Skip to main content

 

อาจเป็นเพราะว่าแม่อยู่กับลูกตลอดเวลา จนกระทั่งคิดว่าความสงบนิ่งคืออาการปกติที่ลูกเป็นอยู่ แน่ล่ะ นิสัยของลูกไม่เหมือนเด็กอื่นๆมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว ลูกเป็นเด็กที่มีสมาธิมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ บางครั้งแม่เคยเห็นลูกนั่งเล่นตุ๊กตาบาร์บี้อยู่คนเดียว ทั้งแต่งตัวและหวีผมให้มันครั้งละนานๆ เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง โดยไม่เบื่อหน่าย ก็นั่นคือกิจกรรมของเด็ก ภายในใจอาจมีจินตนาการมากมาย แต่ขณะที่เป็นคนป่วย การใช้เวลานิ่งเงียบอยู่กับตัวเองของลูก คือการเขียนบันทึกและอ่านหนังสือ ความนิ่งเงียบที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกดูคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่แม้กระทั่งพ่อกับแม่ก็ยังเกรงใจ ไม่กล้ารบกวน

 

สิ่งที่ลูกเป็น สิ่งที่ลูกทำ อาจไม่น่าแปลกใจนัก เพราะเราต่างก็รู้ว่าลูกพยายามสงบนิ่งอยู่กับการทำสมาธิตามคำสอนของหลวงพ่อ แต่มีบางอย่างที่แม่อ่านพบในบันทึก และคิดว่าลูกเองก็คงประหลาดใจเช่นกัน ว่าสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว และในเวลาต่อมา ลูกสามารถใช้จิตดวงนั้นให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการเยียวยาตนเองตามที่หลวงพ่อสอนไว้

 

การเฝ้าดูจิต จนกระทั่งจิตเฝ้าดูกายทำงานอย่างต่อเนื่องตามธรรมชาติของมัน น่าจะเป็นอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกทิ้งไว้ให้เรารู้คือ การบันทึกในรายละเอียดการพิจารณากายแต่ละขณะ หลังจากที่มีการพอกยาไปแล้ว

 

วันที่ 4 สิงหาคม

บันทึกเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ มีเรื่องราวซ้ำเดิม คือ อาหารการกิน กินยา และอาบน้ำสมุนไพร มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นคือ ทำยาพอก สูตรของแม่ชีถนอมศรี


 

10.45 . บูชาพระรัตนตรัย ก่อนจะเริ่มทำยา (ยาพอก) แม่ชีถนอมศรี บอกว่าสรรพคุณยาทำให้เจ้ากรรมนายเวรกลัว แล้วออกไป (สรรพคุณนี้เป็นความลับระหว่างลูกกับแม่ชี)

11.56 . พอกท้อง พอกหัว

12.30 . พอกท้อง พอกหัวเสร็จ

เย็นทั่วท้องและหัว

หายใจสบายขึ้น

เย็นไปถึงตับ

เย็นไปถึงสมอง

รู้สึกเหมือนมีอะไรมาดูดที่ตับ

โล่ง เบาสบาย

12.41 . กินน้ำต้มสมุนไพร หญ้าคมปาว

ตอนพอกยา ตั้งจิตอธิษฐานเปิดร่างกาย อุทิศบุญ และอโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวร

กำหนดลมหายใจเข้าออก ท่อง พุท-โธ

 

ในบันทึกของวันนี้ นอกเหนือจากกินอาหาร กินยา นวด อาบแดด ยังมีการบันทึกว่า เปิดร่างกายให้หมอเทวดามารักษา อุทิศบุญ และภาวนาพุท-โธ ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมหลัก ที่ลูกทำอยู่ตลอดเวลา

 

16.24 . พอกท้อง และหัว ด้วยรากพรหมราชา

แผ่เมตตาจิต

กำหนดลมหายใจเข้า-ออก

ท่อง พุท-โธ

16.53 . พอกท้องและหัวเสร็จ

หายใจโล่ง สบาย

เย็นหัวและท้อง

ขาสั่น

รู้สึกมีอะไรมาดูดที่ท้อง

สมองปลอดโปร่ง

 

จากนั้นเป็นบันทึกถึงกิจกรรมเดิมๆ รวมทั้งสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเปิดร่างกาย ภาวนาพุท-โธ

 

วันที่ 5 สิงหาคม

ลูกตื่นมาทำวัตรเช้า ตั้งแต่ 05.40 . และพอกท้องพอกหัว เวลา 06.33 . เสร็จในเวลา 06.51 .

ในบันทึกเริ่มมีความละเอียดของอาการทางกาย ที่เกิดจากการพอกยามากขึ้น

 

06.51 . พอกท้องและหัวเสร็จ

เย็นท้อง และหัว

เย็นไปถึงกระดูก

รู้สึกมีอะไรมาดูดที่ท้อง

หายใจโล่งสบายท้อง

เย็นทั่วหัว

เย็นไปถึงหน้าผาก

โล่ง เบาสมอง

 

ช่วงเที่ยง มีการพอกยาที่ท้องและหัวเหมือนเดิม ในบันทึก มีรายละเอียดของอาการทางกายเพิ่มมากขึ้น

 

12.50 . พอกหัวและท้องเสร็จ

เย็นทั่วหัวและท้อง

เย็นถึงสะดือ

เย็นถึงกระดูกซี่โครง

เบาท้อง รู้สึกโล่ง

หายใจสะดวกขึ้น

รู้สึกมีอะไรมาดูดที่ท้อง

เบาหัว โล่งสมอง

เย็นถึงหน้าผาก

เย็นถึงตา

เบา สบายทั้งตัว

 

อีกทั้งอาการของร่างกายภายนอก ลูกยังเขียนว่า มือทั้งสองข้าง สีแดงลดลง เป็นสีปกติมากขึ้น

บันทึกในวันต่อๆมา แสดงให้เห็นถึงการทำงานของจิตที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ แม่ดูจากบันทึกที่ว่าอวัยวะต่างๆตอบสนองการพอกยาอย่างไรบ้าง น่าจะหมายถึงว่า ในทุกขณะจิต ลูกได้เฝ้าดูการทำงานของมันตลอดเวลา

 

วันที่ 6 สิงหาคม

17.10 . พอกท้องและหัวเสร็จ

เย็นทั่วท้องและหัว

หายใจสะดวกมากขึ้น

โล่ง เบาท้อง

เย็นที่ตับมากขึ้น

ดูดทั่วท้อง

ดูดถึงปอด

ดูดถึงคอ

เย็นถึงต้นขา

เย็นถึงกระดูกสันหลัง

เย็นถึงกระดูกซี่โครง

โล่งเบาหัวสมอง

เย็นถึงหน้าผาก

เย็นถึงตา

เย็นถึงจมูก

เบา สบายกายขึ้นมามาก

รู้สึกว่าก้อนจะอ่อน

 

เป็นไปไม่ได้เลย ที่แม่จะมองข้ามการทำงานของจิตลูกในแต่ละวัน นั่นเป็นเพราะว่า บันทึกในแต่ละวันต่อจากนี้ คือความละเอียดอ่อน และวันเวลาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการเป็นนักบวชของลูก กับการเยียวยาความป่วยไข้ของตนเอง

 

วันที่ 7 สิงหาคม

07.00. พอกท้องและหัวเสร็จ

เย็นทั่วท้อง

เบา โล่งท้อง

หายใจสะดวก โล่ง

เปล่งเสียงได้ดีขึ้น

เย็นถึงกระดูกสันหลัง

เย็นถึงกระดูกซี่โครง

เย็นถึงต้นขา

เย็นถึงต้นแขน เล็กน้อย

เย็นถึงตับ มากขึ้น

ดูดถึงปอด

ดูดถึงคอแรงขึ้น

ดูดถึงตับแรงขึ้น

รู้สึกว่าท้องอ่อนมากขึ้น

เบา โล่งหัวสมอง

เย็นถึงหน้าผาก

เย็นถึงตา

เย็นถึงหู

เย็นถึงริมฝีปาก

เย็นที่กลางกระหม่อมมากขึ้น

โล่ง เบาสบายตัว

 

ลูกแม่ บันทึกแต่ละวัน แม่เห็นถึงการดูกายที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ หลังการพอกยา ด้านภายนอกร่างกาย ลูกบอกว่าสีแดงที่ฝ่ามือลดลง เสียงที่พูดมีพลังมากขึ้น และการหายใจก็ช้าลง

 

วันที่ 8 สิงหาคม

13.28 . พอกท้องและหัวเสร็จ

เย็นทั่วหัวและท้องมากขึ้น

เย็นลึกลงไปทั่วหัว และท้องมากขึ้น

เบา โล่งท้องมากขึ้น

เย็นทั่วท้องมากขึ้น

เย็นถึงตับมากขึ้น

เย็นถึงปอดมากขึ้น

เย็นถึงคอมากขึ้น

เย็นถึงต้นขามากขึ้น

เย็นถึงต้นแขนมากขึ้น

เย็นถึงลำคอมากขึ้น

เย็นถึงต้นคอมากขึ้น

ตับทำงานดีขึ้น

ปอดทำงานดีขึ้น

ปอดขยายใหญ่ขึ้น

หายใจสะดวกขึ้น

เริ่มหายใจปกติ ไม่หายใจเร็ว

ดูดถึงตับมากขึ้น

ดูดถึงท้องแรงขึ้น

ดูดถึงปอดแรงขึ้น

ดูดถึงคอแรงขึ้น

โล่ง เบาสมองมากขึ้น

เย็นทั่วหัวสมองมากขึ้น

เย็นถึงตามากขึ้น

เย็นถึงหน้าผากมากขึ้น

เย็นถึงจมูกมากขึ้น

เย็นถึงริมฝีปากมากขึ้น

เย็นถึงปากมากขึ้น

เย็นลึกไปถึงรูหูมากขึ้น

เย็นถึงหูมากขึ้น

เย็นถึงแก้มมากขึ้น

ดูดที่หัวแรงขึ้น

เย็นถึงกลางกระหม่อมมากขึ้น

ดูดถึงตา

เบา สบายกายมากขึ้น

มีกำลังมากขึ้น

มีพลังแขนมากขึ้น

มีพลังขามากขึ้น

มีจุดแดงที่มือลดลง

ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

ทุกระบบเริ่มทำงานได้ดี

 

ทุกๆวันมีการพอกยา 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งมีพัฒนาการของร่างกายที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากการเฝ้าสังเกตโดยใช้สมาธิจิต ในบันทึกมีเรื่องราวเดิมๆ และชื่อคนที่มาเยี่ยมทุกคน

 

วันที่ 9 สิงหาคม

ลูกพอกยา 3 ครั้ง เช้าตรู่ เที่ยง และเย็น วันนี้ลูกได้ไปสวดมนต์ นั่งสมาธิที่ถ้ำด้วย

18.47 . พี่เลย์อุ้มไปที่ถ้ำ

18.56 . เริ่มสวดมนต์ ทำวัตรเย็น ออกเสียงได้ดี นั่งสวดมนต์

19.10 . นั่งสมาธิ ตั้งจิตอธิษฐาน อุทิศบุญ อโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวร แผ่เมตตา กำหนดลมหายใจเข้า-ออก ท่อง พุท-โธ

19.48 . นั่งสมาธิเสร็จ (ใช้เวลา 38 นาที)

20.01 . พี่เลย์อุ้มกลับมากุฎิ

20.18 . พ่อกลับมา ได้ของมาเยอะ พ่อบอกว่า ยอดรัก สลักใจ เสียแล้ว เสียอย่างสงบ

 

บันทึกวันต่อๆมา บอกถึงอาการของร่างกายที่ปรับสภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่จิตเฝ้าสังเกตอาการได้ลึก กระทั่งเห็นก้อนในตับอ่อนที่นิ่มมากขึ้นและเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ ในทุกวัน

 

เย็นถึง ตับ ปอด คอ ก้อน(เนื้อ)

เย็นถึง ต้นคอ ลำคอ สะบัก

เย็นถึง แขน ต้นแขน ศอก

เย็นถึง มือ ฝ่ามือ นิ้วมือ

เย็นถึง ขา ต้นขา เท้า

เย็นถึง ฝ่าเท้า นิ้วเท้า ก้น

เย็นถึง ก้นกบ กระดูกสันหลัง

เย็นถึง หลัง ซี่โครง ไหล่

เย็นถึง กระดูกแขน

เย็นมากขึ้น เย็นลึกขึ้น

ดูดถึง ตับ ปอด คอ ก้อน(เนื้อ)

ดูดถึง ต้นคอ ลำคอ สะบัก

ดูดถึง แขน ต้นแขน ศอก

ดูดถึง มือ ฝ่ามือ นิ้วมือ

ดูดถึง ขา ต้นขา เท้า

ดูดถึง ฝ่าเท้า นิ้วเท้า ก้นกบ

ดูดถึง ก้น กระดูกซี่โครง

ดูดถึง หลัง สันหลัง ไหล่

ดูดถึง กระดูกแขน

ดูดแรงขึ้น ดูดลึกขึ้น

ตับทำงานดีขึ้น

ปอดทำงานดีขึ้น

ปอดขยายใหญ่ขึ้น

หายใจสะดวกขึ้น

หายใจเป็นจังหวะ

หายใจลึกขึ้น

เปล่งเสียงได้ชัด

ตับ ก้อน ก้อนนิ่มขึ้น

ก้อนเลื่อนลงต่ำ

โล่ง เบาสมอง

 

เย็นถึง กระหม่อม หน้าผาก ตา

เย็นถึง จมูก รูจมูก ปาก ริมฝีปาก

เย็นถึง แก้ม คาง ท้ายทอย

เย็นถึง หู รูหู กระโหลก หลอดลม

เย็นมากขึ้น เย็นลึกขึ้น

 

ดูดถึง กระหม่อม หน้าผาก ตา

ดูดถึง จมูก รูจมูก ปาก ริมฝีปาก

ดูดถึง แก้ม คาง ท้ายทอย

ดูดถึง หู รูหู กระโหลก หลอดลม

ดูดมากขึ้น ดูดลึกขึ้น

 

โล่ง เบาสบาย

ทุกระบบเริ่มทำงานดีขึ้น

ผายลมบ่อยขึ้น

ฉี่ ถ่ายปกติ

ถ่ายง่าย เป็นก้อน

อาหารถูกดูด นำไปใช้มากขึ้น

 

มือ เท้า ศอก เข่า อุ่นขึ้น

มือมีจุดแดงลดลง

มีกล้ามเนื้อ

มีเนื้อ มีหนัง

มีกำลังมากขึ้น

มีกำลังแขน กำลังขามากขึ้น

อารมณ์ดี กินได้

ไม่เหนื่อย โล่ง เบาสบาย มีกำลัง

 

วันที่ 16 สิงหาคม

พ่ออุ้มลูกไปที่ถ้ำ ระหว่างที่รอหลวงพ่อและคนอื่นๆ ลูกยังต้องนอนรอ และลุกนั่งเมื่อการสวดมนต์เริ่มขึ้น และลูกยังนั่งสมาธิ ใช้เวลานาน 30 นาที

ลูกจบบันทึกของคืนนั้นว่า

พระจันทร์เต็มดวง สวยมาก

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแกถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม…
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่…
เงาศิลป์
สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด.....หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน…
เงาศิลป์
วันเวลาที่ผ่านไป ฉันค่อยๆ คลายความกังวล แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจะมาอยู่เป็นเพื่อนเกือบตลอดเวลา แต่วิชาเกลือจิ้มเกลือ เจ็บแก้เจ็บ ยังใช้ได้เสมอ (โปรดใช้วิจารณญาณในการนำไปทดลอง)และแล้วเหมือนกรรมบันดาล (อีกแล้ว) วันหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่า คนเราได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเพียงแค่ 60 – 70 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่เคยรู้จักมัน และปล่อยให้มายาคติบางอย่างครอบงำ โดยเฉพาะคำว่า “อย่าทำ” .... “ไม่ควรทำ”.....หรือ “ไม่เหมาะสมที่จะทำ” และอะไรอีกหลายความคิดที่ปิดกั้นโอกาสของตัวเองกลางเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง ฉันเร่ร่อนลงเรือไปที่หาดไร่เล ตอนนั้นแทบว่าไม่มีคนไทยรู้จักหาดไร่เล นอกจากฮิปปี้และนักปีนผา (…
เงาศิลป์
การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมายคุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า “ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร” ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน…
เงาศิลป์
เช้าวันนี้….ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ” ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิดรอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วงสายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆจึงเดินออกไปดูร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป …
เงาศิลป์
“ฉันจะต้องไม่พิการ”ฉันคำรามหนักแน่นอยู่ในใจ ในคืนวันหนึ่ง เมื่อนอนอยู่ในท่าทีเอาขาขวาพาดไว้บนกำแพง เพื่อดัดขาไล่ความเมื่อยล้า จากงานหนักจากวันนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้เข่าของฉันเจ็บน้อยลง ฉันจะทำทันที เริ่มจากการค้นหาวิธีแก้ไข ควบคู่ไปกับการยอมรับความเจ็บปวดของขาข้างขวาว่าเป็นคู่แท้ของชีวิตปีแรก ฉันเดินกะเผลกแบบคนขาเป๋ เพราะขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย และยังไม่มีพละกำลัง เวลาเดินจึงเห็นว่าตัวเอียงมาก เป็นที่เวทนาตัวเองยามคนจ้องมอง ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนพิการมากขึ้นแต่แล้ววันหนึ่ง เหมือนพระมาโปรด ฉันกลับมากรุงเทพฯ แล้วไปเยี่ยมเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ขณะนั่งอยู่ริมสนามฟุตบอล มองคนอื่นๆเล่นกิฬา อย่างเสียดาย…