Skip to main content

เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจะเดินไปบ้านอาจารย์แคทเธอรีน บาววีเพื่อยืมรถอาจารย์ไปเที่ยว อาจารย์ยุกติพาผมลัดผ่านสนามสาธารณะที่มีศาลาเอนกประสงค์อยู่ตรงกลาง ผมขอแวะดูเห็นบนผนังข้างหนึ่งมีระเบียบการใช้งาน บนเคานเตอร์มีสมุดลงทะเบียนใช้งานสำหรับชุมชน คงมีใครสักคนถือกุญแจห้องเก็บของ แต่โดยรวมการใช้งานของสาธารณะช่างเรียบง่ายจริงๆ ไม่มีใครทิ้งขยะเลอะเทอะ หรือซากสิ่งของให้รกตา

 

เมื่อถึงบ้านอาจารย์แคท ปรากฏว่าอาจารย์คิดว่าเราจะมากินอาหารเช้าด้วย แต่เราไม่อยากรบกวน เพราะที่ขอยืมรถก็เกรงใจแล้ว แต่ยังไงก็ตามอาจารย์ต้องใช้รถตอนเย็นเพื่อไปดูบาสเก็ตบอลของทีมแบดเจอร์กับเพื่อนรัก เราต้องเอารถมาคืนสักหกโมง ซึ่งดูแล้วพวกเราทำเวลาได้สบายมาก

 

โปรแกรมเที่ยววันนี้คือ อาจารย์ยุกติจะขับรถไปรับเพื่อนอีกสองท่านคือ อาจารย์บุญเลิศ วิเศษปรีชา กับ น้องจูน นักสเก็ตบอร์ตขาโจ๋ประจำวิสคอนซิน (จูนเป็นคนมารับเราเมื่อวันก่อนพร้อมอาหารเย็นแสนอร่อย) เราจะไปเยี่ยมชมทาลีเอซิน (Taliesin) สตูดิโอและที่ฝึกงานของนักศึกษาของพญาอินทรีแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ (Frank Loyd Wright) ที่อยู่นอกเมืองออกไป แล้วจะไปซนต่อที่ร้านขายของมือสอง (thrift shop) ที่มักจะได้ของดีราคาถูกมาใช้ จากนั้นก็จะไปซื้อผักเนื้อมาทำอาหารเย็นกินกันที่อพาร์ตเมนท์ของอาจารย์ยุกติ 

 

เมื่อได้รถแล้ว เราขับมารับเพื่อนทั้งสองออกไปนอกเมือง ระหว่างทางมีสิงห์มอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์ เดวิดสันขับไปมาหลายคัน ผมนึกขึ้นได้ว่าเมืองมิลวอล์คกี รัฐวิสคอนซินคือเมืองศูนย์กลางของฮาร์ลีย์เดวิดสันนี่เอง ผมจึงเสียดายมากๆ ที่ไม่มีเวลาไปเยี่ยมชม 

 

วันนี้ฟ้าโปร่ง มีเมฆก้อนโตๆ แบบในการ์ตูนให้เห็น นับว่าเป็นวันที่เหมาะกับการออกมาขับรถ (อาจารย์) เล่น โดยแท้

 

เราแวะร้านอาหารท้องถิ่นข้างทาง บ้างกินขนมกับกาแฟ บ้างกินไอติม รองท้องก่อนจะขับรถไปต่อที่บ้านของสถาปนิกชื่อดัง

 

เรื่องน่าเสียดายอีกเรื่องก็คือทัวร์ชมสตูดิโอ (ราคาสี่สิบเหรียญต่อคน) ยังไม่เปิดบริการ เพราะยังถือว่าอยู่ในช่วงฤดูหนาว จึงเปิดเฉพาะทัวร์บ้านทะลีเอซินซึ่งแพงกว่ามาก (ประมาณร้อยเหรียญ) หลังจากเดินดูของที่ระลึกและเสียสตางค์เล็กน้อย เราเลยยกเลิกแผนการ หันมาใช้วิธีขับรถชมจากถนนรอบนอกทะลีเอซินแทน ซึ่งก็ได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง เราแอ็คท่าถ่ายรูปกันโดยมีภูเขาย่อมๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของทะลีเอซินเป็นฉากหลัง จากนั้นก็ขับรถออกมา ขณะที่ข้ามแม่น้ำวิสคอนซินเราก็ตกลงกันว่าควรจะแวะถ่ายรูปกันที่จุดพักข้างทาง เมื่อลงไปจุดพักชมวิวมีสองสามครอบครัวกำลังปิคนิคอยู่ริมน้ำ ลำน้ำใสสะอาดและไหลเร็ว ความเย็นยะเยือกยังคงเหลือ แม้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ตาม ขณะที่พวกเราพยายามถ่ายรูปหมู่กันเอง สมาชิกของครอบครัวที่มาปิคนิคก็เสนอตัวว่าจะช่วยถ่ายภาพหมู่ให้เรา น้ำใจเล็กน้อยแบบนี้ชวนให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า มิตรภาพเล็กๆ น้อยๆ ก็พอเพียงจะหล่อเลี้ยงโลกให้อยู่ด้วยความรักความอาทร 

 

เราตัดสินใจไปหามื้อเที่ยงกินที่ร้านในเมืองเล็กๆ ระหว่างทาง เป็นเมืองที่ร้างไปแล้ว ด้วยสภาพของกิจการและขนาดของเมืองขนาดย่อมเราเดินไปบนถนนเงียบเหงา แม้ในตัวเมืองก็มีโบสถ์ที่ร้างแล้ว อีกฝั่งหนึ่งมีธนาคารเก่าที่ถูกเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร มีร้านของชำ ร้านค้าเล็กๆ อยู่ประปราย แสดงให้เห็นถึงความพยายามรื้อฟื้นเมืองขึ้นมาโดยผ่านการท่องเที่ยวอยู่

 

ในร้านอาหารประจำถิ่นที่เราเลือกเข้าไป เป็นร้านอาหารและบาร์ แม้เป็นกลางวันแต่ฝั่งร้านอาหารมืดทึม เราสั่งอาหารง่ายๆ ประเภทไส้กรอกทอด ขนมปังก็ปลดความหิวไปได้ง่ายๆ และมีรสชาติเหมือนกัน

 

เมื่อกลับเข้าเมือง เราแวะร้านของมือสองที่ผู้คนเอาของที่ไม่ใช้แล้วมาบริจาคให้กับร้าน เพื่อที่ร้านจะคัดของออกมาวางขาย และนำเงินที่ได้ไปใช้เพื่อการกุศล ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือความช่วยเหลือในรูปอื่นๆ สำหรับคนไร้บ้านหรือคนจน ในร้านของมือสองของทุกๆ เมืองจึงมีของดีๆ ที่ได้จากการบริจาค บางครั้งก็เป็นของที่เหลือใช้จากครอบครัวต่างๆ 

 

ณ ที่นี้ ของบางอย่างที่ไร้ค่าของคนๆ หนึ่งจะกลายเป็นของมีค่าของเจ้าของคนใหม่ 

 

ผมเลือกได้เครื่องเล่นซีดีวอล์คแมนในราคาเพียงหนึ่งเหรียญหกสิบห้าเซ็นต์เท่านั้นเอง กับแจ็คเก็ตแบบเบลเซอร์ที่ใส่คลุมในวันสบายๆ แต่ผมยังต้องเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่ชิคาโก, แช็ตทานูกา (รัฐเทนเนสซี), อัลบานี, อิทากะ และนิวยอร์ค (นิวยอร์ค) จึงไม่ได้หอบหิ้วอะไรนักมากนัก

 

หลังจากนั้นก็ไปซื้อวัตถุดิบปรุงอาหารสำหรับมื้อค่ำ เรายังพอมีเวลาไปซื้อไส้กรอกจากร้านท้องถิ่นที่อาจารย์ยุกติการันตีว่าอร่อยมากๆ อาจารย์บุญเลิศเตรียมสำแดงฝีมือทำลาบเนื้ออีสาน จูนช่วยปรุงหอยอบ ส่วนผมเป็น “แขกดอย” 

 

ค่ำคืนนี้เรามีไส้กรอกและเบียร์ประจำถิ่นและเมนูดังว่าแกล้มกับบทสนทนาเรื่องบ้านเมืองของเรา อาจารย์บุญเลิศเล่าเรื่องวิทยานิพนธ์ที่ลงไปคลุกคลีเป็นคนไร้บ้านในฟิลิปปินส์ กับการแก้ปัญหาความอยากอาหารไทยระหว่างใช้ชีวิตข้างถนน การปรุงต้มยำกุ้งสูตรคนไร้บ้าน ส่วนจูนก็แลกเปลี่ยนเรื่องคนไร้บ้านแถวบ้านกับฟิลด์เวิร์คของเธอในประเทศเพื่อนบ้าน

 

อาหารและบทสนทนามีรสชาติเสียจนเวลาล่วงผ่านไปจนถึงเวลารถเที่ยวสุดท้าย จึงได้เวลาร่ำลาในค่ำคืนนี้

จูนแจ้งข่าวมาว่าต้องฝ่าดงแฟนทีมแบดเจอร์เสื้อแดงที่ได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ คนออกมาฉลองกันทั้งแถบ ขณะที่พวกเราไม่ได้ดูทีวีจึงพยายามนึกถึงชาวเมืองค่อนเมืองใส่เสื้อสีแดงออกมาเฉลิมฉลองให้ทีมมหาวิทยาลัยที่ไปถึงฝั่งฝัน

……

  วันรุ่งขึ้น เรานั่งทำงานสบายๆ กินอาหารที่เหลือจากเมื่อคืน แล้วนั่งรถเมล์ไปที่ท่ารถหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อเดินทางเข้าชิคาโกที่ผมนัดหมายกับเพื่อนรักที่ไม่พบกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว

 

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ คนจึงเข้าเมืองกันคับคั่ง อาจารย์บุญเลิศต้องเร่งมือเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อจะสอบในเร็ววันจึงไม่ได้มาส่ง เมื่อได้เวลารถออกจึงโบกมือร่ำลากัน จนกว่าจะพบกันที่เมืองไทยอีกครั้ง ถึงวันนั้นอาจารย์บุญเลิศคงสอบตัวเล่มวิทยานิพนธ์เป็นด็อกเตอร์ทางมานุษยวิทยาที่สำเร็จการศึกษาในเวลาอันรวดเร็วด้วยงานที่มีคุณภาพ ส่วนจูนก็คงจะเตรียมตัวลงเก็บข้อมูลจากประเทศเพื่อนบ้านในไม่ช้า

 

ที่เล่ามานี้ คงพอทำให้ผู้อ่านได้เห็นภาพว่าในชีวิตนักวิชาการหรือคนที่เรียนในระดับปริญญาเอกว่าไม่ได้มีด้านของการคร่ำเคร่งกับตำราเพียงด้านเดียว แต่เราก็เป็นมนุษย์ที่มีความอ่อนแอ เข้มแข็ง ไม่ต่างจากคนทั่วไป เพียงแต่เรามักจะเห็นด้านเดียว หรือเลือกให้คนเห็นด้านเดียว 

 

เพราะหลังจากปาร์ตี้สนุกสนานก็คือห้วงยามแห่งความเปล่าเปลี่ยวที่อยู่กับคำถามที่เราตั้งขึ้น และพยายามตอบมันด้วยหลักวิชา ตลอดจนข้อมูลที่ต้องค้นหาอีกมากมาย

 

การเดินทางของนักวิชาการโดยเฉพาะด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์จึงเป็นด้านที่ดิ่งลึกลงภายในใจมากกว่าจะจับต้องได้เป็นรูปธรรมแบบทางวิทยาศาสตร์

 

หลายคนไปถึงจุดหมาย แต่หลายคนต้องพบอุปสรรคทั้งภายนอกและภายในจนไม่อาจไปถึงปลายทาง ซึ่งอาจถูกก่นประณาม แม้โดยแท้จริงแล้วประสบการณ์การเป็นนักศึกษาปริญญาเอกเป็นประสบการณ์ที่ยากอธิบายให้คนนอกเข้าใจได้ 

 

สำหรับผม การไปไม่ถึงปลายทางก็เป็นการเดินทางไปถึงจุดหนึ่งของชีวิตเหมือนกัน เมื่อผ่านพ้นจุดนั้นมาแล้ว ผมจึงมองเพื่อนพ้องอย่างเข้าใจว่าการเดินทางทางวิชาการนั้น มิอาจวัดด้วยกระดาษแผ่นเดียว แต่เราต้องพิสูจน์ตัวเองในตัวอักษรที่เขียนจารึกลงในตัวเล่ม บ้างเขียนด้วยหยาดน้ำตาทั้งของตัวเองและของคนอื่นๆ บ้างเขียนด้วยอาการที่ไม่มีวันที่ใครจะเข้าใจห้วงดิ่งลึกในยามนั้น

 

เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากถนนหลักหน้ามหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ผมเห็นอาจารย์ยุกติและจูนเดินไปตามทางกลับบ้านของแต่ละคนอยู่ลิบๆ ผมมองไปรอบๆ ตัวแล้วหยิบหูฟังมาสวมแล้วเปิดเพลงเบาๆ พลางมองทิวทัศน์ยามค่ำ 

อย่างที่บอกไปว่า การเดินทางของชีวิตมักมีฉากละครที่คาดไม่ถึง หญิงสาวผิวสีที่นั่งข้างหลังผมถูกไล่ลงจากรถ พร้อมกับเพื่อนชายผิวสีของเธอ เพราะทั้งสองคนนั่งเลยป้ายที่ควรจะลง แถมหญิงสาวที่ว่ายังมีลูกอ่อนเสียด้วย รถบัสคันของเราเสียเวลาไปพักใหญ่ กว่าการเจรจาจบสิ้นลง 

 

เรื่องจบลงที่เธอยอมลงจากรถไป ขณะที่เพื่อนชายเธอทำท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่กฎก็คือกฎ และไม่มีใครละเมิดได้ นักศึกษาผิวสีหนุ่มข้างๆ ผมลุกขึ้นมาหิ้วตะกร้าใส่เด็กลงไปข้างล่าง คนขับทิ้งคู่สามีภรรยาและทารกไว้ที่ท่ารถ ขณะที่รถบัสแล่นต่อไปยังสถานีอื่นโดยมีเป้าหมายที่สถานีกลางเมืองชิคาโก

บล็อกของ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ

บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
รถบัสนำผมมาถึงเมืองชิคาโกในเวลาสองทุ่มครึ่ง รถจอดที่สถานีปลายทาง Union Station แม้จะเคยมาเมืองนี้ แต่คราวนี้มาคนเดียว และนัดเพื่อนที่ไม่เจอกันเกือ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจะเดินไปบ้านอาจารย์แคทเธอรีน บาววีเพื่อยืมรถอาจารย์ไปเที่ยว อา
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
แม้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศที่นี่ยังคงเย็นอยู่บ้าง ในคืนที่ผ่านมาอากาศเย็นสบาย เมื่อเราซื้อของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ ที่พัก เราเดินกลับบ้านได้สบายๆ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
อย่างที่เคยเล่ามาในตอนก่อนๆ ว่า หนึ่งในความสุขเล็กๆ ของพวกเราคือการได้ไปกินติ่มซำวันเสาร์ (อาจจะมีคนเติมว่าไม่เอาเผด็
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนรุ่นก่อนช่างกล้าหาญนัก กล้าเดินทางเข้ามาในดินแดนที่ไม่รู้จัก เพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าการเดินทางของมนุษย์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ชีวิตยิ่งมหัศจรรย์กว่า ในความผันแปรเปลี่ยนของมนุษย์
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมเขียนบทความชุดนี้มาหลายเดือน มาถึงตอนนี้ นับว่าเป็นชุดบทความที่ยาวไม่น้อย 
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เมื่อปี พ.ศ.2532 เดือนมิถุนายน ยังไม่รู้ประสีประสาทางการเมือง ในขณะที่เพื่อนๆ พี่ๆ พากันขึ้นคัทเอาท์สนับสนุนประชาธิปไตยในจีน และมีกิจกรรมต่อเนื่องหลังจากที่นักศึกษา ประชาชนถูกล้อมปราบที่ลานหน้าพระราชวังต้องห้าม
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
     มหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งที่ผมได้มีโอกาสผ่านไปมักมีเรื่องราวให้จดจำ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของภูมิทัศน์ เอ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
Today is the 5th year to commemorate the day that Abhisit Vejjajiva started cracking down the United front for Democracy against Dictatorship (UDD) camp site on Rajadamri. It started with the killing of Seh. Daeng or Gen. Kattiya Sawasdiphol.