Skip to main content

นักท่องเที่ยวหลายคนก็คงเป็นแบบฉัน ไปเที่ยวบ้านของเขา แต่กลับมองไม่เห็นคนที่เป็นเจ้าของบ้านซึ่งเราได้เหยียบย่างเข้าไป

ตามสถานที่ท่องเที่ยว เราพบเห็นคนเร่ขายของที่ระลึกอยู่ทั่วไป และโดยส่วนมากเรามักปฏิเสธมากกว่าจะซื้อของ คุณเคยถามตัวเองไหมว่าทำไมคุณจึงปฏิเสธ เพราะไม่อยากได้ของสิ่งนั้น  เพราะไม่ไว้ใจว่าจะถูกโก่งราคา เพราะรำคาญ หรือเพราะเคยชิน

ใน ย่างกุ้ง ฉันพบชายขายภาพวาดคนหนึ่ง และใน บะโก ฉันพบเด็กชายขายโปสการ์ดอีกคนหนึ่ง อะไรบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขาติดตามฉันมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่เคยรู้จักพวกเขาและไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกในชีวิตนี้

ชายขายภาพวาด

วันแรกเมื่อเดินทางถึงย่างกุ้ง พวกเราไปเที่ยวตลาดโบโจ๊กซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของเมือง มีสินค้ามากมายตั้งแต่อาหาร เครื่องประดับ ของที่ระลึก และเสื้อผ้าของใช้ประจำวัน เราเดินดูนั่นดูนี่มากกว่าจะซื้อของ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นวันแรกของการมาถึงจึงไม่อยากแบกสัมภาระที่หนักเกินไปเมื่อต้องเดินทางไปต่ออีกหลายแห่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเราชอบเที่ยว ชม และชิม มากกว่าจะนิยมการช็อบปิ้ง

เราแวะพักขาที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง และได้พบเขา ชายผู้พิการทางสมองซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะได้ช้าและมีลักษณะบิดเบี้ยวไม่เหมือนคนทั่วไป แน่นอนว่าเขาสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษไม่ได้แต่ด้วยภาษาท่าทางทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าเขากำลังเสนอขายภาพวาดสีน้ำ เขาชี้ไปที่ลายเซ็นตรงมุมล่างขวาของภาพขนาดใหญ่กว่ากระดาษเอสี่เล็กน้อยเพื่อบอกว่าเขาคือเจ้าของชื่อผู้วาดภาพนั้น เขาพลิกกระดาษเปลี่ยนภาพให้เราดูภาพแล้วภาพเล่า ในสายตาผู้ไม่เข้าใจงานศิลปะอย่างฉันภาพวาดเหล่านั้นดูสวยงามทีเดียว เป็นภาพวาดสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในประเทศพม่าอย่างเช่นเจดีย์ชเวดากอง และทัศนียภาพอันงดงาม

เมื่อถามราคาเขากดเครื่องคิดเลขให้ดู คำนวณเป็นเงินไทยแล้วประมาณสามร้อยกว่าบาท ฉันไม่รู้หรอกว่ามันถูกหรือแพงแต่เป็นราคาที่ไม่เกินกำลังซื้อของฉัน ทว่าฉันกลับปฏิเสธ เพื่อนร่วมทางอีกคนก็ไม่ซื้อทั้ง ๆ ที่ทำท่าเหมือนว่าอยากจะได้เช่นกัน เธอบอกว่าไม่อยากมีภาระเก็บรักษาภาพในระหว่างที่พวกเรายังต้องระหกระเหินเดินทางต่อ

ฉันนึกเห็นหน้าตนเองเจื่อน ๆ ขณะโบกมือปฏิเสธ เขายื่นเครื่องคิดเลขให้ฉันกดเพื่อต่อรองราคา ฉันโบกมือปฏิเสธอีกครั้ง เขาคะยั้นคะยออีกครู่ใหญ่ ก่อนจะยิ้มเศร้า ๆ แล้วเดินจากไป

ขณะนั่งเขียนอยู่นี้ ฉันยังคงวนเวียนถามตนเองว่าเหตุใดจึงไม่ซื้อภาพวาด หากมีเวลาอยู่ในย่างกุ้งต่ออีกวันฉันคงจะไปที่ตลาดแห่งนั้นเพื่อตามหาเขาและขอซื้อภาพ  ฉันบอกตัวเองว่าหากนึกคำอธิบายไม่ได้ว่าทำไมจึงปฏิเสธ ฉันก็ควรซื้อภาพของเขาโดยไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอธิบายให้ได้ด้วยเช่นกัน 

แต่น่าเสียดายที่เวลาในย่างกุ้งของฉันหมดไปแล้ว 

เด็กชายขายการ์ด

ที่เมือง บะโก ขณะกำลังถ่ายภาพระนอนองค์ใหญ่ซึ่งฉันไม่ทราบประวัติใด ๆ นอกจากว่าเป็นสถานที่ที่ไกด์ท้องถิ่นแนะนำให้มาเที่ยว ที่นั่นไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นใดนอกจากพวกเราสี่คน มีเด็กชายขายคนหนึ่งเข้ามาเสนอขายการ์ด เขาสื่อสารกับพวกเราเป็นภาษาไทย ฉันไม่สนใจซื้อการ์ดพอ ๆ กับที่ไม่สนใจที่เขาพูดภาษาไทยได้ เพราะคิดว่านั่นเป็นวิธีการเสนอขายสินค้าธรรมดา ๆ ของพ่อค้าแม่ค้าท้องถิ่นที่รู้ว่าพวกเรามาจากประเทศไทย 

แต่แล้วน้องชายพยายามจะเล่าว่า “ผมเคยไปอยู่เมืองไทย ผมเคยเรียนในเมืองไทย” แล้วเขาก็หยิบบัตรประจำตัวปึกหนึ่งขึ้นมา ฉันกวาดสายตาเร็ว ๆ พบว่าเป็นบัตรประจำตัวนักเรียนในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากขององค์กรพัฒนาเอกชน ไกด์บอกว่าบะโกอยู่ไม่ไกลจากแม่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นั่งรถไปเช้า เย็นก็ถึง เยาวชนจากบะโกหลายคนจึงไปเรียนหนังสือที่นั่น

“เคยไปอยู่ แม่หละ เหรอ” ฉันเอ่ยชื่อค่ายผู้ลี้ภัยชาวกระเหรี่ยงในอำเภอแม่สอด

“ไม่ใช่แม่หละ แม่ปะ”  เขาตอบ ฉันพยักหน้ารับรู้    

“วันนี้ขายไม่ดี ลดให้ทั้งหมดนี้ 100 บาท” เขาเสนอขายการ์ดจำนวน 10 แผ่น ฉันเห็นเพื่อนร่วมทางพยายามต่อราคาอยู่นานโดยไม่ทราบว่าราคาที่ทั้งสองฝ่ายต้องการคือเท่าไร จนเมื่อทราบจึงอุทานออกมา “โธ่เอ้ย !”  แล้วหยิบเงินหนึ่งร้อยบาทยื่นให้เขา อาจจะด้วยความรู้สึกผิดต่อชายขายภาพวาดที่ย่างกุ้ง หรือด้วยความรู้สึกอื่นใดฉันไม่ทันคิด รู้แต่ว่าฉันอยากจะช่วยน้องชายซื้อการ์ด แม้จะไม่ค่อยเชื่อหรอกว่าเงินหนึ่งร้อยบาทของฉันจะช่วยให้ชีวิตน้องชายดีขึ้นมา 

ผ่านมาหลายวันฉันจึงค่อยแกะดูการ์ดที่ซื้อมาซึ่งเหลือจากการแบ่งให้เพื่อนร่วมทางไปแล้ว ฉันพบว่าการ์ดนั้นไม่ได้ผลิตด้วยการพิมพ์ภาพสีน้ำออกมาทีละหลายก็อปปี้ตามที่เข้าใจแต่แรก  รอยนูน ๆ และสีที่เลอะไปอีกด้านหนึ่งของแผ่นกระดาษ ทำให้ทราบว่าการ์ดนั้นเป็นภาพวาดสีน้ำที่เขียนด้วยมือทุกภาพ น้องชายคนนั้นคงวาดภาพเหล่านี้มาขายด้วยตนเอง

คนที่คิดถึง

เด็กขายการ์ดในวัยใกล้ยี่สิบที่ดิ้นรนหาเลี้ยงปากท้องทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนเก่าหลายคนที่เคยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดน  ผู้คนเหล่านี้จำต้องเกิดมาเป็นประชาชนในประเทศพม่าโดยที่ตนเองไม่ได้เลือกและเลือกไม่ได้ แต่พวกเขาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะดิ้นรนต่อสู้ให้ตนเองมีชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม

ในวัยไม่ถึงยี่สิบปี เพื่อนของฉันตกอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัย หรือประชาชนไร้รัฐ หลายคนหนีตายจากถิ่นฐานบ้านเกิดในชนบทเมื่อถูกทหารบุกเข้าไปในหมู่บ้านปล้นทรัพย์สินและทำร้ายผู้คน

“แสง” เยาวชนกะเรนนีพลัดพรากจากพ่อแม่ คนในครอบครัววิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางเมื่อหมู่บ้านถูกทหารบุกเข้าปล้นสดมภ์และเผาจนวอด หลายวันหลายคืนที่แสงเดินเท้าลัดเลาะอยู่ในป่าโดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลยนอกจากเสื้อผ้าชุดที่สวมใส่ เขาเดินทางร่วมกับผู้คนที่แตกกระสานซ่านเซ็นมาจากหลายหมู่บ้านโดยมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยคุ้มครองมาส่งจนถึงยังชายแดนไทย ก่อนที่จะได้เข้ามาอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน  แสงเรียนจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนในค่าย ได้รับการฝึกอบรมในหลักสูตรพิเศษจากหลายโครงการ และได้ทำหน้าที่เป็นหมออนามัยในค่าย ก่อนที่ข่าวคราวของเขาจะหายไปจากการรับรู้ของฉัน

“เอกอเฮ” เด็กหนุ่มชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในค่ายแม่หละ จังหวัดตาก ในวัยสิบแปดปีเขาพร่ำพูดถึงความใฝ่ฝันที่จะมีอนาคตดีกว่าเดิมและได้ออกไปอยู่นอกค่ายผู้ลี้ภัย ในช่วงเวลาหลายปีฉันพบเขาหลายครั้งที่แม่หละ และแม่ปะซึ่งเป็นพื้นที่นอกค่ายผู้ลี้ภัย เป็นหลายปีของการเพียรพยายามและรอคอย เช่นเดียวกับการรอคอยของผู้ลี้ภัยอีกหลายคนที่หวังว่าจะได้กลับบ้าน พ่อของ “เอกอเฮ” ซึ่งเป็นนายทหารของกองกำลังกู้ชาติกะเหรี่ยงจบสิ้นการรอคอยด้วยการเสียชีวิตอยู่ในค่ายแม่หละระหว่างพักรักษาตัวจากอาการเจ็บป่วย หลายปีหลังจากพ่อของเขาเสียชีวิต "เอกอเฮ" ได้รับคัดเลือกให้ลี้ภัยไปยังสหรัฐอเมริกาและได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น

“เอกะหลื่อตอ” เด็กหนุ่มชาวกะเหรี่ยงจากรัฐคะยาห์ เลือกเดินทางจากครอบครัวในชนบทมายังค่ายผู้ลี้ภัยในจังหวัดแม่ฮ่องสอนทั้งเพื่อความปลอดภัยและเพื่อโอกาสในการศึกษา หากยังอยู่ในหมู่บ้านเด็กหนุ่มสุ่มเสี่ยงที่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานทาสทำงานให้ทหารพม่า ถูกใช้แบกอาวุธ เสบียง และทำงานอื่น ๆ โดยไม่ได้รับค่าจ้างและไม่ได้รับอาหารเพียงพอ เมื่อเจ็บป่วยจะไม่ได้รับการรักษาและบางคนถูกทารุณถึงตาย บ้านเกิดของเอกะหลื่อตออยู่ในชนบทซึ่งไม่มีโรงเรียน เด็กที่อยากเรียนต้องออกจากหมู่บ้านไปอยู่ในพื้นที่ที่มีโรงเรียน แต่โรงเรียนในหมู่บ้านชนบทมีจำกัด และเปิดสอนในระดับที่ไม่สูงมากนัก ค่ายผู้ลี้ภัยมีโรงเรียนในระดับมัธยมและสูงกว่ามัธยม "เอกะหลื่อตอ" จึงเลือกที่จะเดินทางมา เขาเรียนจนจบในระดับสูงสุด ได้เข้าอบรมในหลักสูตรพิเศษอีกหลายหลักสูตร และทำงานเป็นครูให้กับโรงเรียนในค่ายผู้ลี้ภัยก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยไปประเทศออสเตรเลีย เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับภรรยาและลูกอีกสองคนที่นั่น

เพื่อนผู้ลี้ภัยของฉันอีกหลายคนมีเส้นทางชีวิตระหกระเหินในทำนองเดียวกันนี้ ฉันรู้จักและเรียนรู้เรื่องราวของพวกเขาเมื่อประมาณสิบปีก่อน ทุกวันนี้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัวและมีชีวิตดีขึ้นกว่าเดิมในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง

ไม่เท่ากัน

หากติดตามข่าวจากสื่อต่าง ๆ เราอาจเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศพม่าดีขึ้นมากจากเมื่อสิบปีที่แล้ว ฉันได้รับความสะดวกและปลอดภัยพอสมควรเมื่อเดินทางไปพม่าในฐานะนักท่องเที่ยว 

“คุณชอบประเทศพม่าไหม” คนขับแท็กซี่ถามเมื่อเขากำลังพาฉันไปส่งที่สนามบิน

“ชอบสิ ชอบ” ฉันตอบเขา เขายิ้มน้อยๆ แสดงความพอใจในฐานะเจ้าบ้านที่ดี เมื่อวานคนขับแท็กซี่คนเดียวกันนี้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและวัดวาอารามที่เรายังไม่ได้ไปเยี่ยมชมอีกมากมาย แต่น่าเสียดายที่เวลาของพวกเราหมดลงแล้ว

ฉันลังเลสักครู่ก่อนจะถามเขาว่า “คุณรู้เรื่องผู้ลี้ภัยจากประเทศพม่าในชายแดนไทยบางไหม” 

เขาตอบไม่ชัดเจนนัก แต่บอกว่าพอรู้มาบ้าง  “เป็นเรื่องแย่ และน่าเศร้า” เขาตอบแค่นั้น ก่อนเสียงการสนทนาจะเงียบลง

ฉันได้เห็นสิ่งที่รัฐบาลพม่าน่าจะอยากให้นักท่องเที่ยวได้เห็น นั่นคือความงดงามของสถาปัตยกรรม โบราณสถาน วัดวาอาราม สภาพธรรมชาติ การดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุขของประชาชน และการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่กำลังจะช่วยให้พม่าเจริญทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ  แต่นั่นก็เฉพาะในเขตพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวได้รับอนุญาตให้เดินทางไปถึงเท่านั้น

แม้กระทั่งในเขตที่นักท่องเที่ยวได้รับอนุญาตให้มองเห็น อันที่จริงฉันยังมองเห็นความไม่เท่าเทียมกันระหว่างนักท่องเที่ยวกับประชาชนชาวพม่า และในบรรดาประชาชนชาวพม่าด้วยกันเอง

ฉันผู้ซึ่งเป็นประชาชนจากประเทศอื่นได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในพม่า แต่เพื่อนของฉันอีกหลายคนซึ่งเป็นประชาชนชาวพม่ายังกลับบ้านไม่ได้ พวกเขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินอื่นในฐานะผู้ลี้ภัย ขณะที่ในเมืองไทยมีประชาชนจากประเทศพม่าอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยอีกนับแสนคน และมีแรงงานที่อาศัยและทำงานอย่างถูกและผิดกฎหมายอีกนับจำนวนได้ยาก 

ฉันมีเงินพอซื้อตั๋วเครื่องบินในราคาหลายพันบาทเพื่อไปถ่ายภาพพระพุทธรูปที่ฉันไม่รู้จักแม้กระทั่งประวัติความเป็นมา  แต่ฉันกลับปฏิเสธการซื้อภาพวาดของประชาชนเจ้าของประเทศในราคาเพียงไม่กี่บาท ทั้ง ๆ ที่ฉันพอรู้เบื้องหลังที่มาที่ทำให้ประชาชนประเทศนี้มีชีวิตยากลำบากแบบที่เป็นอยู่

นักท่องเที่ยวหลายคนก็คงเป็นแบบฉัน ไปเที่ยวบ้านของเขา แต่กลับมองไม่เห็นคนที่เป็นเจ้าของบ้านซึ่งพวกเราได้เหยียบย่างเข้าไป

บล็อกของ "ไม่มีชื่อ"

"ไม่มีชื่อ"
ฉันรู้สึกรำคาญคุณพ่อคุณแม่รู้ดีที่ทำเป็นเข้าอกเข้าใจต้นข้าว ก่อนอื่นใดขอให้ทำความเข้าใจชีวิตคนจริง ๆ ก่อนดีไหม   
"ไม่มีชื่อ"
"ไม่มีชื่อ"
ถ้าจะมีคนในสังคมที่ไม่ทำงานทำการอะไร ก็น่าจะเป็นพวกคนร่ำรวย ที่สามารถสะสมทุนและใช้เงินจากดอกผลของมันซึ่งขับเคลื่อนด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของลูกจ้างที่มีทุนน้อยเสียมากกว่า
"ไม่มีชื่อ"
นักศึกษาจบใหม่ มีทางให้เลือกดำเนินชีวิตได้มากสักเท่าไหร่กัน นักเรียนของข้าพเจ้าเรียนจบเกือบหนึ่งปีแต่พวกเขายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าจะนำพาชีวิตตัวเองไปในทิศทางไหนต่อ
"ไม่มีชื่อ"
ในบริบทที่สังคมเต็มไปด้วยรอยปริแตกและการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ผู้คนจำนวนมากระมัดระวังที่ไม่ตกอยู่ฟากข้างใดของความขัดแย้ง “ความเป็นกลาง” ถูกทวงถามในทุกแวดวง ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน นักวิชาการ นักศึกษา นักพัฒนา ราวกับว่าคำนี้มีความหมายชัดเจนและเป็นธรรมชาติในตัวเอง 
"ไม่มีชื่อ"
 
"ไม่มีชื่อ"
 ภาพมวลมหาประชาชนนำธนบัตรมากมายไปยื่นให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ บนถนนกลางกรุงสร้างความตื่นตะลึงปนขุ่นเคืองใจให้แก่คนมีเงินไม่ค่อยพอใช้อย่างข้าพเจ้ายิ่งนัก นี่ยังไม่นับรวมกับเสียงของผู้เข้าร่วมชุมนุมกับม็อบนกหวีดที่ย้ำซ้ำ ๆ ผ่านสื่อต่าง ๆ ว่าพวกเขาเป็นชนชั้นกลางและชนชั้นสูงฐานะดีมีอันจะกิน 
"ไม่มีชื่อ"
เมื่อตื่นเช้ามาพบว่าสังคมไทยกำลังถกเถียงกันเรื่องความเหมาะสมของหลัก “หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง” ในการเลือกตั้ง ข้าพเจ้าหลงคิดไปว่าขณะหลับไปเมื่อคืนโลกได้หมุนย้อนเวลากลับไปกว่า 81 ปี ก่อนที่ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
"ไม่มีชื่อ"
ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับเสียงของ “ชาวบ้าน” หรือไม่ เสียงของพวกเขาก็ควรมีความหมาย มีสิทธิที่จะเปล่งออกมา และควรได้รับความสำคัญเท่า ๆ กับเสียงของชนชั้นกลางด้วยเช่นกัน แต่สังคมยังให้พื้นที่แก่เสียงของคนเหล่านี้น้อยมาก เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่ให้แก่เสียงของชนชั้นกลาง ทั้ง ๆ ที่หลายกรณีเสียงและความต้องการของชนชั้นกลางที่อยู่ห่างออกไปจากพื้นที่ส่งผลต่อปากท้องและการทำมาหากินของพวกเขาโดยตรง     
"ไม่มีชื่อ"
เนื่องจากมันเป็นขบวนการและกระบวนการตอกย้ำความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจในการแสดงออกซึ่งสิทธิเสียงระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นล่างอย่างเห็นได้ชัด โดยผ่านการจัดลำดับชั้นสูงต่ำของ  “จิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อม”
"ไม่มีชื่อ"
การบังคับสวมเครื่องแบบนักเรียน-นักศึกษาด้วยข้ออ้างว่าจะไม่ทำให้เกิดความแตกต่างหรือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำนั้น เอาเข้าจริง ๆ มันก็แค่การกลบเกลื่อนความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่จริง และแสดงถึงการไม่ยอมรับความแตกต่างหลากหลายอย่างตรงไปตรงมามากกว่า