Skip to main content
เราสามคน พ่อแม่ลูก กลายเป็นคนวัดไปแล้ว อ้อ บางวันมีน้านีมาจากสกลฯ ช่วยทำกับข้าวด้วย และยังผู้รู้เรื่องธรรมชาติบำบัดอีกหลายคน ที่มาช่วยแนะนำสิ่งที่ดีๆให้ แต่แม่ยังต้องเดินไปทำอาหารที่โรงครัวของวัด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรานัก ที่นั่นสะอาดและกว้างโล่ง มีน้ำประปาภูเขาให้ใช้อย่างสะดวกสบายเหลือเฟือ อันที่จริงก็ใช้กันทุกมุมวัดอยู่แล้ว เพราะว่าน้ำประปาที่ว่านี้ คือน้ำที่ผุดขึ้นมาเป็นน้ำพุเล็กๆ ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของภู ความสูงของพื้นที่ซึ่งสูงกว่าที่วัด หลวงพ่อจึงสร้างประปาภูเขาขึ้นมาอย่างง่ายดาย มีถังน้ำพักน้ำ ณ จุดที่มีน้ำพุหนึ่งลูก แล้วใส่ท่อให้มันวิ่งมาตามท่อน้ำ มาพักที่ถังเก็บน้ำลูกใหญ่ๆหลายสิบลูกที่หน้าศาลาใหญ่ แล้วปล่อยให้ไหลรินไปตามท่อสู่กุฏิ สู่แปลงผัก สู่โรงครัว สู่ห้องน้ำที่เป็นห้องแถวยาว เราจึงไม่เคยขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ กันเลย


ที่พิเศษกว่านั้นเกี่ยวเรื่องน้ำใช้ในวัดนี้ เพราะนักวิชาการสาธารณะสุข ได้นำน้ำไปตรวจสอบสภาพความบริสุทธิ์ พบว่าในน้ำมีแร่ธาตุที่สามารถดื่มและรักษาโรคได้ด้วย พืชผักต่างๆที่ปลูกแล้วรดด้วยน้ำนี้ จะมีสรรพคุณทางยาสูง แม่จึงคิดว่าลูกโชคดีที่สุดแล้ว ที่ได้พบหลวงพ่อและมาอาศัยที่วัดของท่าน

 

ทุกๆเช้าพ่อจะลงไปรอรับหลวงพ่อที่เชิงภู เพื่อช่วยถืออาหารทั้งหลาย ที่ได้มาจากการออกไปบิณฑบาตรที่บ้านกกตูม (หลวงพ่อต้องนั่งรถปิคอัพของวัดไปทุกวัน เพราะเป็นชุมชนเดียวที่อยู่ใกล้ที่สุด ระยะทางประมาณ 8กิโลเมตร)

พ่อแทบจะไม่ได้ออกไปทำงานอีกเลย นานๆจะไปสักครั้งในกรณีที่จำเป็นจริงๆ โชคดีอีกอย่างหนึ่งของเราก็ได้ ที่งานของพ่อไม่ใช่งานราชการ เนื้อหางานที่ผ่อนปรนให้คนอื่นทำแทนกันได้ โดยที่ไม่เสียงาน เพื่อนร่วมงานต่างเข้าใจดี ก็งานในองค์กรพัฒนาเอกชน ที่พ่อเองกลายเป็นคนในชุมชนไปแล้ว ชีวิตกับงานกลมกลืนเป็นธรรมชาติ แม่ยิ่งสบายกว่าพ่อ บทบาทสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล สมัยแรกใหม่หมาด ไม่ได้ทำให้งานของส่วนรวมกระทบกระเทือน เมื่อถึงคราวประชุมแม่ก็ออกไปประชุม เสร็จงานก็กลับมาอยู่กับลูก พร้อมกับอาหารของลูก คือผักและผลไม้ที่ต้องหาบขึ้นวัด กับกระเป๋าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหารสะพายไว้ด้านหลัง แม่มีความสุขกับการที่ได้ทำให้ลูก

 

ทั้งพ่อทั้งแม่ สามารถบอกกับใครๆได้ว่า สำหรับลูกแล้ว เราไม่เคยมีคำว่า "รอก่อนนะลูก"

ภาระการออกไปหาอาหารที่จำเป็นสำหรับลูกเราต้องทำทันที เพราะผลไม้ต้องใหม่สดจริงๆ ดังนั้นเกือบทุกๆสองวันเราต้องลงไปหามา โชดดีที่พ่อได้ทำงานเครือข่ายอินแปงที่มุ่งส่งเสริมให้พี่น้องรอบป่าภูพานได้ร่วมกันอนุรักษ์และฟื้นฟูพืชผักพื้นบ้านอาหารธรรมชาติตามแนวคิดอินแปง ยกป่าภูพานมาไว้สวน คือการนำพืชผักผลไม้จากป่าภูพานมาปลูก ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูกเราจึงมีแปลงเกษตรเช่นนี้มากมาย มีอาหารเหลือเฟือให้ลูก เช่น ที่สวนของแม่ชีวทัศน์ มี บวบ มะละกอก น้อยหน่า แก้วมังกร ผักหวานบ้าน มะรุม ไข่ไก่บ้าน พ่อหวัง พ่อชาดี มีกล้วยน้ำหว้า ฟักทอง แตงโมง กินอร่อย พี่น้องกินแปงที่สกลนคร มีหมากเม่า รดชาดดี หวานตามธรรมชาติ หมากเบ็น มะพร้าว ข้าวฮาวบ้านแป้น แชมพูมะกรูดกลิ่นหอมจากสวนชาวดินของน้องก้องกับตุ่งติ่งบัญฑิตคืนถิ่น เรามีอาหารมากมายสดๆดีๆไม่มีสารเคมีให้แม่ชีได้กิน แถมพี่น้องจากภาคตะวันออก/ภาคใต้น้องปุ้ย/อาจารย์อรุศรีก็ยังกรุณาส่งมังคุดปลอดสารมากินตลอด ที่ได้ซื้อตลาดก็มีบ้างเช่น ส้มเช้ง แก้วมังกร มะพร้าวน้ำหอม ก็ต้องดูว่าปลอดภัย เปลือกหนา เราจะต้องไปในเมือง ถ้าไม่ไปที่สกลนคร ก็ต้องไปที่มุกดาหาร ซึ่งอยู่ห่างจากวัดราว 100 กิโลมเมตรทั้งสองแห่ง แถมสุดยอดไปกว่านั้นที่วัดยังมีเห็ดป่าที่ออกตามฤดูกาลมากมายเช่นเห็ดละโงก เห็ดไค เห็ดดิน เห็ดปลวกโดยเฉพาะเห็ดตาโล่เป็นเห็ดก้อนกลมๆเป็นเมือก กินแล้วเย็นมาก กินดิบๆสดๆก็ได้หรือสุกก็ดีเป็นเห็ดป่าที่มีฤทธ์เย็น ทั้งที่เห็ดป่าโดยส่วนใหญ่มีฤทธิ์ร้อน และนับว่าโชคดีของลูกที่ได้กินเห็ดตาโล่ ตุ๋นใส่ผักรสอร่อยมาก ลูกชอบกินมากกินมื้อละถ้วยทุกมื้อที่นับว่าโชคอย่างมากคือเห็ดตาโล่จะไม่เกิดทุกที่ทั่วไป ที่วัดภูไม้ฮาวถือว่าเป็นแหล่งใหญ่ที่สุด ชาวบ้านญาติโยมใกล้ไกลจะมากราบหลวงพ่อและขอเก็บเห็ดเป็นประจำจนมีชื่อเสียง

 

มาถึงวันนี้ ความวิตกกังวลจากคนรอบข้างที่ว่า ไม่มีหมอ ไม่มีเครื่องมือแพทย์ ลูกจะอยู่อย่างไร ค่อยๆเลือนหายไป โดยเฉพาะคุณย่าที่มาเห็นวัดครั้งแรกแล้วตีโพยตีพายต่อว่าพ่อกับแม่เสียมากมายว่า ทำไมพาหลานมาเสี่ยงชีวิตที่นี่ ตอนนี้มีความเข้าใจและยินดีที่จะมาอยู่ข้างๆลูกบ่อยๆเท่าที่ย่าจะทำได้

 

ด้วยตัวลูกเองที่แสดงออกให้เห็นถึงความเข้มแข็ง แม้จะไม่ใช่ทุกเรื่องที่ลูกบันทึกไว้ แต่ด้วยความทรงจำของแม่ แม่จำได้ถึงคำพูดของใครหลายคนที่บอกกับแม่ว่าลูกช่างเป็นเด็กมหัศจรรย์ ทุกครั้งที่ลุงๆป้าๆขึ้นมาเยี่ยม พวกเขาบอกว่าเหมือนไม่ได้มาเยี่ยมคนป่วย แค่มาพบปะพูดคุยกับคนปกติคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่ดูที่รูปร่างซึ่งผอมบางลงทุกวัน

 

"ขอป้าจับมือหน่อยนะลูก ขอพลังด้วย" ป้าเฒ่ามักจะทำอย่างนั้นทุกครั้ง เพราะความเหนื่อยหอบจากการเดินขึ้นภูแล้วลูกก็ยื่นมือบางๆให้ป้าเฒ่าจับ พร้อมยิ้มอย่างมีความสุข ป้าหลานคุยกันกระหนุง

กระหนิง แม่จึงได้ออกไปทำกับข้าว ส่วนพ่อกับลุงเปี๊ยกก็คุยกันเหมือนเดิม

 

ป้าเฒ่ากับลุงเปี๊ยก กลายเป็นญาติผู้ใหญ่ของลูกที่เราขาดไม่ได้เสียแล้ว และทั้งป้ากับลุงก็ขาดลูกไม่ได้ ถ้าไม่มีงานเร่งด่วน หรือต้องเดินทางไปทำงานไกลๆ ป้าเฒ่าจะขับรถมานอนค้างกับลูกที่วัด ตื่นเช้า รีบไปทำงานที่โรงพยาบาลเขาวง ป้าเฒ่าลุงเปี๊ยก อยู่กับลูกจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของลูกจริงๆ

 

ลูกรู้ไหม หลังจากที่ลูกไม่อยู่แล้ว ลุงเปี๊ยกบอกว่า ทั้งหมดที่ลูกฝากไว้ให้ คือเครื่องเตือนใจผู้ใหญ่อย่างลุงเปี๊ยกว่า เราที่เป็นผู้ใหญ่ ที่น่าจะเป็นฝ่ายไปก่อน ได้เตรียมตัวที่จะไปอย่างสงบสันติหรือยัง

 

บันทึกที่แม่ได้อ่าน หลังจากที่ไร้ร่างลูกแล้วนั้น ทำให้แม่เห็นความอดทนข่มใจต่อความอยากในสิ่งที่ลูกชอบ

แม่อ่านแล้วรู้สึกสงสารลูกมาก

 

11/6/51

ตื่น 05.00 . ...........(เนื้อหาส่วนนี้ เหมือนทั่วๆไป เกี่ยวกับการกิน นวด ถ่าย ฉี่)

ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะไม่กินขนม แต่ขาไก่ไม่มั่นใจ

พ่อไปสกลนคร ไปเอายาธิเบต

 

หลวงพ่อมาเทศน์เรื่องจิต .....

อากาศร้อนอบอ้าว สงสัยฝนจะตก......

ลุกนั่งเอง อ่านละคร ใส่แว่นตา ดู CD ละคร....

พ่อยังไม่มาเลย บอกว่าจะซื้อหนังสือ กระเป๋าสตังค์คิดตี้มาฝาก (เรื่องกิน อาบน้ำ สระผม อื่นๆ)

ดู CD พุทธทาส บทสุดท้าย ลึกซึ้งมาก (กินข้าว กินน้ำ กินยา)

พ่อมา ซื้อ(หนังสือประกอบ)ละคร 2 เล่ม กระจก สี(วาดรูป) กระเป๋าตังค์คิดตี้

ลุงยุทธฝากบอกให้เช็คอาหารตลอด อย่ากินปลากับข้าวเหนียวมากลุงยุทธยังบวมไม่หาย

รอกินข้าว คงกินกับนึ่งปลา ต้มจืดผัก (ได้กินจริงๆ)

 

แม่รู้ว่าลูกต้องอดทนต่อความอยากในของต้องห้ามทั้งหลาย ทั้งที่เคยเป็นอาหารประจำของลูก และเรื่องความหิวที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจไม่น้อย

 

กินกล้วยตอนดึก กินข้าวกับปลานึ่ง ตอนตี 1

ฟังเสียงบันทึกที่หลวงพ่อเทศน์ พ่อนวดให้ ถ่ายตอนตี 3 กินมังคุด นอนหลับสบายดี ฝนตก

 

มาถึงวันนี้ แม้ลูกกินมากแค่ไหน แต่ร่างกายของลูกก็ยังผอมบาง บางเฉียบราวกับเปลือกแตงกวาแห้ง

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ประมาณตีสาม เราค่อยๆไต่ขึ้นสู่เขตภูเขาสูง ฉันนึกเดาเอาว่าที่นี่น่าจะเป็นเขตรัฐสลังงอร์ เพราะว่าเผอิญสายตาปะทะกับป้ายที่เขียนว่า เกนติ้ง ไฮแลนด์ มีลูกศรชี้ไปทางซ้ายมือ แต่รถยังมุ่งหน้าตรงไป กระทั่งฉันเห็นเมืองเล็กๆมีไฟฟ้าสว่างไสว สาดจับที่รูปปั้นขององค์พระศิวะสีทองอร่ามความสูงร่วมร้อยเมตร ยืนตระหง่านตรงปากทางขึ้นถ้ำซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ไม่น้อยไปกว่ากัน ฉันรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นถ้ำบาตู ฮินดูสถานที่สำคัญของคนมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และถัดมาอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง มีป้ายเขียนไว้ว่า พิพิธภัณฑ์โอรัง อัสลี…
เงาศิลป์
คุณเคยเดินทางไปในทิศทางที่ไม่คุ้นเคยบ่อยไหม ขณะนั้นหัวใจของคุณเต้นเป็นจังหวะอะไร มันระทึกตื่นเต้นโครมครามปานช้างป่าตกมันหรือเปล่า หรือว่าเรียบเรื่อยราวห่านหงส์กระดิกปลายเท้าแผ่วใต้สายน้ำนิ่ง แล้วเคลื่อนร่างไปข้างหน้าอย่างละมุน แม้แต่ผิวน้ำก็แทบจะไม่กระจาย
เงาศิลป์
กำแพงบางๆ ที่กั้นระหว่างความทุกข์กับความสุข คือความกระหายใคร่รู้ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องหาคำตอบด้วยตนเอง จะเรียกสิ่งนั้นว่า ความท้าทาย การผจญภัย หรือความใฝ่รู้ ก็น่าจะได้ แต่บางทีมันกลับเป็นเครื่องจองจำบีบรัดหัวใจให้อึดอัดจนหายใจไม่ออก และฉันไม่ชอบอารมณ์นั้นเลย ฉันจึงต้องพยายามจะเป็นฝ่ายชนะมันด้วยการออกเดินทางเพื่อไปหาคำตอบ แม้จะอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ตาม  
เงาศิลป์
ป่าในสำนึก คือวิหารอันโอฬาร ที่เปลี่ยนแปลงรูปทรงทุกขณะที่เคลื่อนเข้าใกล้ มีพลังดึงดูด มีมนต์สะกด มีความยิ่งใหญ่ที่ข่มให้เราตัวเล็กลง ฉันจึงหลงรักการถูกครอบงำนี้ อย่างไม่อยากถอนใจ
เงาศิลป์
ฉันได้ตายลงแล้วจริงๆ เพราะเบื้องหน้าที่มองเห็นคือท่านท้าวพญายมราช "ทำไมเจ้าจึงเลือกประตูบานที่สาม"น้ำเสียงเข้มขรึมไม่ด้อยไปกว่าท่วงท่าอันน่าเกรงขามบนบัลลังค์ ฉันซึ่งนั่งคุกเข่าก้มหน้าหลบสายตา ยิ่งต้องทำตัวห่อลีบ ประหนึ่งหลบหลีกคมหอกดาบที่พุ่งมาพร้อมกับคำถามนั้น
เงาศิลป์
  ลูกรักของแม่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้จักคำว่าสูญเสียได้อย่างลึกซึ้ง แม้แต่แม่เองก็ยังต้องครุ่นคิดย้อนหลังไปว่า ถ้าสามารถย้อนเวลาไปแก้ไขหรือป้องกันการจากพรากที่แสนจะรันทดนี้ได้ ในตอนไหนได้บ้าง แม่ก็จะทำ ถ้าแม่รู้ว่าลูกจะอยู่กับเราไม่นาน แม่จะไม่ส่งลูกไปอยู่กับคนอื่น แม้คนนั้นจะเป็นปู่กับย่าก็ตาม ถ้าแม่รู้ว่าลูกป่วยหนักและมีเวลาเหลืออีกไม่นานนัก แม่จะไม่เชื่อหมอที่วินิจฉัยในครั้งแรก ถ้ารักษาลูกได้ด้วยวิธีใดๆ เพื่อให้ลูกหายขาด แม่ก็จะทำ แต่ก็นั่นล่ะ พูดไปเมื่อสายเสียแล้ว จะมีประโยชน์อะไร ที่จะรำพัน ดังนั้น สิ่งที่พอจะทำได้ คือ แม่อยากบอกกับคนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนว่า…
เงาศิลป์
รุ่งขึ้นอีกวัน หลังจากเก็บอัฐิของลูกแล้ว ความเศร้าโศกค่อยๆ ถอยห่างไปจากเรา ในตอนสาย พ่อได้ประกาศเจตนารมย์ให้แก่ญาติมิตรทั้งหลายทราบว่า พ่อจะตั้ง “กองบุญแม่ชีป่าน” ขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนกิจกรรมด้านธรรมะ แก่เยาวชนตามเจตจำนงค์ของลูกที่เคยบอกกับใครๆไว้ว่า อยากทำงานสืบต่อพระพุทธศาสนา แม่เชื่อว่า ในขณะที่พ่อกล่าวคำขอบคุณทุกๆคนที่นั่งอยู่ในถ้ำ ตอนนั้น ลูกได้รับรู้ด้วยเป็นแน่แท้
เงาศิลป์
    ลูกสิ้นใจท่ามกลางวงล้อมของเหล่าผู้ที่รักและเมตตาลูก โดยเฉพาะหลวงพ่อซึ่งนั่งสมาธิสงบนิ่งตลอดเวลา ตั้งแต่ลูกมีอาการใกล้จะดับ จนผ่านนาทีแห่งการพลัดพรากนิรันดร์ไปแล้ว ท่านก็ยังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่อย่างนั้น อีกหลายนาที
เงาศิลป์
แม่ไล่สายตามองหาคำว่ามะเร็ง ในหน้ากระดาษบันทึกของลูก ตั้งแต่หน้าแรกจนกระทั่งหน้าสุดท้าย ในจำนวนกว่า 300 หน้า ไม่มีสักคำเดียวที่ลูกจะเขียนถึงมัน  
เงาศิลป์
  อาจเป็นเพราะว่าแม่อยู่กับลูกตลอดเวลา จนกระทั่งคิดว่าความสงบนิ่งคืออาการปกติที่ลูกเป็นอยู่ แน่ล่ะ นิสัยของลูกไม่เหมือนเด็กอื่นๆมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว ลูกเป็นเด็กที่มีสมาธิมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ บางครั้งแม่เคยเห็นลูกนั่งเล่นตุ๊กตาบาร์บี้อยู่คนเดียว ทั้งแต่งตัวและหวีผมให้มันครั้งละนานๆ เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง โดยไม่เบื่อหน่าย ก็นั่นคือกิจกรรมของเด็ก ภายในใจอาจมีจินตนาการมากมาย แต่ขณะที่เป็นคนป่วย การใช้เวลานิ่งเงียบอยู่กับตัวเองของลูก คือการเขียนบันทึกและอ่านหนังสือ ความนิ่งเงียบที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกดูคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่แม้กระทั่งพ่อกับแม่ก็ยังเกรงใจ ไม่กล้ารบกวน  
เงาศิลป์
  วันที่ 1 สิงหาคม 2551 เวลาประมาณ 18 .30 น. ลูกของแม่ได้กลายเป็นลูกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในนามนักบวชหญิง ผู้ถือศีล 8
เงาศิลป์
  ชีวิตในแต่ละวันเป็นไปอย่างสงบเงียบ เพราะกิจกรรมหลักของลูกคือกินยา กินอาหาร อ่านหนังสือ สลับเขียนบันทึก ส่วนพ่อกับแม่ นอกจากจะต้องทำอาหาร ตรวจอาหาร นวด พอกยา อาบน้ำให้ อุ้มลูกไปห้องน้ำ อุ้มมานอกห้อง ระยะหลังยังต้องอุ้มลงมาอาบแดดยามเช้าๆ ที่แคร่ไม้ไผ่หน้ากุฏิ และต้องผลัดเปลี่ยนกันลงไปข้างล่างเพื่อทำธุระส่วนตัว กับซื้อหาอาหาร