Skip to main content

ถาม

สวัสดีค่ะ
เหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอ
มีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ 
คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวร
สองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้อง

จู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า
  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหม
ทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะ
ไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะ
เชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญ
เพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำ

วันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ
พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ
ชาตินี้ ชาติหน้า บุญและกรรมที่เราทำ ส่งผลต่อเรา
เฮ้อ พี่ไม่มีคำตอบให้กับคนที่ถาม   ดังนั้นพี่จึงอยากขอความรู้จากน้อง
แล้วเราจะจำอดีตชาติของเราไม่ได้เลยเหรอคะ 
ทำไมเราจึงลืมมัน  หรือว่าหากไม่ลืม  เราจะไม่อาจมีชีวิตที่ปกติในปัจจุบันได้

ตอบ

สวัสดีครับ ก่อนอ่าน....อย่าลืม...มีสติระลึกรู้กายและรู้ใจ ตามความเป็นจริงนะครับ....
เข้าเรื่องกันดีกว่า.... ตอนนี้ ผมพึ่งทานข้าวเสร็จ เพราะไปดู "ก้านกล้วย2" กับแฟนมาครับ
หนังเรื่องนี้ ทำให้รู้สึกอินไปกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ต่อสู้ในสงครามของสมเด็จพระนเรศวร
ยิ่งดู ก็เหมือนเราเคยทำสงคราม แล้วก็นึกว่า เอ...ตอนที่ไทยกับพม่า ต่อสู้กันนั้น เราเป็นอะไรน้า....
 
พอมาเจอคำถามที่เราจะคุยกัน จึงทำให้ผมแว๊บขึ้นมาทันทีว่า การที่คนเราจะระลึกชาติได้นั้น
อันที่จริงแล้วก็ปรากฏครูบาอาจารย์ ทั้งที่เป็นพระ เป็นฆราวาส ก็สามารถกระทำการระลึกชาติได้
ซึ่งเมื่อก่อนผมก็เป็นคนหนึ่งที่ อยากปฏิบัติธรรม เพราะอยากรู้อดีตชาติของตัวเอง
แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้วดีกว่า เพราะแม้ว่า เราจะสามารถพัฒนาจิตให้ระลึกถึงอดีตชาติได้
นั้นก็ไม่ใช่เป็น "ของจริง" ที่เราควรฝึกในการเจริญสติ 
เพราะ "ของจริง" คือ ภาวะปัจจุบันขณะ ของเราต่างหาก ชีวิต ณ ปัจจุบันคือความจริงที่ปรากฏ 

คนเราทุกคน มี "อดีต"
"ปัจจุบัน" "อนาคต" 
การอยู่กับปัจจุบัน คือการมีสติระลึกรู้ กายและใจตามความเป็นจริง 
ส่วนอดีตที่ผ่านมานั้น อย่านึกเลยถึงอดีตชาติเลย บางทีแค่เรื่องเมื่อวานเรายังจำไม่ได้แล้ว
หากรูปธรรมกว่านั้นก็คือ แค่เรื่องราวในฝันเมื่อคืน เรายังจำได้น้อยมากเลย....
โดยปกติ "จิต" ของเราเค้าจะมี "หน่วยความจำ" หรือ "สัญญา" (ความจำได้ หมายรู้)
บางคนเมื่อทำสมาธิ แล้วเกิดจิตที่มีกำลัง สามารถเข้าฌาน เข้าสมาบัติ สามารถระลึกรู้ถึง "ความทรงจำ" ในอดีตได้
บางคนก็เห็นเมื่อตอนอายุยังน้อย บางคนก็เห็นเมื่อชาติที่แล้ว เห็นถอยหลังไปหลายๆ ชาติ แล้วแต่กำลังจิตของแต่ละคน
แต่นั้นก็คือ "สัญญา" ที่จิตใจจำได้หมายรู้นั้นแหละครับ
 
ในความรู้อันนิดน้อยของผม คิดว่าการระลึกชาติก็คือ จิต จดจำเรื่องราวในอดีตได้ ซึ่งก็คือ สัญญา ใน ขันธุ์ 5 นี้เอง
จริงๆ แล้ว การระลึกชาติ จะมีประโยชน์ต่อเรามาก ขณะเดียวกันก็ให้โทษเช่นกัน
บางคนรู้ว่าเมื่อชาติที่แล้วทำอะไรมา ชาตินี้จึงเกิดมาเป็นแบบนี้
บางคนรู้ว่าคนนั้น เคยเป็นอะไรกับตัวเองมาชาติที่แล้ว ชาตินี้จึงได้มาพบเจอกันอีก
บางคนก็ทุกข์ เพราะเห็นบางชาติที่ตนทำไม่ดี ไม่พบเจอพระพุทธศาสนาเลยก็มี.....
 
ประเด็นที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดคือ การระลึกอดีตชาติได้นั้น เป็น "สิ่งที่ถูกรู้" โดยจิต

การทำสมาธิ เพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์ทางจิตนี้ มีมาก่อน พระพุทธเจ้าจะบรรลุธรรมนะครับ

การทำสมาธิ นี้ มีประโยชน์ตรงที่เราจะสร้างจิตที่ตั้งมั่นได้
และบางคนอาจได้ ฌาน ได้ สมาบัติ ที่ลึกซึ้งขึ้น
บางคนก็ได้ "อภิญญา" เช่น มีอิทธิฤทธิ์ทางใจ คือ ตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติ ฯลฯ
 
สิ่งที่สำคัญคือการเจริญสติปัฏฐาน 4 ครับ คือ กายานุปัสนา, เวทนานุปัสนา, จิตตานุปัสนา, และธรรมานุปัสนา
 
เพียงเราตามรู้ที่กายและใจของเราตามความเป็นจริง
เราก็จะพบของจริง คือ ความจริงที่อยู่ตรงหน้า ต่อหน้า ต่อตาครับ
 ถ้าไม่อยากจะเกิด เวียนว่ายในสังสารวัฎ ก็มีทางเดียว คือ ทำวิปัสสนา เจริญสติ รู้กาย รู้ใจ....

เท่าที่ผมรู้มา เราสามารถเวียนว่ายตายเกิดได้คือ อบายภูมิ และสุคติภูมิ
อบายภูมิ ก็เป็นภพ ของ นรก, เปรต, อสูรกาย, เดรัจฉาน เป็นต้น
สุคติภูมิ ก็เป็นภพ ของมนุษย์, สวรรค์, พรหม
 
ถ้าทำไม่ดี ผิดศีล หลงตามกิเลส คือ โลภ โกรธ หลง ก็ไป อบายภูมิ
ถ้าทำความดี รักษาศีล ก็ไป สวรรค์
ถ้าทำสมาธิ มีจิตเมตตา อยู่ในพรหมวิหารธรรม ก็ไป พรหม

 
ทว่าภพภูมิเหล่านี้ ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ไป อีกหลายภพ หลายชาติ
หากไม่อยากจะกลับมาเกิดอีกแล้วก็คือ การทำนิพพานให้แจ้ง
โดยการเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้แหละครับ
 
ตอบตามความรู้ที่มี ผมยังไม่รู้อะไรอีกเยอะเลย
ขอให้พี่เจริญในธรรมนะครับ^^


 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อได้ยิน...... “ทำไมคุณโง่แบบนี้” “งานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอที่ทำเต็มที่แล้ว” “มีหัวไว้ใส่หมวกเปล่าๆ” สารพัดมากมาย คำด่าทอที่เรามักไม่ชอบ – ในที่นี้ก็มีผมอยู่ด้วยแหละครับ เวลาที่มีใครมาต่อว่า มานินทาในทางร้ายๆ แล้วมักจะต้องเดือดร้อนเป็นฝืนเป็นไฟอยู่เสมอ อืม...คิดในใจ นี่ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราไม่ใช่คนอย่างที่เขาว่านะ..... ขณะที่คำชม อาทิ “คุณทำงานเก่งจัง” “ทำได้แค่นี้ สุดยอดเลยทีเดียว ยอดเยี่ยมมากๆ๐ “คิดได้แค่นี้ ก็เจ๋งเลย” คำพูดชื่นชม เยินยอในทางบวกเหล่านี้ หลายคนไม่ปฏิเสธ หรือไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนคำพูดร้ายๆ หรือลบๆ แต่กลับมองว่าใช่ๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา มีเรื่องอยากเล่าให้พันธกุมภาฟัง... ช่วงที่ห่างหายกันไป พี่ยังติดตามข่าวคราวการทำงาน การเดินทาง และระลึกถึงเธออยู่เสมอ เพียงแค่รู้ว่าเธอสบายดี พี่ก็สบายใจ เมื่อไม่นานมานี้ พี่เดินทางไปเชียงใหม่ ไปกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยบ้าง ไม่คุ้นเคยกันบ้าง หลายคนเคยรู้จักกันมาก่อน หลายคนไม่ได้รู้จัก แม้ว่าจะรู้จักก็ตาม ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงเรื่องด้านในต่อกัน ไม่เหมือนเพื่อนบางคน แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันมากนัก แต่เราก็ยังสนิทใจมากกว่า รู้สึกสัมผัสได้ถึงความอาทรที่มีต่อกัน...อย่างน้อง
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ได้รับจดหมายที่ส่งต่อๆ กันมา (Forward mail) ฉบับด้านล่างนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เพราะนี่เข้าเดือนที่ 6ของปีแล้ว...)“สาส์นจากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008 นี้ แล้ว…คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมากข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี …
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่าเพิ่งตกใจนะครับพี่ที่ผมจะขอระบายเรื่องรัก ให้พี่รับรู้.....
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาอายุ...วัย หากเราเพียงแบ่งแค่ผู้ใหญ่กับเด็กเหมือนกับสังคมทั่วๆ ไปเขามองกัน เราอาจจะมองเห็นคนแค่ 3 กลุ่มในช่วงชีวิต คือเด็ก วัยทำงาน และผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของชีวิต ทั้งการเข้าสู่การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไป เราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่าเราหรืออาจจะต้องนับถือคนที่อายุน้อยกว่าเราแต่มีคุณสมบัติมากกว่าคุณสมบัติทั้งการศึกษา การใช้ภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ พี่ขอเรียกว่าเป็น “คุณสมบัติทางโลก” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “ความดี” ที่เมื่อก่อนได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด ความดีไม่มีอายุ หากแบ่งแยกกับความไม่ดี/…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาหาผมที่บ้าน เราสองคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอมาเจอกันอีกหนจึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบเจอกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อ “นนท์” พี่นนท์ เป็นรุ่นพี่ที่เคยสอนผมเต้นเชียลีดเดอร์ เมื่อตอนเรียนมัธยมต้น อายุของพี่นนท์ห่างจากผม 2 ปี พี่นนท์เป็นคนต่างหมู่บ้าน แต่เราอยู่ในตำบลเดียวกัน ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่นนท์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการพูด ท่าที การแสดงออก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างกรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุด และชอบนินทาคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาคราวนี้พี่นนท์ไม่เหมือนเดิม คือ นิ่งขึ้น ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ทำท่ารุกรี้รุกรนตอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน…
พันธกุมภา
มีนาถึง...ลูกปัดไข่มุกและพันธกุมภาความระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวสดใสอย่างลูกปัดไข่มุก อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องช่างมี “ทาง” ที่ดีเสียจริง น้องได้เติบโตจากครอบครัวที่หล่อหลอมสิ่งที่ดีงามให้ ทั้งการทำบุญ ทาน และเสริมให้สร้างบารมี ต้องขอบคุณแม่และพ่อที่ปูทางที่ดีให้กับลูก หากมีธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าเด็กสาวและคนรุ่นใหม่จะไม่เติบโตอย่างมีรากเหง้า รู้คิด เพราะกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้ “ความรู้” หากยังได้ “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่งความรู้สมัยใหม่ไม่มีความลึกซึ้งพอเมื่อเราปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม เรามักยึดติดกับตัวตน (Ego) และเราไม่ได้พยายามลดมัน…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาผมได้อ่านเรื่องราวของ “ลูกปัดไข่มุก” แล้ว ขออนุโมทนากับน้องอย่างยิ่ง และยังรู้สึกยินดีกับสิ่งที่น้องได้กระทำลงไป และได้พบการหนทางที่จะนำพาความสุข สงบมาให้กับตนเอง เป็นการเรียนรู้จากตัวเอง มากกว่าการเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เล่าให้ฟังสู่กันมาการได้ทำสมาธินั้นได้ช่วยให้น้องได้พบกับจิตที่สงบ และเป็นจิตที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเริ่มปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น สู่การเจริญสติในระดับต่างๆ ต่อไป....จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นรุ่นเดียวกับเราๆ ก็หันมาสนใจเรื่องทางธรรมเยอะเหมือนกันนะ, ช่วงหนึ่งก็มีคนมาถามผมว่า วัยรุ่นสนใจธรรมะเพิ่มขึ้น เป็นกระแสที่ดีแบบนี้ คิดยังไง?…
พันธกุมภา
ลูกปัดไข่มุก ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....   “เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาจุดหมายปลายทาง การเดินทางธรรมของเธอครั้งนี้อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ที่...ซึ่งฉันไม่เคยไป หากหลายคนอยากไป ก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องการเดินทาง หากมักนึกถึงปลายทาง และในที่สุด...แม้รู้ว่าเธออาจจะเดินทางถึงวัดป่าสุคะโตแน่นอน เธอก็น่าจะเรียนรู้ระหว่างทางดังที่เธอเล่าให้เราฟังฉันเคยพูดถึงเรื่องความกลัวระหว่างการเดินทาง “ในความกลัว” มาก่อนแล้ว ด้านหนึ่งฉันนึกเสมอว่า คนธรรมดาทั่วไปอย่างฉัน ร่ำเรียนมาด้วยวิธีคิดแบบมีเป้าหมาย โดยไม่สนใจระหว่างทาง หรือกระบวนการเรียนรู้ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “ระหว่างทาง” เป็นสิ่งสำคัญมาก…