Skip to main content

“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้

ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน

 

20080108 1

 

เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ ช่างประจบ

20080108 2

เจ้าเก๋า ตัวเล็ก ขี้ขลาด หวาดระแวง ไม่ชอบสุงสิง ไม่ชอบการถูกอุ้ม ไม่ชอบให้ใครมาตอแย ไม่ชอบคำสั่งใดๆทั้งหมด นอกจากคำว่า “มากินข้าว”

เย็นวันหนึ่ง  ฉันเตรียมตัวจะกลับบ้านที่ใต้ จึงต้องหาของไปฝากคนที่บ้าน

"ไปเก็บสมุนไพรกันเถอะ" ฉันเรียกเจ้าเพื่อนยาก ที่วิ่งไล่งับหลังกันอยู่ที่ลานบ้าน ส่วนใหญ่เจ้าเก๋าจะถูกเจ้าเสืองับ นานๆทีที่เจ้าเก๋าฮึดสู้กัดตอบ ...ก็มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วนี่

เราทั้งสามมุ่งหน้าไปทางท้ายไร่ แม้ว่าอากาศหนาวจะกระหน่ำสายมาเป็นระลอก ด้วยแสงอาทิตย์เริ่มโรยรา ฉันหมายตาเครือเถาว์"หนอนตายอยาก" เอาไว้นานแล้ว ฤดูหนาวเครือมันเริ่มเหี่ยวเฉาน่าขุดนัก หัวคงสมบูรณ์เต็มที่

มีใครบางคนเป็นมะเร็งในช่องปาก ได้รับการฉายแสงและกลับมาบ้านรักษาตัวเองด้วยยาสมุนไพร บอกว่าอยากได้พืชชนิดนี้ โชคดีที่ไร่ฉันมีอยู่ทั่วไป และโชคดีกว่านั้นคือเป็นชนิดตัวผู้ ที่หัวใหญ่กว่าตัวเมีย สรรพคุณทางยามีมากกว่า เดิมฉันขุดมาเพื่อทำน้ำสกัดชีวภาพฉีดไล่แมลงที่มากินพืชผัก ตอนนี้มีคนบอกว่ารักษาโรคมะเร็งได้จึงยินดีที่จะหาไปฝาก

อ้อ...วันก่อน เมียตาเก้ เดินเล่นมาที่ไร่ บอกว่าแกเองก็กินยาตัวนี้รักษาโรคเบาหวานด้วย ..ฉันก็จดจำบันทึกไว้ในสมองนั่นแหละ เผื่อโอกาสต่อๆไปจะได้นำมาวิเคราะห์วิจัย เก็บเอาไว้เป็นสมบัติของโลก

20080108 3

ตะวันลับตีนฟ้าไปแล้ว แต่ฉันยังคงขุด ขุด และขุด เพราะเจอเข้ากับหัวสมบูรณ์มากมาย ยิ่งขุดยิ่งเจอ เจ้าสองตัว(ดี)วิ่งไปวิ่งมา ประเดี๋ยวหาย ประเดี๋ยวโผล่ ฉันต้องคอยเรียก เพราะเห็นมันทั้งคู่วิ่งไล่กันไปทางโคกป่าทำเล "หินแม่ช้าง" ป่าใหญ่ที่มีสัตว์ป่าอันตรายบางชนิดอาศัยอยู่

เริ่มมองไม่เห็นหัวสมุนไพร ต้องใช้มือคลำ กวาดเก็บลงถุงพลาสติก เจ้าเสือนอนหอบแหง่กๆ อยู่ข้างหลุม แต่เจ้าเก๋าหายไป ฉันเริ่มกังวลใจเพราะรุ้ว่าพี่น้องร่วมท้องของพวกมันอีก 5 ตัว ถูกลากไปกินตั้งแต่นอนตัวแดงๆ ในดงอ้อยข้างเถียงนาตาลี  เพราะแม่มันไปออกลูกไว้ที่นั่น

อะฮ้า ตายแน่ฉัน..."ตาลี" คงเล่นงานเอาแน่ ของรักของหวงของแกเสียด้วย เพราะว่าพ่อของเหล่าลูกหมา ก็เพิ่งเป็นไข้ตาย ที่แกยอมให้เอามาเลี้ยงเพราะสงสารที่ฉันต้องอยู่อย่างวิเวกวังเวงในยามค่ำคืน คนหรือสัตว์ร้ายเข้ามาในไร่ก็คงไม่รู้เรื่องถ้าไม่มีหมาเฝ้ายาม

แต่ตอนนี้เจ้าเก๋าหายไป !!!

"เก๋าเอ๊ยเก๋า เก๋าเอ๊ย" ฉันตะโกนเรียกเสียงดัง เจ้าเสือทำเสียงงี๊ดๆ อยู่ข้างเท้า ค่อยๆเบียดตัวเข้ามาชิด
เอ...หรือว่ามันได้กลิ่นอันตราย ฉันได้ยินเสียงแปลกๆ เป็นเสียงที่แหลมๆเล็กๆ คล้ายเสียงแมวร้อง แว่วมาจากทางในป่า แต่ชาวบ้านบอกว่าถ้าเป็นหมาจิ้งจอก มันต้องร้อง จ๊อก ๆ ๆ ๆ นี่นา และมักจะออกมาหากินตอนดึกๆ เอาล่ะซี เจ้าเก๋า ซวยแล้วไหมล่ะ

ฉันตะโกนเรียกซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง

สักพักฉันได้ยินเสียงแกรกๆ ลากเท้าเบาๆเข้ามาใกล้ แต่เป็นคนทิศทางกับป่า...โธ่..เจ้าเก๋านะเจ้าเก๋า หายไปไหนมา ฉันโล่งอก เจ้าเสือดีใจจนกระโดดงับหลังเจ้าเก๋า ส่วนเจ้าเก๋ากระดิกหางกุดๆ ดุ๊กดิ๊ก ๆ ในความสลัว อย่างไม่รู้ประสา น่าตีนัก

"กลับบ้านเหอะมืดแล้ว"  มืดค่ำจนแทบไม่เห็นทางเดิน เจ้าสองตัววิ่งสลับนำหน้าบ้าง ตามหลังฉันบ้างจนมาถึงบ้าน รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องเสียหมาไปเพราะความโลภในยาสมุนไพร

ถ้ามันหายไปในตอนที่โตแล้ว ฉันอาจจะคิดว่า มันกลับเข้าไปสู่สังคมดั้งเดิมในรุ่นทวดของมัน  เพราะยังมีญาติเลือดนักล่าอยู่ในป่าหินแม่ช้างนั่นเอง

ความเป็นนักล่าในตัวมันจึงไม่จางหาย แม้ตอนนี้ฉันจะเห็นแค่ว่า มันล่าได้เฉพาะมดตัวเล็กๆก็ตาม

อย่างหนึ่งที่ฉันรู้สึก เหมือนที่คนละแวกนี้เขารู้กัน คือ หมาชนิดนี้มีสัญญาณพิเศษที่ไม่ต้องใช้คำสั่งใดๆในการล่า เพราะมันจะสังเกตสิ่งแวดล้อม และจัดการทุกอย่างตามวิสัยล่าโดยตัวมันเอง

เช้าวันที่ฉันเตรียมตัวจะออกมาจากไร่ โดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรมันเลย ทั้งสองตัวต่างนอนซึมนิ่งเงียบที่ลานบ้าน อย่างผิดปกติ และเมื่อลุงลีขับรถมอเตอร์ไซด์มาดูว่าฉันออกจากไร่หรือยัง

เจ้าเสือกระโดดกอดขาของแกแน่น เหมือนขอร้องให้พามันกลับไปด้วย ทันทีที่แกเลี้ยวรถออกไปจากไร่ มันทั้งคู่วิ่งไล่กวดรถลุงลีอย่างไม่ยอมเหลียวหลัง ฉันทั้งขำทั้งใจหายด้วยความสงสาร หมาเอ๊ยหมา

นั่นคือครั้งแรกที่มันตั้งใจทิ้งฉันไปจริงๆ

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแกถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม…
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่…
เงาศิลป์
สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด.....หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน…
เงาศิลป์
วันเวลาที่ผ่านไป ฉันค่อยๆ คลายความกังวล แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจะมาอยู่เป็นเพื่อนเกือบตลอดเวลา แต่วิชาเกลือจิ้มเกลือ เจ็บแก้เจ็บ ยังใช้ได้เสมอ (โปรดใช้วิจารณญาณในการนำไปทดลอง)และแล้วเหมือนกรรมบันดาล (อีกแล้ว) วันหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่า คนเราได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเพียงแค่ 60 – 70 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่เคยรู้จักมัน และปล่อยให้มายาคติบางอย่างครอบงำ โดยเฉพาะคำว่า “อย่าทำ” .... “ไม่ควรทำ”.....หรือ “ไม่เหมาะสมที่จะทำ” และอะไรอีกหลายความคิดที่ปิดกั้นโอกาสของตัวเองกลางเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง ฉันเร่ร่อนลงเรือไปที่หาดไร่เล ตอนนั้นแทบว่าไม่มีคนไทยรู้จักหาดไร่เล นอกจากฮิปปี้และนักปีนผา (…
เงาศิลป์
การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมายคุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า “ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร” ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน…
เงาศิลป์
เช้าวันนี้….ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ” ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิดรอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วงสายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆจึงเดินออกไปดูร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป …
เงาศิลป์
“ฉันจะต้องไม่พิการ”ฉันคำรามหนักแน่นอยู่ในใจ ในคืนวันหนึ่ง เมื่อนอนอยู่ในท่าทีเอาขาขวาพาดไว้บนกำแพง เพื่อดัดขาไล่ความเมื่อยล้า จากงานหนักจากวันนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้เข่าของฉันเจ็บน้อยลง ฉันจะทำทันที เริ่มจากการค้นหาวิธีแก้ไข ควบคู่ไปกับการยอมรับความเจ็บปวดของขาข้างขวาว่าเป็นคู่แท้ของชีวิตปีแรก ฉันเดินกะเผลกแบบคนขาเป๋ เพราะขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย และยังไม่มีพละกำลัง เวลาเดินจึงเห็นว่าตัวเอียงมาก เป็นที่เวทนาตัวเองยามคนจ้องมอง ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนพิการมากขึ้นแต่แล้ววันหนึ่ง เหมือนพระมาโปรด ฉันกลับมากรุงเทพฯ แล้วไปเยี่ยมเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ขณะนั่งอยู่ริมสนามฟุตบอล มองคนอื่นๆเล่นกิฬา อย่างเสียดาย…