Skip to main content
 

พันธกุมภา

ถึง มีนา

เมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วน

สิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา

เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์เดียว ซึ่งการปฏิบัติในสมถะกรรมฐานนี้จะช่วยให้ผู้ที่ปฏิบัติมีจิตที่ละเอียด และนิ่งแช่กับอารมณ์หนึ่งๆ โดยเหมาะแก่การพักจิต หรือการหยุดการคิดแล้วมาสงบจิตให้อยู่ในอารมณ์หนึ่งเดียวก่อน ซึ่งในวิถีนี้ สามารถทำได้หลายรูปแบบเช่น การนั่งสมาธิ ภาวนาพุท-โธ ดูท้องพองยุบ เป็นต้น

ส่วนการทำวิปัสสนานั้น เท่าที่ผมเรียนรู้มาก็คือการดู การรู้ การเห็น ทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในกายและใจตามความเป็นจริงด้วยใจที่เป็นกลาง วางเฉย โดยการทำวิปัสสนาก็สามารถที่จะได้โดยการทำสมถะก่อน และค่อยเคลื่อนจิตไปสู่การทำวิปัสสนา หรือ จะทำวิปัสสนาโดยไม่ต้องทำสมถะก็ได้ หรืออีกอย่างคือทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป

การทำวิปัสสนา สามารถ ดูได้ทั้งทางกาย เวทนา จิต ธรรม หรือสรุปย่อๆ ก็คือ กายกับใจ เราดูกาย รู้กาย ผ่านลมหายใจ การเคลื่อนไหว การกระพริบตา กลืนน้ำลาย การเดิน ฯลฯ และส่วนใจนั้นก็ดูตรงที่ความคิด อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ จะไม่สุขไม่ทุกข์ ดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห อารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อเชื่อขณะ ฉะนั้นการดูจิตนั้นก็คือการตามรู้อารมณ์ต่างๆ อย่างที่ปรากฏตามความเป็นจริง

ทั้งนี้ที่ผมเกริ่นมาว่า 2 ส่วนนี้ต่างกันอย่างไรนั้น ก็เพราะว่า ต้องการชี้ให้เห็นว่าสมถะนั้นทำเพื่ออะไร และวิปัสสนานั้นทำเพื่ออะไร เพราะไม่เช่นนั้นแล้วบางคนอาจคิดว่าที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้นคือวิปัสสนา แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย แต่เป็นสมถะ ซึ่งผมคิดว่าจุดที่ต้องให้ความสำคัญมากหากเราปรารถนาที่จะพากายและใจไปสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริง นั้นคือคงต้องเรียนรู้ที่จะทำวิปัสสนาให้ถูกวิธี หรือ ทำอะไรก็ตามแต่รู้จุดมุ่งหมายว่าทำอะไร เพื่ออะไร จะได้ไม่หลงทาง สับสน และติดอยู่กับอะไรบางอย่าง

อาการติดอยู่กับอะไรบางอย่าง ที่ผมเกิดกับผมตอนนี้คือ บ่อยครั้งเวลาที่ผมทุกข์ใจ โมโห หรือโกรธ ผมจะค่อยๆ รู้ไปทีละนิด จะรู้ได้บ่อยครั้งขึ้น ซึ่งการรู้ของผมก็คือรู้โดยไม่ใช้สมองคิด รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ปรุงแต่งว่าไม่ชอบเพราะจะเกิดความโลภเพิ่มขึ้น แล้วเมื่อดูไปสักพักอารมณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้น ตั้งมา และก็ดับลงไปอย่างเห็นได้บ่อยครั้ง

แต่ในอีกมุมเมื่อเกิดอารมณ์อิ่มใจ มีปีติเกิดขึ้น ผมมักจะอยากให้จิตเป็นแบบนี้บ่อยๆ เกิดอารมณ์แบบนี้บ่อยๆ แล้วก็ "ประคอง" มันไปเรื่อยเพราะไม่อยากให้ความทุกข์ใจเข้ามาเยือน ซึ่งพอทำแบบนี้แล้วมันก็ไม่ค่อยจะดีต่อจิตเรานัก เพราะเราไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงด้วยใจที่เป็นกลาง แต่ดันอยากบังคับจิตให้จิตอยู่ในอารมณ์สุขเช่นนี้เพียงอย่างเดียว

วิธีการทำแบบข้างต้นนี้ ไม่ค่อยจะดีนัก ถ้ามัวหลงเพลินความความสุข ปีติ จนลืมอุเบกขา หรือการวางเฉย เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็สร้างความโลภให้กับตัวเองไปเรื่อยๆ และสิ่งที่เราทำอยู่แทนที่จะเป็นวิปัสสนา แต่กลับการเป็นสมถะเพราะมัวแต่ไปเพ่งอยู่กับอารมณ์เดียวอย่างนี้

ผมจำคำสอนของพระอาจารย์หลายท่าน ท่านกล่าวตรงๆ กันว่า การวิปัสสนานั้นต้องก้าวข้ามความเป็นตัวตน ว่านี่คือฉันของฉัน ต้องรู้ถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง เพราะเราทำวิปัสสนาเพื่อการเจริญสติตามความเป็นจริง ไม่ว่าจิตใจ ร่างกาย จะเป็นอย่างไร เรามีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือการตามรู้ ตามดู โดยไม่ปรุงแต่ง ไม่ต้องคิดอยากได้ความสงบ ความสมถะ อยากได้ฌาน อยากได้อภิญญา อยากบรรลุธรรม อยากได้นู้นนี่มากมาย

ถ้าเรายังไม่สามารถก้าวข้ามความเป็นตัวตน หรือความไม่เที่ยง สัจธรรมอันแท้จริงในตัวเราก็ไม่เกิดขึ้น และการเกิดขึ้นนั้นใช่ว่าจะบังคับได้ ของแบบนี้ก็ต้องรอจังหวะ และเวลา ต้องดูพัฒนาการของการวางเฉย อุเบกขาได้มากน้อยเพียงใด และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับกายหรือใจ เราก็ทำเพียงอย่างเดียวคือ "รู้"

รู้โดยไม่ใช้สมองคิด ไม่ปรุงแต่ง
รู้โดยไม่กด ไม่เพ่ง ไม่จ้อง ไม่ประคอง ไม่หนี
รู้โดยใจที่เป็นกลาง วางเฉย
รู้แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดติด

สักว่า "รู้" เพียงตัวเดียว ทำไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเราจะเห็นและพบด้วยตัวเองว่าเพียง "รู้" ตัวเดียวนั้นช่วยทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร....

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อได้ยิน...... “ทำไมคุณโง่แบบนี้” “งานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอที่ทำเต็มที่แล้ว” “มีหัวไว้ใส่หมวกเปล่าๆ” สารพัดมากมาย คำด่าทอที่เรามักไม่ชอบ – ในที่นี้ก็มีผมอยู่ด้วยแหละครับ เวลาที่มีใครมาต่อว่า มานินทาในทางร้ายๆ แล้วมักจะต้องเดือดร้อนเป็นฝืนเป็นไฟอยู่เสมอ อืม...คิดในใจ นี่ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราไม่ใช่คนอย่างที่เขาว่านะ..... ขณะที่คำชม อาทิ “คุณทำงานเก่งจัง” “ทำได้แค่นี้ สุดยอดเลยทีเดียว ยอดเยี่ยมมากๆ๐ “คิดได้แค่นี้ ก็เจ๋งเลย” คำพูดชื่นชม เยินยอในทางบวกเหล่านี้ หลายคนไม่ปฏิเสธ หรือไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนคำพูดร้ายๆ หรือลบๆ แต่กลับมองว่าใช่ๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา มีเรื่องอยากเล่าให้พันธกุมภาฟัง... ช่วงที่ห่างหายกันไป พี่ยังติดตามข่าวคราวการทำงาน การเดินทาง และระลึกถึงเธออยู่เสมอ เพียงแค่รู้ว่าเธอสบายดี พี่ก็สบายใจ เมื่อไม่นานมานี้ พี่เดินทางไปเชียงใหม่ ไปกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยบ้าง ไม่คุ้นเคยกันบ้าง หลายคนเคยรู้จักกันมาก่อน หลายคนไม่ได้รู้จัก แม้ว่าจะรู้จักก็ตาม ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงเรื่องด้านในต่อกัน ไม่เหมือนเพื่อนบางคน แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันมากนัก แต่เราก็ยังสนิทใจมากกว่า รู้สึกสัมผัสได้ถึงความอาทรที่มีต่อกัน...อย่างน้อง
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ได้รับจดหมายที่ส่งต่อๆ กันมา (Forward mail) ฉบับด้านล่างนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เพราะนี่เข้าเดือนที่ 6ของปีแล้ว...)“สาส์นจากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008 นี้ แล้ว…คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมากข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี …
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่าเพิ่งตกใจนะครับพี่ที่ผมจะขอระบายเรื่องรัก ให้พี่รับรู้.....
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาอายุ...วัย หากเราเพียงแบ่งแค่ผู้ใหญ่กับเด็กเหมือนกับสังคมทั่วๆ ไปเขามองกัน เราอาจจะมองเห็นคนแค่ 3 กลุ่มในช่วงชีวิต คือเด็ก วัยทำงาน และผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของชีวิต ทั้งการเข้าสู่การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไป เราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่าเราหรืออาจจะต้องนับถือคนที่อายุน้อยกว่าเราแต่มีคุณสมบัติมากกว่าคุณสมบัติทั้งการศึกษา การใช้ภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ พี่ขอเรียกว่าเป็น “คุณสมบัติทางโลก” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “ความดี” ที่เมื่อก่อนได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด ความดีไม่มีอายุ หากแบ่งแยกกับความไม่ดี/…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาหาผมที่บ้าน เราสองคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอมาเจอกันอีกหนจึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบเจอกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อ “นนท์” พี่นนท์ เป็นรุ่นพี่ที่เคยสอนผมเต้นเชียลีดเดอร์ เมื่อตอนเรียนมัธยมต้น อายุของพี่นนท์ห่างจากผม 2 ปี พี่นนท์เป็นคนต่างหมู่บ้าน แต่เราอยู่ในตำบลเดียวกัน ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่นนท์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการพูด ท่าที การแสดงออก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างกรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุด และชอบนินทาคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาคราวนี้พี่นนท์ไม่เหมือนเดิม คือ นิ่งขึ้น ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ทำท่ารุกรี้รุกรนตอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน…
พันธกุมภา
มีนาถึง...ลูกปัดไข่มุกและพันธกุมภาความระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวสดใสอย่างลูกปัดไข่มุก อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องช่างมี “ทาง” ที่ดีเสียจริง น้องได้เติบโตจากครอบครัวที่หล่อหลอมสิ่งที่ดีงามให้ ทั้งการทำบุญ ทาน และเสริมให้สร้างบารมี ต้องขอบคุณแม่และพ่อที่ปูทางที่ดีให้กับลูก หากมีธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าเด็กสาวและคนรุ่นใหม่จะไม่เติบโตอย่างมีรากเหง้า รู้คิด เพราะกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้ “ความรู้” หากยังได้ “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่งความรู้สมัยใหม่ไม่มีความลึกซึ้งพอเมื่อเราปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม เรามักยึดติดกับตัวตน (Ego) และเราไม่ได้พยายามลดมัน…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาผมได้อ่านเรื่องราวของ “ลูกปัดไข่มุก” แล้ว ขออนุโมทนากับน้องอย่างยิ่ง และยังรู้สึกยินดีกับสิ่งที่น้องได้กระทำลงไป และได้พบการหนทางที่จะนำพาความสุข สงบมาให้กับตนเอง เป็นการเรียนรู้จากตัวเอง มากกว่าการเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เล่าให้ฟังสู่กันมาการได้ทำสมาธินั้นได้ช่วยให้น้องได้พบกับจิตที่สงบ และเป็นจิตที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเริ่มปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น สู่การเจริญสติในระดับต่างๆ ต่อไป....จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นรุ่นเดียวกับเราๆ ก็หันมาสนใจเรื่องทางธรรมเยอะเหมือนกันนะ, ช่วงหนึ่งก็มีคนมาถามผมว่า วัยรุ่นสนใจธรรมะเพิ่มขึ้น เป็นกระแสที่ดีแบบนี้ คิดยังไง?…
พันธกุมภา
ลูกปัดไข่มุก ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....   “เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาจุดหมายปลายทาง การเดินทางธรรมของเธอครั้งนี้อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ที่...ซึ่งฉันไม่เคยไป หากหลายคนอยากไป ก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องการเดินทาง หากมักนึกถึงปลายทาง และในที่สุด...แม้รู้ว่าเธออาจจะเดินทางถึงวัดป่าสุคะโตแน่นอน เธอก็น่าจะเรียนรู้ระหว่างทางดังที่เธอเล่าให้เราฟังฉันเคยพูดถึงเรื่องความกลัวระหว่างการเดินทาง “ในความกลัว” มาก่อนแล้ว ด้านหนึ่งฉันนึกเสมอว่า คนธรรมดาทั่วไปอย่างฉัน ร่ำเรียนมาด้วยวิธีคิดแบบมีเป้าหมาย โดยไม่สนใจระหว่างทาง หรือกระบวนการเรียนรู้ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “ระหว่างทาง” เป็นสิ่งสำคัญมาก…