่างของลูกที่คิดว่าผิดปกติ จึงร้องถามอย่างตกใจ

"ป่าน เป็นอะไรไปลูก" ลูกสบตาพ่อสงบนิ่ง ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

"พ่อ หนูไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย" ทุกคนชะงัก แม้แต่แม่ พ่อและลุงเปี๊ยกหันมาจับมือกันอย่างดีใจ หัวเราะอย่างลืมตัว น้ำตาของแม่ที่ปริ่มๆพลัดร่วงลงมาอย่างไม่รู้ตัว

ป้าเฒ่ากับเพื่อนๆเดินกลับมาที่กุฎิอีกครั้งและบอกกับลูกว่า

"รอป้านะ แล้วป้าจะกลับมาหาอีกในคืนนี้" ลูกน้อยพยักหน้ารับคำช้าๆ

จากนั้นป้าเฒ่า ลุงเปี๊ยกและเพื่อนที่มาด้วยกันก็เดินทางกลับ

 

เมื่อทุกคนกลับลงไปแล้ว เวลาประมาณสี่โมงเย็น ลูกทานผลไม้แล้วเขียนบันทึกว่า

16.18 น. กินหมากเบน+น้อยหน่า+ส้มเช้ง
16.31 น. กินผลไม้เสร็จ ใช้เวลา 13 นาที

 

นี่คือบันทึกช่วงสุดท้ายของลูก ถ้าลูกยังแข็งแรงเช่นทุกวัน ลูกจะต้องบันทึกอาการของร่างกายที่เกิดจากการพอกยาในตอนหัวค่ำ การพอกยาครั้งสุดท้ายนี้ ลูกไม่สามารถบันทึกเพื่อรายงานหลวงพ่อได้อีกแล้ว

 

(ยังมีต่อ)

 

วันสุดท้ายของชีวิต เราควรจะมีท่าทีต่อมันอย่างไร ฉันถามตัวเองบ่อยครั้ง และยังสงสัยว่าการเตรียมพร้อมนั้นต้องพร้อมตั้งแต่เมื่อใด และอย่างไรจึงจะเรียกว่าพร้อม

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า