Skip to main content

ในวันที่ 2 มีนาคม 1757 (2300) เดเมียนส์ผู้ปลงพระชนม์ถูกตัดสินว่าให้ "กระทำการสารภาพผิด (amende honorable) หน้าประตูอาสนวิหารแห่งปารีส" เป็นที่ซึ่งเขาจะถูกเอาตัวไปและส่งไปกับล้อเลื่อน โดยสวมแต่เพียงเสื้อเชิ้ต ถือคบเพลิงที่มีขี้ผึ้งเป็นเชื้อหนังสองปอนด์ (ราว 1 กิโลกรัม) จากนั้นเขาจะถูกนำตัวไปบนล้อเลื่อนไปที่ Place de Greve ซึ่งจะมีการตั้งตะแลงแกงขึ้นเพื่อที่จะเฉือนเนื้อหน้าอก แขน และท่อนขาและทุบด้วยฆ้อนที่เผาจะร้อนแดง มือขวาของเขาจะถือมือที่ว่ากันว่าเป็นอาวุธที่ใช้กระทำการสังหารบิดาของเขา เผาไหม้ด้วยกำมะถัน และในส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็จะถูกเฉือนเอาเนื้อออก เทตะกั่วหลอม น้ำมันเดือด ยางไม้ที่ติดไฟ ขี้ผึ่งและกำมะถันจะถูกหลอมเข้าด้วยกัน จากนั้น ร่างของเขาจะถูกแยกสังขารเป็นสี่ส่วนโดยม้าสี่ตัว อวัยวะและร่างของเขาจะถูกไฟลุกท่วม จนเผาจนเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน จากนั้นเถ้าอัฐิจะถูกโปรยปรายไปกับสายลม" 

 

ในหนังสือ Gazette d'Amsterdam ในวันที่ 1 เมษายน 2300 รายงานว่า "ในที่สุดร่างของเขาถูกดึงแยกเป็นสี่ส่วน" ซึ่งปฏิบัติการสุดท้ายนี้เป็นกระบวนการที่ยาวนาน เพราะม้าที่ใช้ดึงร่างไม่ชินกับการชักลาก ทำให้ต้องใช้ม้าถึง 6 ตัว แทนที่จะเป็น 4 ตัว และเมื่อแรงดึงของม้าไม่พอก็ต้องเอามีดไปเฉือน ตัดบริเวณต้นขา แยกเอ็นและแยกตามข้อต่อต่างๆ

เป็นที่รู้กันว่าชายคนนี้มักสบถ กล่าวคำหยาบโลนเสมอ แต่การลงทัณฑ์ด้วยแรงกระทำต่างที่หนักหน่วงแสนสาหัสทำให้เขาร้องเสียงหลงอย่างน่ากลัว และเขามกล่าวคำซ้ำๆ ว่า พระเจ้าทรงโปรดเมตตาลูกด้วย พระเยซูเจ้าโปรดช่วยลูกด้วย แต่พวกพระก็ไม่ได้เข้ามาปลอบโยนเขา

 

ส่วนการจุดกำมะถันที่ต้องกระทำตามขั้นตอนนั้น กำมะถันกลับไหม้เพียงแค่ผิวหนังชั้นนอกของมือ ส่วนตำแหน่งอื่นๆ กลับไหม้เพียงเล็กน้อย เมื่อเพชรฆาตม้อนแขนเสื้อขึ้นแล้หยิบคีมเหล็กที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษยาวประมาณฟุตครึ่งเพื่อดึงขาขวา จากนั้นก็เป็นท่อนขาบน จากนั้นก็ไปที่แขนขวา ตามมาด้วยส่วนหน้าอก ซึ่งเพชรฆาตก็พบความยุ่งยากที่จะเฉือนตัดเนื้อ ต้องใช้การเฉือนซ้ำสองสามครั้ง ทุกครั้งจะมีแผลราวเหรียญ 6 pound crown 

หลังจากใช้คีมตัดข้อต่างๆ เดเมียนส์ผู้ซึ่งร้องเสียงหลง แต่ไม่มีการสบถ เขายกศีรษะขึ้นและมองตัวเอง เพชรฆาตหยิบเอาช้อนเหล็กในหม้อที่เดือดอยู่แล้วเทไปบนแผลทุกแผล จากนั้นม้าก็ถูกกระตุ้นให้ชักลากชิ้นส่วนร่างกายอีกครั้ง

 

เสมียนศาลไปตรวจดูว่านักโทษมีจะอะไรพูดบ้างไหม เขาตอบว่าไม่มี แต่ทุกครั้งที่ลงทัณฑ์ เขาร้องโหยหวนว่า "ขอทรงโปรดยกโทษให้ลูกด้วย พระเจ้า ขอทรงปราณี แม้จะเจ็บปวดขนาดไหน เขาก็ยกศีรษะดูเรือนร่างของตัวเองเป็นครั้งคราว เชือกที่มัดเขาเอาไว้แน่นหนาและมีคนดึงที่ปลายเชือกอีกด้านหนึ่งสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสและยากบรรยาย เสมียนศาลไปถามเดเมียนส์อีกครั้ง เดเมียนส์บอกว่าเขาไม่มีอะไรจะพูดนอกจากสารภาพบาปหลายอย่างและจูบไม้กางเขนที่อยู่ใกล้ๆ เขาเปิดปากและร้องตะโกนว่า "ขอพระเจ้าประทานอภัย"

บรรดาม้าต่างกระชากหนักขึ้น พวกมันถูกควบคุมโดยเพชรฆาตและเชือกนั้นผูกไปที่อวัยวะท่อนแขนขา หลังจากเวาผ่านไปสิบห้านาทีม้าเริ่มอ่อนแรง จึงพากันวิ่งไปหลากทิศทาง เชือกมันแขนถูกรั้งไปทางศีรษะ ท่อนขาถูกรั้งไปทางแขน ซึ่งหักข้อต่อกระดูกแตก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำๆ แต่ไม่สำเร็จ เดเมียนส์ยังคงยกศีรษะเพื่อดูเรือนร่างตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็มีการเพิ่มม้ามาอีกสองตัวเพื่อดึงแขนขาให้ขาดจากร่าง แต่กระบวนการเหล่านี้ก็ไม่สำเร็จ

 

ในที่สุดเพชรฆาตกล่าวกับเสมียนว่าจะให้เขาตัดแขนขาให้ขาดจากร่างไหม แต่เสมียนก็สั่งให้ทำซ้ำใหม่ จนม้ายอมแพ้ มีเชือกเส้นหนึ่งตกลงบนพื้น พระที่รับสารภาพบาปเข้าไปหาเดเมียนส์อีก เดเมียนส์ขอให้พวกเขาภาวนาสวดถึงพระเจ้าแทนเขา

 

หลังจากลองทำซ้ำอีกสองหรือสามครั้ง เพชรฆาตถึงกับหยิบมีดออกมาเพื่อเฉือนเอ็นที่ต้นขา แทนที่จะเป็นข้อต่อขา ม้าทั้งสี่ตัวถูกนำกลับมาแล้วผูกเข้ากับเชือกที่ขาท่อนบน จากนั้นก็ไปที่แขนที่รักแร้ เนื้อถูกเฉือนจนถึงกระดูกจากนั้นม้าสามารถกระชากแขนขวาได้ และส่วนที่เหลือ

 

เมื่อถูกแยกสังขารโดยแขนขา เพชรฆาตประกาศว่า เดเมียนส์สิ้นใจแล้ว

 

แม้ผู้รายงานจะบอกว่าเขาเห็นเดเมียนขยับปาก โดยขากรรไกรล่างขยับราวกับกำลังบ่น เมื่อเพชรฆาตคนหนึ่งยกร่างท่อนลำตัวขึ้นปักบนเสา ยังพูดว่าเดเมียนส์ยังไม่สิ้นใจตายเลย ส่วนแขนขาที่เหลือกถูกเอาเสียบประจานข้างๆ แล้วมีการเอาฟางและฟืนมาสุดร่างและอวัยวะเหล่านั้น ซึ่งตามพระราชกฤษฎีกาให้ประหารจะต้องเผาจนเป็นเถ้าธุลี ซึ่งใช้เวลาเผาถึงห้าทุ่มกว่าจะไหม้หมด

 

เก็บความจาก Michel Foucault. 1991. Discipline and Punish: The Birth of the Prison. New York: Vintage Books. หน้า 3-6. 

 

 

 

 

 

บล็อกของ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ

บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
รถบัสนำผมมาถึงเมืองชิคาโกในเวลาสองทุ่มครึ่ง รถจอดที่สถานีปลายทาง Union Station แม้จะเคยมาเมืองนี้ แต่คราวนี้มาคนเดียว และนัดเพื่อนที่ไม่เจอกันเกือ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจะเดินไปบ้านอาจารย์แคทเธอรีน บาววีเพื่อยืมรถอาจารย์ไปเที่ยว อา
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
แม้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศที่นี่ยังคงเย็นอยู่บ้าง ในคืนที่ผ่านมาอากาศเย็นสบาย เมื่อเราซื้อของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ ที่พัก เราเดินกลับบ้านได้สบายๆ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
อย่างที่เคยเล่ามาในตอนก่อนๆ ว่า หนึ่งในความสุขเล็กๆ ของพวกเราคือการได้ไปกินติ่มซำวันเสาร์ (อาจจะมีคนเติมว่าไม่เอาเผด็
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนรุ่นก่อนช่างกล้าหาญนัก กล้าเดินทางเข้ามาในดินแดนที่ไม่รู้จัก เพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าการเดินทางของมนุษย์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ชีวิตยิ่งมหัศจรรย์กว่า ในความผันแปรเปลี่ยนของมนุษย์
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมเขียนบทความชุดนี้มาหลายเดือน มาถึงตอนนี้ นับว่าเป็นชุดบทความที่ยาวไม่น้อย 
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เมื่อปี พ.ศ.2532 เดือนมิถุนายน ยังไม่รู้ประสีประสาทางการเมือง ในขณะที่เพื่อนๆ พี่ๆ พากันขึ้นคัทเอาท์สนับสนุนประชาธิปไตยในจีน และมีกิจกรรมต่อเนื่องหลังจากที่นักศึกษา ประชาชนถูกล้อมปราบที่ลานหน้าพระราชวังต้องห้าม
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
     มหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งที่ผมได้มีโอกาสผ่านไปมักมีเรื่องราวให้จดจำ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของภูมิทัศน์ เอ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
Today is the 5th year to commemorate the day that Abhisit Vejjajiva started cracking down the United front for Democracy against Dictatorship (UDD) camp site on Rajadamri. It started with the killing of Seh. Daeng or Gen. Kattiya Sawasdiphol.