Skip to main content

ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา

 

ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด

ตอนที่แล้ว.....ลูกอาการอ่อนกำลังลงมากแล้ว


ทุกคืนเวลาหนึ่งทุ่ม แม่จะ "พอกยาสมุนไพร"ที่ท้องให้ลูก แล้วลูกก็จดบันทึกอาการของร่างกาย เป็นการพิจารณาอาการของธาตุอย่างละเอียด แต่วันนี้ลูกนอนหลับตานิ่งไม่เคลื่อนไหว แม่จึงใช้เวลาพอกยาน้อยกว่าทุกวัน นำน้ำอุ่นมาเช็ดยาออกจากท้องของลูกเร็วกว่าทุกที ทั้งที่ควรจะปล่อยทิ้งไว้ให้นานราวๆหนึ่งชั่วโมงตามที่ควรจะเป็น

 

ระหว่างที่เช็ดตัว แม่สังเกตเห็นดวงตาของลูกลอยๆคล้ายคนไม่รู้สึกตัว และมีอาการหายใจทางปาก พูดไม่ออก ตัวก็ร้อนรุมๆผิดปกติ แม่เช็ดตัวให้ทั่วตัว จนลูกผลอยหลับไป

 

สองทุ่มกว่า แม่อยากให้ลูกดื่มน้ำบ้าง จึงแตะตัวเบาๆ เพื่อปลุก ลูกลืมตาสะลึมสะลือ แม่เอาหลอดดูดน้ำใส่ปากให้ลูกดูด ลูกไม่สามารถอ้าปากดื่มได้ กรามลูกแข็งหมดแล้ว

"ป่าน!!!" แม่ร้องเรียกลูกเสียงดัง ด้วยอารามตกใจ พ่อซึ่งเผลอนอนหลับอยู่ข้างๆสะดุ้งตื่น รีบบอกน้าแกะที่นั่งอยู่ตรงระเบียงด้วยกัน ให้วิ่งไปตามหลวงพ่อมาด่วน


ไม่นานนักทั้งพระและแม่ชีจำนวนห้ารูป ก็มาที่กุฏิของลูก ท่านนั่งล้อมรายรอบลูก น้านีและคนอื่นๆนั่งที่บันได


ในความหวั่นไหวตกใจของแม่ ยามที่หลวงพ่อให้ธรรมะแก่ลูก เรื่องการละวางขันธ์ห้า แม่พยายามลูบคลำร่างลูกเบาๆอย่างข่มอารมณ์ หลวงพ่อบอกให้ทุกืเนรฟคนทำสมาธิภาวนาอยู่นิ่งนาน เปิดซีดีเสียงสวดคาถาชินบัญชรเบาๆตลอดเวลา

 

แม่ทั้งนวดมือนวดเท้า ทั้งเฝ้ากอดลูก หยาดน้ำตาพร่างพรู พ่อดูจะมีสติดีกว่าแม่มาก กระซิบบอกลูกว่า

"ขอให้ลูกได้ไปพบพระพุทธเจ้านะลูก อย่างที่หลวงพ่อบอกกับลูกไว้น่ะ"

น้ำตาแม่ไหลพราก เอื้อมมือไปแตะที่หัวใจลูกพร้อมกระซิบข้างหูว่า "พุทโธ ๆ แม่รักลูกที่สุดในโลก"

 

ยามนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วคล้ายภาพยนต์ที่ขมวดเรื่องเพื่อจะจบลง แม่รู้ว่านาทีสุดท้ายกำลังจะมาถึงแล้ว แม่ยังจำได้ ลูกมองหน้าแม่ คล้ายๆจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีเรี่ยวแรง แม่จึงบอกลูกว่า

"ไม่ต้องพูดอะไรหรอกลูก แม่เข้าใจ"


ในที่สุด ลูกยกมือข้างขวาขึ้นมาพนมไว้บนอก ก่อนจะสะท้อนลมหายใจช้าๆ เพียงชั่วลมหายใจเข้าออก มือข้างนั้นก็ผลอยร่วงลงวางนิ่งอยู่บนอก แม่คลำหาจับชีพจรลูกอีกหน

"ชีพจรหยุดเต้นแล้วหรือลูกรักของแม่" แม่เผลอครางกับตัวเอง ทุกอย่างรอบตัวหม่นมัวจนไม่อาจทรงกายชั่วขณะ แม่ก้มหน้าซบนิ่งที่อกลูก โสตประสาทยังได้ยินเสียงสวดคาถาชินบัญชรกังวานอยู่

 

และแล้วความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อพ่อก้มลงช้อนร่างลูกสาวตัวน้อย เพื่อนำไปยังเตียงนอนในห้อง

พ่อคงกลั้นสะอื้นจนสุดกลั้น ยามอุ้มร่างไร้วิญาณของลูกไว้แนบอก จึงปล่อยเสียงร้องไห้โฮ ดังกลบเสียงอื่นๆจนหมดสิ้น

 

(ยังมีต่อ)

 

นี่คือฉากสุดท้าย ที่เป็นบทเริ่มต้นของเรื่องราวชีวิต "แม่ชีน้อย"

 

 

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแกถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม…
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่…
เงาศิลป์
สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด.....หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน…
เงาศิลป์
วันเวลาที่ผ่านไป ฉันค่อยๆ คลายความกังวล แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจะมาอยู่เป็นเพื่อนเกือบตลอดเวลา แต่วิชาเกลือจิ้มเกลือ เจ็บแก้เจ็บ ยังใช้ได้เสมอ (โปรดใช้วิจารณญาณในการนำไปทดลอง)และแล้วเหมือนกรรมบันดาล (อีกแล้ว) วันหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่า คนเราได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเพียงแค่ 60 – 70 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่เคยรู้จักมัน และปล่อยให้มายาคติบางอย่างครอบงำ โดยเฉพาะคำว่า “อย่าทำ” .... “ไม่ควรทำ”.....หรือ “ไม่เหมาะสมที่จะทำ” และอะไรอีกหลายความคิดที่ปิดกั้นโอกาสของตัวเองกลางเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง ฉันเร่ร่อนลงเรือไปที่หาดไร่เล ตอนนั้นแทบว่าไม่มีคนไทยรู้จักหาดไร่เล นอกจากฮิปปี้และนักปีนผา (…
เงาศิลป์
การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมายคุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า “ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร” ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน…
เงาศิลป์
เช้าวันนี้….ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ” ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิดรอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วงสายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆจึงเดินออกไปดูร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป …
เงาศิลป์
“ฉันจะต้องไม่พิการ”ฉันคำรามหนักแน่นอยู่ในใจ ในคืนวันหนึ่ง เมื่อนอนอยู่ในท่าทีเอาขาขวาพาดไว้บนกำแพง เพื่อดัดขาไล่ความเมื่อยล้า จากงานหนักจากวันนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้เข่าของฉันเจ็บน้อยลง ฉันจะทำทันที เริ่มจากการค้นหาวิธีแก้ไข ควบคู่ไปกับการยอมรับความเจ็บปวดของขาข้างขวาว่าเป็นคู่แท้ของชีวิตปีแรก ฉันเดินกะเผลกแบบคนขาเป๋ เพราะขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย และยังไม่มีพละกำลัง เวลาเดินจึงเห็นว่าตัวเอียงมาก เป็นที่เวทนาตัวเองยามคนจ้องมอง ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนพิการมากขึ้นแต่แล้ววันหนึ่ง เหมือนพระมาโปรด ฉันกลับมากรุงเทพฯ แล้วไปเยี่ยมเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ขณะนั่งอยู่ริมสนามฟุตบอล มองคนอื่นๆเล่นกิฬา อย่างเสียดาย…