Skip to main content

มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเอง

ภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
ฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่

“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจ

ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว เหลือไว้เพียงตำนานแห่งการรักษาด้วยหัวใจและคุณธรรม ไม่ว่าจะเป็นหมอยาสมุนไพร หมอนวด หมอเป่าใช้คาถา หมอลำผีฟ้า หมอเหยา(หมอลำผีฟ้าของชาวภูไท) และหมอดู

การสัมภาษณ์หมอยาพื้นบ้าน โรคที่หมอพูดถึงบ่อยๆ เช่น ไข้หมากไม้ ที่ว่าถ้าไปฉีดยาแบบการแพทย์แผนใหม่คนไข้คนนั้นจะต้องตายแน่นอน หรือไข้ซางประเภทต่างๆ ของเด็กน้อยก็มีหลายซาง แม้แต่เรื่องอาการ “บวม” ก็ยังมีคำเรียกในอาการที่หลากหลาย เช่น บวมผีโพ บวมโอ๊ะโป๊ะเอ๊ะเป๊ะ บวมไข่หรือบวมเป็นจุดๆ บวมแล่นไปทั้งตัว สาเหตุการบวมอาจมาจากกินยาชุด บวมเพราะเป็นโรคตับ บวมเพราะแมลงสัตว์กัดต่อย หรืออื่นๆ ....เหล่านี้เป็นต้น

นี่คือตัวอย่างตำรับยารักษาโรคบวม ที่ฉันจดเอาไว้ ดูแล้วไม่มีอะไรพิศดารจนต้องกลัวเลยสักนิด นั่นคือ

พริกไทย 3 บาท
ดีปลี 3 บาท
กระเทียม 3 บาท
หอมแดง 3 บาท
การบูร 3 บาท
พิมเสน 3 บาท
เมนทอล 3 บาท
เจตมูลเพลิง 15 บาท
ใบผีเสื้อ 3 กำมือ
ใบเปล้า 3 กำมือ
ใบหนาดใหญ่ 3 กำมือ
ตากวง(กำแพงเจ็ดชั้น)ผง 1 ช้อนโต๊ะ
ดีน้ำตาลพอประมาณ
จันท์แดง และจันท์หอม อย่างละ 3 บาท (ใช้เวลามีไข้)
หัวข่าพอประมาณ
วิธีทำ ตากให้แห้ง บดเป็นผง
วิธีใช้ ชงน้ำร้อน 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำหนึ่งถ้วย ดื่ม เช้า เที่ยง เย็น


ข้อขะลำ(ข้อห้าม) ในการรักษาโรคบวม คือ ห้ามตากฝน ห้ามกินเนื้อวัว เนื้อควาย บักฮึ(ฟักทอง) บักฟัก แฟง แตงกวา (และพืชทุกชนิดที่มีมือมีตีน) ของหมักดอง และที่สำคัญ...ที่ขะลำยาก คือ ตำบักหุ่ง (ส้มตำ)

ทีนี้ก็เป็นค่า “คาย” หรือค่ารักษา มีอยู่ว่า

ผ้าซิ่น 1 ผืน
แพรวา 1 ชิ้น
เหล้า (ขาว)1 กั๊ก
ไข่ต้ม 1 ใบ
ขันธ์ห้า (ดอกไม้ ธูป เทียน)
เงิน 6 บาท


บันทึกเก่าทำให้ฉันมีอารมณ์ยิ้มลึก เมื่อมาเจอคาถาที่ใช้ในการรักษา ปกติการถ่ายทอดตำรับยาและคาถาที่สำคัญ จะไม่ให้กันง่ายๆ คนที่ได้รับการสืบทอดคาถาจะต้องถูกตรวจสอบคุณธรรมพื้นฐาน ว่าไม่ละโมบโลภมาก ไม่เอาคาถาไปใช้แสวงหาผลประโยชน์จากคนป่วยหรือผู้ที่กำลังทุกข์ ดังนั้นคาถาที่ฉันจดมาได้คงเป็นคาถาธรรมดาเท่านั้น

นี่คือคาถาเป่า รักษาอาการบวม
โอม มะลวน มะลวน แดงฮวนๆกูเป่ากะแว่บ
โอม ปูมปา ปูมเปา ไข่หน้าแข้ง กูฝนยาทา ไข่หน้าขา กูเป่ากะแว่บ

สมุดบันทึกเล่มใหญ่ มีเรื่องราวมากมาย ที่คนบันทึกหาได้เข้าใจอะไรอย่างลึกซึ้งไม่ มาวันนี้ ฉันย้อนกลับไปมองดูอดีตอย่างเสียดาย ที่ฉันไม่ได้ขุดคุ้ยอะไรให้มากกว่านี้ เพราะบางที...โลกใหม่ ภายหลังจากหายนะของธรรมชาติ เราอาจต้องพึ่งพาความรู้เล่านี้อีกครั้ง

แต่บางกรณี ฉันคิดว่าความรู้บางอย่างได้ตายตามหมอยาไปแล้ว....

หมอยาสักลิ้นเลิกเหล้า แกบอกว่า พืชที่ใช้เป็นตัวยาหายาก ต้องไปหาจากที่ไกลๆ แม้จะเอาต้นมาปลูกไว้ข้างบ้านแต่สรรพคุณไม่เท่ากับที่เกิดธรรมชาติ และแกจะไม่ยอมให้ใครรู้จักต้น แกเล่าว่าเคยมีนายแพทย์ใหญ่จากโรงพยาบาลมาสัมภาษณ์และถ่ายรูปต้นไม้ ถึง 3 ครั้ง แกจะชี้ให้ไปถ่ายรูปต้นไม้ชนิดอื่นทุกครั้ง

แน่นอน..แม้แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ได้รู้จักมัน

ยี่สิบปีผ่านไป หมดยุคของไข้บวม ไข้หมากไม้ ไข้ป้าง ไข้ซาง เข้าสู่ยุคโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันสูง ผู้คนหลั่งไหลไปรับการรักษาจากโรงพยาบาล แต่ละคนมียากินประจำมื้อราวกับอาหารหวาน จึงดูเหมือนว่าเราสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้น แต่ในทางกลับกัน เรามีโอกาสที่จะเข้าใกล้ความตายได้ง่ายขึ้นด้วย นั่นคือความตายที่มาจากภัยพิบัติ

อา...จบสิ้นแล้วการรักษา ยุคค่าคาย 3 บาท 6 บาท มาสู่ 20 บาท รักษาทุกโรค หมดสิ้นแล้วคาถารักษาโรคแม้อาจหลงเหลือน้ำมือที่มีคุณธรรมอยู่บ้าง แต่เวลาที่ใช้ในการตรวจคนไข้ของนายแพทย์ เฉลี่ยแค่ไม่กี่นาทีต่อคน คิดแล้วใจหาย จนไม่อยากจะป่วย

ฉันจึงต้องมีคาถาที่ช่วยเยียวยาชีวิตได้ล่วงลึกไปถึงจิตวิญญาณ
นั่นคือ... คำว่า “พุทโธ”

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแกถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม…
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่…
เงาศิลป์
สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด.....หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน…
เงาศิลป์
วันเวลาที่ผ่านไป ฉันค่อยๆ คลายความกังวล แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจะมาอยู่เป็นเพื่อนเกือบตลอดเวลา แต่วิชาเกลือจิ้มเกลือ เจ็บแก้เจ็บ ยังใช้ได้เสมอ (โปรดใช้วิจารณญาณในการนำไปทดลอง)และแล้วเหมือนกรรมบันดาล (อีกแล้ว) วันหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่า คนเราได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเพียงแค่ 60 – 70 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่เคยรู้จักมัน และปล่อยให้มายาคติบางอย่างครอบงำ โดยเฉพาะคำว่า “อย่าทำ” .... “ไม่ควรทำ”.....หรือ “ไม่เหมาะสมที่จะทำ” และอะไรอีกหลายความคิดที่ปิดกั้นโอกาสของตัวเองกลางเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง ฉันเร่ร่อนลงเรือไปที่หาดไร่เล ตอนนั้นแทบว่าไม่มีคนไทยรู้จักหาดไร่เล นอกจากฮิปปี้และนักปีนผา (…
เงาศิลป์
การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมายคุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า “ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร” ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน…
เงาศิลป์
เช้าวันนี้….ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ” ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิดรอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วงสายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆจึงเดินออกไปดูร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป …
เงาศิลป์
“ฉันจะต้องไม่พิการ”ฉันคำรามหนักแน่นอยู่ในใจ ในคืนวันหนึ่ง เมื่อนอนอยู่ในท่าทีเอาขาขวาพาดไว้บนกำแพง เพื่อดัดขาไล่ความเมื่อยล้า จากงานหนักจากวันนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้เข่าของฉันเจ็บน้อยลง ฉันจะทำทันที เริ่มจากการค้นหาวิธีแก้ไข ควบคู่ไปกับการยอมรับความเจ็บปวดของขาข้างขวาว่าเป็นคู่แท้ของชีวิตปีแรก ฉันเดินกะเผลกแบบคนขาเป๋ เพราะขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย และยังไม่มีพละกำลัง เวลาเดินจึงเห็นว่าตัวเอียงมาก เป็นที่เวทนาตัวเองยามคนจ้องมอง ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนพิการมากขึ้นแต่แล้ววันหนึ่ง เหมือนพระมาโปรด ฉันกลับมากรุงเทพฯ แล้วไปเยี่ยมเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ขณะนั่งอยู่ริมสนามฟุตบอล มองคนอื่นๆเล่นกิฬา อย่างเสียดาย…