Skip to main content

 

วันที่ 1 สิงหาคม 2551 เวลาประมาณ 18 .30 . ลูกของแม่ได้กลายเป็นลูกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในนามนักบวชหญิง ผู้ถือศีล 8
\\/--break--\>

 

ตอนทำพิธี หลวงพ่อถามว่าจะรับศีลข้อที่ไม่ถือเงินด้วยหรือเปล่า ลูกบอกว่า ไม่สามารถถือปฏิบัติในข้อนี้ได้เพราะลูกตั้งใจว่า ถ้าหายจากอาการป่วย ลูกจะเดินทางไปเรียนต่อที่ธิเบต การเดินทางและเล่าเรียนจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงิน การมีเงินไว้ใช้สอยและจัดการด้วยตนเองได้ จึงยังต้องทำ

 

คืนนั้น ในท่ามกลางความสงัดเงียบของวัด แสงไฟสลัวรางจากเปลวเทียนแท่งใหญ่ สาดจับผนังถ้ำเป็นเงาวิบวับ ทุกคนที่นั่งอยู่ในถ้ำ ต่างใจจดจ่อกับภาพตรงหน้า นั่นคือ พ่อ แม่ และญาติมิตรที่เป็นสักขีพยานเพียงไม่กี่คน หนังอยู่แถวด้านหลังลูก ซึ่งนั่งสงบนิ่งในชุดขาว ตรงหน้าของหลวงพ่อ
 

แม่หวั่นใจว่า ลูกจะประคองตัวนั่งตรงๆได้นานสักแค่ไหน เพราะปกติต้องนั่งพิงหมอนนุ่มๆ แต่คืนสำคัญเช่นนี้ แม้แม่จะเป็นห่วงกลัวลูกจะประคองตัวนั่งได้ไม่นาน แต่แม่ก็ภาวนาขอให้ลูกสามารถผ่านพิธีกรรมนี้ให้ได้ด้วยดี จนถึงที่สุด

 

ลูกแม่ ตอนที่ลูกท่องคำขอบวช ทุกคนในที่นั้นยิ่งนิ่งอึ้ง จากภาวะที่นิ่งเงียบอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ความสงบสงัดแผ่ซ่านไปทั่ว เสียงของลูกที่กังวานออกมาจากจิตอันแน่วแน่ มีพลังเต็มเปี่ยม เรียกว่าได้ว่า เป็นน้ำเสียงที่ออกมาจากดวงจิตที่ห้าวหาญ จึงดังกังวานสดใส คล้ายระฆังแก้ว แม้น้ำเสียงจะขาดห้วงกระท่อนกระแท่นไปบ้าง เพราะความเหนื่อย แต่พลังเสียงไม่ได้ลดน้อยลง


ลูกแม่
..แม่ไม่ได้พูดเกินความจริง ทุกคนต่างยืนยันและบอกว่า เหลือเชื่อ...เหลือเชื่อเพราะว่า ไม่มีใครคิดว่าลูกจะนั่งได้ตัวตรงๆพนมมือได้นานขนาดนั้น และที่เหลือเชื่อที่สองคือ หลังจากผ่านพิธีบวชไปแล้ว ทุกคนนั่งสมาธินิ่งเงียบรวมทั้งลูก สิ่งที่แม่กังวลตลอดเวลาคือ กลัวว่าลูกจะทรุดลงเพราะไม่สามารถทรงตัวได้ ทั้งจากความอ่อนเพลีย และความผอมบางของร่างกาย ที่ไม่มีกล้ามเนื้อสะโพกมารองรับการนั่งได้อีกแล้ว แต่ลูกกลับทำในสิ่งที่เกินคาดหมาย ลูกนั่งหลับตานิ่งอยู่ในท่าสมาธิได้นานถึง 45 นาที

 

นั่นคือครั้งแรกและครั้งเดียว ที่ลูกนั่งสมาธิได้นานขนาดนั้น แม้ว่าวันพระต่อมา ที่ลูกจดจ่อเฝ้ารอการมาฟังคำเทศน์และทำสมาธิที่ถ้ำ นับจากวันนั้นแล้ว ลูกได้ใช้เวลานั่งน้อยลง และเพียงสามครั้งเท่านั้น สำหรับวันพระที่ในถ้ำ แล้วลูกก็จากเราไป

 

 

น่าแปลก ที่ลูกไม่ได้เขียนเรื่องการบวชไว้เลยในบันทึก

บันทึกในวันที่ 1 สิงหาคม ลูกเขียนเรื่องราวทั่วๆไป ในเรื่องอาหารการกิน และญาติมิตรที่มาเยี่ยม วันนั้นเป็นคณะลุงยงค์ ป้าจ๋า ลุงขุน ป้าตุ๋ย จากขอนแก่นมาเยี่ยม และแม่สังเกตเห็นช่วงเวลาที่หายไป คือช่วงที่ทำพิธีกรรมอยู่ที่ถ้ำ

 

16.34 . อาบน้ำต้มสมุนไพร สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำแล้วรู้สึกสดชื่นชึ้น หอมกลิ่นสมุนไพรตามตัว

.........(ช่วงเวลาที่ขาดหายไปนี้ คือช่วงที่ทำพิธีบวช)...

20.42 . กินยาธิเบต กินน้ำอุ่น

 

วันต่อมาก็เป็นป้าเฒ่า ลุงเปี๊ยก อาปลา ลุงชัย ป้านกยูง ฝากสมุดวาดรูปที่ทำเองมาให้ด้วย สมุดนั้นช่วยกันทำหลายคน มีเพื่อนลุงชัย ที่ชื่อ เมธี เมธา ด้วย

 

ตอนบ่ายๆของทุกวัน หลวงพ่อยังคงมาสอนธรรมะให้ลูกที่กุฎิสม่ำเสมอ และตอนเย็นลูกจะทำวัตรเย็น เจริญเมตตาพรหมวิหาร

 

แม่เริ่มพบว่ามีบางอย่างที่แปลกออกไปจากวันก่อนๆ

เริ่มจาก วันที่ 4 สิงหาคม ในบันทึกนั้นมีเรื่องราวบางอย่างที่น่าสนใจเกิดขึ้น

 

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า