Skip to main content

วันก่อนผมให้สัมภาษณ์กับรายการทีวีรายการหนึ่งซึ่งพาดหัวข่าวอาจจะแรงไปบ้างนะครับ ผมมีความเห็นต่อเรื่องการแต่งตั้งเครือญาติมานั่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ช่วยปฏิบัติงานดังนี้นะครับ

 
1. การแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญและผู้ช่วยผู้ปฏิบัติงานสมัยก่อน มีข้อครหาเยอะมาก เช่น เอาหัวคะแนน มือปืน คนขับรถ เมียน้อยมารับเงินเดือน หลังรัฐธรรมนูญ 2540 จึงมีระเบียบให้แต่งตั้งโดยต้องมีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น ผู้เชี่ยวชาญต้องอายุเไม่ต่ำกว่า 35 ปี จบปริญญาโท และเคยทำงานมาบ้าง ส่วนผู้ช่วยฯ ก็จบปริญญาตรีสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยสมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติได้สะดวก เช่น ติดตามร่างกฎหมาย ทำสรุปกฎหมาย หรือหลักการพิจารณาในวาระต่างๆ ให้สมาชิกรัฐสภา ดังนั้นจะต้องส่งไปอบรมอีกด้วย เพื่อให้เข้าใจบทบาทหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา
 
2. การแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญจากเครือญาติทำได้หรือไม่ คำตอบคือ ทำได้ แต่ไม่เหมาะสม เพราะหลักการของผลประโยชน์ที่ขัดกัน โดยทั่วไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ควรเป็นผู้มีความรู้ความสามรถประจักษ์ชัด การแต่งตั้งคนในวงศาคณาญาติ ย่อมทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในการทำหน้าที่โดยอิสระและตามแบบมืออาชีพที่ไม่เอาประโยชน์ส่วนตัวมาผูกพันกับเงินภาษีประชาชน
 
3. คำถามสุดท้ายง่ายๆ ก็คือ มีผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าญาติ พี่น้องหรือไม่ การเอาลูกที่ยังเรียนไม่จบ หรือบุคคลที่พำนักในต่างประเทศแล้วรับเงินเดือนจากภาษีประชาชนนั้น เหมาะสมหรือไม่ เท่ากับว่าพวกเขาได้ทั้งเงินและเกียรติยศ โดยไม่ต้องผ่านการคัดสรรใดๆ มิพักต้องกล่าวถึงการทดสอบคุณสมบัติในการทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสมาชิกรัฐสภา หากปฏิบัติหน้าที่ครบวาระ ย่อมเป็นเกียรติยศ ด้วยสามารถขอพระราชทานเครื่องราชย์อิสริยภรณ์เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งตามที่ได้กล่าวมานั้น ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งและสุจริตใจว่ามีบุคลากรในกองทัพมากมาย ในกรม กระทรวง ต่างๆ ที่สามารถทำหน้าที่อย่างมืออาชีพและมีประสิทธิภาพมากกว่าแน่ๆ
 
คำถามคือทำไมยังกล้าแต่งตั้งวงศาคณาญาติ โดยที่เคยวิพากษ์นักการเมืองอย่างรุนแรงว่าเป็นสภาผัวเมีย ล้มรัฐบาล ฉีกรัฐธรรมนูญ วิพากษ์นักการเมืองเรื่องนอมินี ผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ นาๆ ถึงคราวที่ตัวเองได้มืออำนาจในมือ กลับทำให้มาตรฐานต่ำลง
 
กรณีแบบเดียวกันนี้อาจเทียบเคียงกับรัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ ที่กระทรวงต่างประเทศรับเอาลูกสาวของเขาเข้าทำงานโดยยอม "ละเว้น" กฎบางอย่าง ทำให้ได้ตำแหน่งในกระทรวง พฤติการณ์ก็คือลูกสาวของเขาสมัครงานในตำแหน่งเกี่ยวกับการเจรจาการค้าเสรี มีผู้สมัครแปดคน รวมทั้งเธอ แต่ทุกคนถูกปฏิเสธ เธอมาสมัครทีหลังอีกรอบ โดยมีประกาศนียบัตรภาษาต่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศรับเธอเข้าทำงานทันที เมื่อข่าวถึงสาธารณชน ส่งผลให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนต้องเสนอว่าจะลาออก และในที่สุดเขาก็ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบ (http://www.nytimes.com/2010/09/05/world/asia/05korea.html?_r=0)
 
เรื่องแบบนี้ต้องเขียนในรัฐธรรมนูญหรือไม่?
 เขียนไม่เขียน คงไม่สำคัญ เพราะมันควรจะเป็นจารีตรัฐธรรมนูญที่สังคมกดดันด้วยพลังทางจริยธรรม
หรือจะเขียนออกมา ก็ไม่สำคัญ เพราะก็คงถูกฉีกในไม่ช้า
 
เอาเข้าจริงๆ ตัวอักษรที่เรียกว่ากฎหมาย ต่างมีช่องว่างตาข่ายเล็กๆ ให้ผู้มีอำนาจได้ตีความตามอำเภอใจเสมอ เราจึงได้เห็นแต่แม่ปู เดินขาเกให้เห็นเป็นตัวอย่าง แล้วมีแต่ "ผู้ใหญ่" มาปกป้อง "ลูกแหง่" ที่อาศัยใบบุญ ข้ามหัวคนแบบนี้เรื่อยไป
 
ไม่ผิดกฎหมาย แต่สามัญสำนึกเล่า?
 
 
 
 

บล็อกของ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ

บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
 ผมไม่คิดว่าจะได้ดูละคร "คือผู้อภิวัฒน์" เพราะผมเข้าเรียนธรรมศาสตร์ ปี 2531 ขณะที่ "คือผู้อภิวัฒน์" แสดงเป็นครั้งแรกในปี 2530 แต่ผมเข้าเรียนธรรมศาสตร์ ปี พ.ศ. 2531
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ประการที่สอง เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องกระบวนการทางการเมืองควรได้พิจารณาจากบทเรียนความรุนแรงทางการเมืองและความพยายามแสวงหาทางออก ซึ่งมีบทเรียนสำคัญจากสองกรณี ได้แก่
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ในสถานการณ์ที่เยาวชนลุกขึ้นเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดคุกคามประชาชน ยุบสภาและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ในหลายแห่งและขยายตัวไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศนั้น หลายคนมองว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ บ้างก็หมิ่นแคลนว่าไม่เคยช่วยพ่อแม่ล้างจานจะมาแก้ปัญหาประเทศได้อย่างไร หรือหางานและจ่ายภาษีได้แล้วค
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
คนสามรุ่น
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
 
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
หากมองคลื่นความขัดแย้งทางการเมืองไทยใน
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เรื่องเล่าวันนี้
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ถึงแม้ว่าจะมีเหล้า ยาเสพติดมาเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุที่มีคนเจ็บตายกันทุกๆ ปี ช่วงปีใหม่ สงกรานต์และเทศกาลสำคัญ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
 คำเตือน: เปิดเผยเนื้อหาบางตอน และอยากชวนไปดูหนังเรื่องนี้กันเยอะๆ ครับ บอกตรงๆ ว่าสะเทือนใจมากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ เพราะมันมีเรื่องราวหลายอย่างที่ทับซ้อนอยู่ในเรื่อง เป็นธรรมดาที่เราอาจจะคิดไปเองว่าบทสนทนาในเรื่องคล้ายคลึงกับเรื่องของเราเอง