Skip to main content

 

วันเวลาบางช่วงผ่านไปรวดเร็วจนน่าใจหาย แย่ที่สุดก็คือมันเป็นเวลาแห่งความสุข แต่ในห้วงทุกข์นั้น แม้เสี้ยววินาทีเดียวก็ยาวนานนับกัปกัลย์ 

อย่างที่เขียนไปในตอนก่อนว่า ความทุกข์นั้นชวนให้สิ่งต่างๆ หม่นหมองไปได้อย่างง่ายดาย แม้พระอาทิตย์ตกก็ยังสะเทือนความรู้สึกได้ในยามอ่อนแอ

นับถึงวันนี้ (5 พฤศจิกายน 2558) ผมเขียนบล็อกให้ประชาไท บนคอลัมน์ยืนบนเงาครบสามปีบริบูรณ์แล้ว และไม่ได้นานมากเมื่อเทียบกับห้วงเวลาอื่นๆ ที่ไล่เรียงกัน เช่น สอนหนังสือประจำ (รอบสอง) มาครบ 9 ปี (7 กันยายน 2549) แต่ถ้าจะย้อนกลับไปอาชีพนี้ครั้งแรกก็ต้องนับว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ถึงปีนี้ก็กว่า 23 ปี

ผมให้สัมภาษณ์อาจารย์ไทเรล ฮาร์เบอร์กอร์นว่า ที่ผมมาเขียนบล็อกประชาไทเพราะช่วงนั้นอ่านข่าวพบว่าการ์ตูนเรื่องซุปเปอร์แมนที่มีตัวเอกคือคลาร์ก เคนท์ กำลังคิดลาออกจากงานหนังสือพิมพ์ที่เป็นงานประจำมาเป็นนักเขียนบล็อกแทน เพราะในที่สุดอาชีพนักข่าวก็อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีและสภาพสังคม จึงได้ฉุกคิดว่ามีบางอย่างที่ทำได้นอกเหนือจากพื้นที่งานประจำแบบทางการ

ในช่วงนั้น ชีวิตส่วนตัวผมเองก็ไม่ราบรื่นเหมือนปุถุชนคนอื่นๆ ที่มีเรื่องทุกข์และสุขผ่านเข้ามา ทั้งยังเป็นห้วงเวลาที่การเมืองไทยกำลังเสื่อมทราม (deforming) ลงจนถึงในปัจจุบัน ความปรารถนาที่เหลืออยู่คือการได้คิดได้เขียนโดยไม่มีกรอบจำกัด การเขียนบล็อกจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาพื้นที่ทางความคิดเอาไว้โดยไม่ถูกกำหนดด้วยกรอบทางวิชาการและหัวโขนทางสังคมอื่นๆ

จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ได้เห็นอะไรมากมาย และค่อยๆ บอกเล่ามาโดยลำดับ ท่านผู้อ่านคงได้ติดตามข้อเขียนของผมทั้งในนิตยสารวิภาษาและบนคอลัมน์นี้คงจะได้รับรู้ทั้งมุมมองของผมที่มีต่อการเมืองไทย สังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนสิ่งที่ผมได้พบเห็นไม่มากก็น้อย

ในช่วงที่ถกเถียงกันถึงอนาคตบ้านเมืองกับเพื่อนๆ ผมเคยบอกเพื่อนคนหนึ่งว่าเขียนบล็อกลงประชาไทและส่งข้อความให้เธออ่าน เพื่อนถึงกับบอกว่าเพจประชาไทถูกอ้างถึงเสมอในฐานะการเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบัน ผมเองถึงกับสงสัยว่าพวกเขาได้อ่านเรื่องราวบนประชาไทกี่มากน้อย หรือเพียงเชื่อคำเล่าอ้างตามๆ กัน อย่างไรก็ดี นับแต่นั้นบทสนทนาแลกเปลี่ยนของเราก็ลดน้อยลง

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมยังเชื่อในการรักษาพื้นที่ทางความคิดเอาไว้เพื่อการขบคิดเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมาย เพราะการสำรวจ ตั้งคำถาม ถกเถียงในพื้นที่ปกติแทบจะทำไม่ได้ในบางแห่ง บางที่ที่เป็นพื้นที่ทางการ และบางคราวก็ไม่สามารถที่จะตกผลึกความคิดได้มากนัก พื้นที่อย่างนี้จึงสำคัญไม่น้อยในยามที่สังคมสร้างและกดดันในท่ามกลางความเงียบ ถึงวันนี้อาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยเข้าสู่ยุคเงียบแทบจะโดยเด็ดขาดแล้ว

สิ่งที่ลบเลือนหายไป ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดำรงอยู่ 

ในทางตรงกันข้ามสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงแท้

ดังที่เหลาจื่อกล่าวถึงความฝันว่าฝันเป็นผีเสื้อโบยบินอย่างเสรี แต่เมื่อตื่นก็พบว่าตัวเองเกิดคำถาม 

คำถามง่ายมากคือ ยามตื่นหรือฝัน เราแยกมันได้อย่างไรว่าอะไรคือฝัน อย่างไรคือตื่น 

หรือพวกเราล้วนอยู่ในห้วงมายา 

เพราะสรรพสิ่งล้วนแปรผันเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ

 

เมื่อตอนที่ผ่านมา ผมอ้างถึงนิยายเรื่องจอมโจรจอมใจและบทเพลงของละครเรื่องนั้น อันมีความตอนหนึ่งว่า

ผ่านมาชั่วพริบตาแล้วพรากจาก

จะฝ่าวายุร้ายดังผู้กล้า

เมื่อละวางแล้ว ซึ่งลาภยศ สรรเสริญ

ก็นับว่าสิ้นภัยจากคมกระบี่

 

เที่ยวละล่องเพียงลำพังในขุนเขา

เมื่อเดียวดายแล้ว จึ่งไร้ซึ่งอาลัย

เมื่อละวางแล้ว ซึ่งลาภยศ สรรเสริญ

ก็นับว่าสิ้นภัยจากคมกระบี่

 

ถึงจะละวางอดีตและลี้ภัยจากคมกระบี่ ก็ยากจะถอนตัวจากบุญคุณความรัก ความแค้น

ดังในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรของกิมย้ง หรือจินย้ง ที่เริ่มต้นจากความคิดที่ว่าเทพมารไม่อาจอยู่ร่วมกัน แม้ผู้ใดคิดจะล้างมือในอ่างทองคำเพื่อเร้นกาย ขอแสวงความสุขจากดีดพิณบรรเลงขลุ่ย แต่ก็ต้องพบโศกนาฏกรรมของผู้คนที่ฝักใฝ่ในความดีจนเหลือล้น

เมื่อผมมาอยู่ที่ี่นี่ ก็มีเรื่องมากมายให้ขบคิด ทั้งเรื่องศาสนา ปรัชญาและความจริง และเรื่องอื่นๆ 

ส่วนหนึ่งก็เพราะทิศทางของพุทธศาสนาแบบมหายานนั้นเปิดช่องให้แสวงหาความหลุดพ้นจากโลกมากมาย หรือกระทั่งยอมรับการหลุดพ้นแบบไม่หลุดพ้นจากโลกเช่นการบำเพ็ญเพียรแบบพระโพธิสัตว์ก็มีไม่น้อย

แต่หากพูดถึงการถอนตัวในยุทธภพ มักจะชวนให้ผมภาพยนต์ที่โด่งดังของอั๊งลี เรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon หรือเสือหมอบ มังกรซุ่ม ที่จับใจผมอยู่ไม่น้อยเพราะตัวเอกคือ หลี่มู่ไป๋พยายามถอนตัวและเร้นกายกับคนรัก แต่ถูกถึงเข้าสู่วังวนของอำนาจและการช่วงชิงผลประโยชน์ที่แสนเย้ายวน และต้องเสียชีวิตเพราะแรงปรารถนาของสาวน้อย

ผมจึงฉุกคิดต่อว่า แม้จะละทิ้งลาภยศสรรเสริญ ก็อย่าได้หมายว่าจะสิ้นภัยจากคมกระบี่

ยอดฝีมืออย่างหลี่มู่ไป๋ต้องสิ้นชีพเพราะความปรารถนาดีแท้ๆ และแม้จะมีทักษะสูงส่ง ก็พ่ายแพ้ต่อ มโนธรรมในใจ และทำให้เขาเดินห่างจากแรงปรารถนาที่จะแสวงหาชีวิตบั้นปลายที่เรียบง่ายกับคนรัก ในทางตรงกันข้าม ก็คงยากที่จะมีคนรักที่เข้าใจหลี่มู่ไป๋

ในยุคนี้ เรื่องราวของซากาโมโต เรียวมะ ก็เป็นบุคคลที่น่าสนใจถึงทิศทางและวิธีคิดของเขาที่นำไปสู่การปฏิรูปเมจิ โดยเฉพาะหลักการการถวายคืนพระราชอำนาจแก่จักรพรรดิเมจิ ซึ่งเป็นคนละบริบทจากปัจจุบันแน่ๆ แต่ในยามนั้นสิ่งที่เรียวมะเสนอเป็นเรื่องที่ท้าทายสังคมมากๆ กระทั่งเขาถูกลอบสังหารในที่สุด กระนั้น ก็มีคนสงสัยว่าเรียวมะมีความสามารถในการต่อสู้ระดับใด เพิ่งมีการค้นพบเอกสารสำคัญที่รับรองว่าเรียวมะมีความสามารถในระดับครูฝึกสอนวิชาดาบ แม้ว่าเขาจะใช้ปืนคู่กับดาบ แต่วาระสุดท้ายของเรียวมะก็ถูกรุมสังหารอย่างน่าอนาถใจ เพราะเขาเองก็พร่ำว่าบรรดามือสังหารกลุ้มรุมเข้ามา ทำให้เขาไม่สามารถตั้งรับได้

เรียวมะเสียชีวิตเมื่ออายุราว 31 ปีเท่านั้น หากเขาได้มีชีวิตยืนยาวอีกสักหน่อย เขาคงจะดีใจ* 

 

เรื่องราวในโลกนี้มักเล่นตลกกับชีวิตและชะตากรรมเสมอ

......

ฤดูใบไม้ร่วงที่มีสีสันมากมายชวนให้ผมนึกถึงเรื่องราวมากมาย เช่น ความรัก ความเศร้า และการเปลี่ยนผ่านของสรรพสิ่ง เมื่อเวลาผ่านไปเรายอมรับมันได้มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราลืมมันเสียสิ้น เพราะมันตกค้างอยู่ในบางหลืบของความทรงจำ ไม่ได้ลางเลือนไปไหน

เพียงบางคนโชคร้าย ที่ความทรงจำดีเกินไป 

บรรยากาศของการเปลี่ยนข้ามฤดูกาลชวนให้ผมคิดถึงภาพยนต์เรื่อง Cinema Paradiso มีเพลงที่ผมชอบมากๆ แต่ไม่รู้ความหมาย ซึ่งไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร แต่มีฉากประทับใจมากมาย จนวันนี้พอจะมีเวลาเพ้อเจ้อได้ เลยไปหาจนเจอ และอดไม่ได้ต้องไปหาคำแปลเนื้อร้องมาดังนี้ครับ **

 

หากเพียงคุณอยู่ในดวงตาของผมเพียงวันเดียว

คุณจะได้เห็นความงามที่เปี่ยมสุข

ดังผมพบในดวงตาของคุณ

และผมละเลยมันเพียงเพราะสับสน

ว่านั่นคือมนตราหรือความภักดี

 

หากเพียงคุณนั่งอยู่ในหัวใจของผมเพียงวันเดียว

คุณอาจฉุกคิด

ว่าผมคิดเช่นไร

เมื่อคุณโอบกอดผม

และสองดวงใจแนบแน่น

 

หากคุณอยู่ในวิญญาณผมเพียงวันเดียว

คุณจะรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร

เหนือสิ่งอื่นใดคือการได้อยู่ร่วมกัน

เพียงเพราะความรู้สึกเดียวที่มี 

นั่นคือรัก

 

หนังเรื่อง Cinema Paradiso กล่าวถึงชีวิตของคนสองสองผ่านโรงหนังประจำเกาะเล็กๆ โตโต้เด็กน้อยสามารถผูกมิตรกับอัลเฟรโด้ช่างฉายหนังประจำเกาะได้ โตโต้เลยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชายชรา

เมื่อเกิดความผันผวนของโรงหนัง โตโต้เดินทางเข้าเมือง แต่ชายชรากระซิบบอกโตโต้ว่า “จงไป และอย่ากลับมา” แม้โตโต้จะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่ชายชราพูดนัก จนถึงวันที่วันเวลาเปลี่ยนเด็กน้อยให้เป็นหนุ่มใหญ่ โตโต้กลับมางานศพของอัลเฟรโด 

เพื่อนต่างวัยและได้รู้ความหมายของบางสิ่งบางอย่าง มรดกสำคัญที่อัลเฟรโดทิ้งไว้ให้โตโต้ ก็คือฟิล์มหนังจากฉากที่ถูกเซ็นเซอร์โดยหลวงพ่อผู้เคร่งศีลธรรมที่มาเซ็นเซอร์หนัง เป็นสิ่งที่โตโต้เพียรขออัลเฟรโดมาจนกระทั่งลาห่างจากกัน และได้รับในยามที่ลาจากกัน

บางทีผมอดคิดไม่ได้เช่นกัน ว่าของบางสิ่งบางอย่างมันแทนใจ แทนความยากลำบาก เป็นของกำนัลจากใจบริสุทธิ์จะทำให้หัวใจใครฉ่ำชื่นได้หรือไม่ เพราะไม่จำเป็นต้องปริปากถึงความยากลำบากในการค้นหาของให้คนที่เรารัก แม้จะเป็นรักข้างเดียวก็ตาม

โตโต้ในวัยหนุ่มใหญ่นั่งมองมรดกของอัลเฟรโด พร้อมๆ กับความทรงจำที่ผุดขึ้นมาดังน้ำพุที่ไม่มีวันเหือดแห้ง

 

ในเงาแสง น้ำตาของหนุ่มใหญ่โตโต้คลอออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

 

* ผมเพิ่งเขียนเรื่องการไป 'พบ' เรียวมะที่เกียวตลงในบทนำวิภาษาฉบับที่ 66; เรื่องสถานภาพของความสามารถในทางดาบของเขาอยู่ที่ลิงค์ข่าวนี้ http://ajw.asahi.com/article/behind_news/social_affairs/AJ201511080028)

** (เพลงชื่อ If you were in my eyes for one day คำแปลจาก http://lyricstranslate.com/…/cinema-paradiso-se-cinema-para… ผมชอบ version ที่ขับร้องโดยน้อง Jackie Evancho ตามลิงค์นี้ครับ https://www.youtube.com/watch?v=f-qn69SVXJk&list=RDf-qn69SVXJk ฉบับที่ผมชอบอีกอันคือฉบับที่ร้องคู่กับเชลโลสองตัว https://www.youtube.com/watch?v=JjzLqkxh4qg)

บล็อกของ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ

บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
รถบัสนำผมมาถึงเมืองชิคาโกในเวลาสองทุ่มครึ่ง รถจอดที่สถานีปลายทาง Union Station แม้จะเคยมาเมืองนี้ แต่คราวนี้มาคนเดียว และนัดเพื่อนที่ไม่เจอกันเกือ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจะเดินไปบ้านอาจารย์แคทเธอรีน บาววีเพื่อยืมรถอาจารย์ไปเที่ยว อา
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
แม้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศที่นี่ยังคงเย็นอยู่บ้าง ในคืนที่ผ่านมาอากาศเย็นสบาย เมื่อเราซื้อของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ ที่พัก เราเดินกลับบ้านได้สบายๆ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
อย่างที่เคยเล่ามาในตอนก่อนๆ ว่า หนึ่งในความสุขเล็กๆ ของพวกเราคือการได้ไปกินติ่มซำวันเสาร์ (อาจจะมีคนเติมว่าไม่เอาเผด็
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนรุ่นก่อนช่างกล้าหาญนัก กล้าเดินทางเข้ามาในดินแดนที่ไม่รู้จัก เพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าการเดินทางของมนุษย์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ชีวิตยิ่งมหัศจรรย์กว่า ในความผันแปรเปลี่ยนของมนุษย์
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมเขียนบทความชุดนี้มาหลายเดือน มาถึงตอนนี้ นับว่าเป็นชุดบทความที่ยาวไม่น้อย 
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เมื่อปี พ.ศ.2532 เดือนมิถุนายน ยังไม่รู้ประสีประสาทางการเมือง ในขณะที่เพื่อนๆ พี่ๆ พากันขึ้นคัทเอาท์สนับสนุนประชาธิปไตยในจีน และมีกิจกรรมต่อเนื่องหลังจากที่นักศึกษา ประชาชนถูกล้อมปราบที่ลานหน้าพระราชวังต้องห้าม
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
     มหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งที่ผมได้มีโอกาสผ่านไปมักมีเรื่องราวให้จดจำ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของภูมิทัศน์ เอ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
Today is the 5th year to commemorate the day that Abhisit Vejjajiva started cracking down the United front for Democracy against Dictatorship (UDD) camp site on Rajadamri. It started with the killing of Seh. Daeng or Gen. Kattiya Sawasdiphol.