Skip to main content

 

เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก


สำหรับ คนที่ผมรัก “ฟ้า” เธอเป็นผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลก เราเจอกันเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เราไปทำกิจกรรม ซึ่ง ณ เวลานั้นเราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากไปกว่าการได้นั่งคุยกัน โดยฟ้านั่งทานข้าวกับผม สิ่งที่แปลกใจมากคือ เธอกินมังสวิรัติ ซึ่งมันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมกันนะ หญิงสาวหน้าตาดี สุภาพเรียบร้อยคนนี้จึงได้ปฏิบัติตัวได้น่าศรัทธาเพียงนี้ และมันทำให้เราได้คุยกัน จนทำให้ผมว่าตั้งแต่เด็กจนโตเธอมีโอกาสได้เข้าวัดฟังธรรมอยู่บ่อยๆ จนฝังมาเป็นนิสัยประจำตัวจนถึงทุกวันนี้

เราคุยกันและแลกเปลี่ยนเบอร์กัน แรกๆ ผมปลื้มและแอบชอบเธอมาก แม้ว่าผมจะเคยมีแฟนมาแล้ว แต่สำหรับฟ้าแล้ว ผมรู้สึกศรัทธาและปลื้มมากๆ แม้ว่าเราสองคนจะมีอายุห่างกันมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเราสองคน เพราะธรรมะที่เราพูดคุยกันนั้น เป็นเรื่องชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ได้เอาอายุมาเป็นข้อจำกัด เราจึงคุยกันด้วยความเข้าใจ และเอื้ออาทรต่อกันและกันเสมอมา

ความใกล้ชิดค่อยๆ เพิ่มพูนความสัมพันธ์ของเราให้ลึกซึ้งมากขึ้น ดั่งต้นไม้ต้นน้อยๆ ที่ค่อยปลูกลงไปในผืนดินที่เติบโตอย่างช้าๆ มีรากที่เข้มแข็ง ยึดแน่นไม่ไหวหวั่นต่อลมฟ้าฝนหนาวร้อน เราอยู่เคียงข้างกันเสมอแม้ว่าใครจะสุขจะทุกข์จะเสียใจดีใจ เราเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เป็นคนรู้จัก เป็นกัลยาณมิตร ที่ดีต่อกัน ซึ่งมันทำให้ผมมั่นใจว่าความรู้สึกของผมนั้นมันเริ่มตกผลึกก่อเกิดกลายเป็นความรัก ความผูกพัน จนทำให้เรามีความเข้าใจกันมาโดยตลอด แม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันด้วยความจริงที่เราสื่อสารกันด้วยความจริงใจ ให้เกียรติ ให้โอกาส รับฟังกันอย่างตั้งใจ และคุยกันด้วยไมตรีรักมาเสมอ เป็นปุ๋ยอย่างดีที่เพาะต้นรักของเราอย่างนุ่มนวม ซึ่งบางครั้งเราจะเจ็บปวดกับสิ่งที่พบ เจอกับความผิดหวังอย่างไม่ได้ตั้งใจ เจอกับความสุขที่เบิกบาน แต่เราก็เชื่อว่ามันคือความจริงที่งดงามของชีวิต ที่เราร่วมเดินไปพบเจอด้วยกัน 

ผมยังจำได้ดี ว่าในช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมกับฟ้าพาไปวัด แถวๆ เกาะสีชัง และเราใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน คุยเรื่องความฝันร่วมกันมากมาย ที่จริง ผมก็ไม่ได้คิดว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ผมมีความสุขล้นเปี่ยมในปัจจุบัน และรู้สึกอิ่มตัว อิ่มใจ และไม่อยากจะหาใครมาในชีวิตอีกแล้ว เพราะฟ้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจของผมตอนนี้ คือเข้าทำนองว่าพอมาเจอเธอผมก็อยากจะหยุดไว้ตรงนี้ 

เราสองคนมีความเหมือนกันคือ เราเป็นคนที่สนใจในธรรม และปฏิบัติธรรมเหมือนกัน แถมยังช่วยเกื้อกูลกันดูจิต แลกเปลี่ยนธรรมะ ทุกๆ วัน นี่จึงเป็นความดีนิดน้อยที่เรามีเสมอกัน ผมจำได้ว่าแต่ละวันที่เราได้คุยกัน เราจะถามกันเสมอว่า “วันนี้ทุกข์กัดบ้างไหม” และแลกเปลี่ยนกันว่า “ดูจิต” เป็นอย่างไรบ้าง อารมณ์เป็นอย่างไร ความคิดเป็นอย่างไร และช่วยแนะนำกัน แต่นอกจากนี้เราก็คุยกันตามประสาคนหนุ่มสาวทั่วไปที่มีทั้งเรื่องที่บางครั้งไม่เข้าใจกันบ้าง ทะเลาะกัน หึง หวง น้อยใจ รำคาญ หงุดหงิด ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม ผมดีใจที่เราสองคนพูดคุยกันดูความกรุณา และเวลาที่เธอ “ร้อน” ผมก็จะใช้ “เย็น” คอยโอบอุ้มการสนทนา ทำให้เธอเย็นลงและได้สติคุยกันมากขึ้น

มีครั้งหนึ่งตอนที่ต่างฝ่ายต่าง “ร้อน” ใส่กัน จนงอนกันไปทั้งคู่ แล้วเราก็ตัดสินใจว่าจะไม่คุยกันสักสองสามวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึงค่อนวัน ผมก็โทรศัพท์ไปหา และเธอก็รับ เมื่อทั้งผมและเธอใจเย็นลง เราก็เริ่มคุยกัน สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ก็แนะนำกันว่ามีอะไรที่ทำแล้วสบายใจ หรือทำแล้วไม่สบายใจ อะไรที่ไม่ชอบให้ทำ อะไรที่ชอบให้ทำ

และช่วงหลังๆ ที่เรารักกันมากขึ้น เราก็ทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายธรรมะ ความเมตตา กรุณา ก็โอบอุ้มให้ใจของเราดีขึ้น และปรับความเข้าใจกันในทุกสุด มันทำให้ผมพบว่าการได้คุยกันอย่างตรงไปตรงมาอย่างมีเมตตากรุณาต่อกันทำให้เราผูกพันและเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น

ตอนนี้ผมมีความสุขกับความรักมากมาย แต่อนาคตผมไม่มั่นใจเท่าไหร่นักเพราะ “เหตุ” “ปัจจัย” มันอาจจะเปลี่ยนแปลงเราสองคนไปได้ พอพูดถึงเหตุปัจจัยนี้ ก็คิดมาได้ว่า เราสองคนตั้งใจว่า “จะรักกันให้ดีที่สุด”และจะไม่สร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิด “ปัจจัย” อันนำไปสู่ “เหตุ” ให้ได้เลิกร้างลากันไป บางครั้งเมื่อมีผู้หญิงเข้ามาคุยกับผมเพื่อขอคบด้วย ผมก็ไม่สร้างเงื่อนไขในการเข้าไปคุย สนทนา ให้เขาหรือเราได้สานสัมพันธ์กันต่อ แต่จะคงไว้เพียงความเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักเท่านั้น และเหมือนกัน เมื่อมีชายคนอื่นมาคุยกับฟ้า ฟ้าก็จะปฏิเสธ ไม่ให้เบอร์โทรศัพท์กับใคร และบอกอีกว่า “มีแฟนแล้ว” และหากใครที่ทำท่าจะมาจีบ เธอก็บอกว่าขอคุยแบบเพื่อน

แม้ว่าผมกับเธอ ไม่ได้แก่อะไรมากมาย ผมเป็นเพียงชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าๆ กับหญิงสาววัยย่างเข้ายี่สิบ เรายังมีอนาคตอีกไกลในสายตาของคนอื่นๆ ทว่าวันนี้เราสองคนมองว่า เราไม่รู้เลยว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของการมีชีวิตที่เหลืออยู่ ซึ่งพอเราตระหนักถึงมรณานุสติข้อนี้มันจึงทำให้เราสองคนรีบทำอะไรโดยเร็ว เพื่อให้เป็นต้นทุนชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าเรายังไม่ได้สิ้นลมหายใจไปจริงๆ เราก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแบบนี้ไปเรื่อย 

แต่เมื่อปลายฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ผมรู้สึกผิดมากที่ผมมีเวลาทำแต่งาน ไม่ได้สนใจหรือให้ความสำคัญในการไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ด้วยกันกับฟ้าเลย แม้ว่าปีนี้เราจะคบกันได้แปดปีแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ฟ้าเลย ทั้งๆ ที่ฟ้าก็เสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อให้ผมทำงานกับสังคม ทำงานเพื่อส่วนรวม ผมจึงรู้สึกขอบคุณที่ฟ้าเข้าใจ และให้โอกาสผมทำงานที่ผมรัก ผมจึงมีความสุขทั้งกับงานและกับคนที่รัก

วันหนึ่งก่อนจะย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ผมตั้งใจที่จะหาของขวัญทำมือให้กับฟ้า เพราะผมจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฟ้ากลับจากการปฏิบัติธรรมที่ต่างจังหวัด ฟ้าเริ่มรักผมมากขึ้น และทำของขวัญทำมือให้กับผมมากมายหลายอย่างและทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึก “รัก” ที่ฟ้ามีให้แก่ผม ผมดีใจมาก แม้ว่าตอนนั้นผมจะกลัวว่าฟ้าจะไม่รักผม ถ้าผมทำอะไรไม่ดี แต่นั้นก็เป็นเพียงการคิดมากของผมฝ่ายเดียว แต่สุดท้ายเมื่อเราได้ทำความเข้าใจกันเรื่องจึงผ่านพ้นมาได้ด้วยดี มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รักของเราสองคนเติบโต และเข้มแข็งไม่สั่นคลอน ทว่าย่างเวลาผ่านมา ผมอยากจะบอกกับฟ้ามากว่าผมรักฟ้ามากเพียงใด เพราะชีวิตทั้งชีวิตของผม ไม่มีใครที่จะมีความหมายและคุณค่ามากกว่า “ฟ้า” คนนี้อีกแล้ว

เมื่อใกล้ถึงวัดหยุดสุดสัปดาห์ผมเดินทางไปตลาด ผมซื้ออาหารสำหรับทำกินกัน และซื้ออุปกรณ์เพื่อทำของขวัญทำมือให้ฟ้า ฟ้าคงจะดีใจไม่น้อยที่ผมทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบเด็กๆ ป๊อปปี้เลิฟ ให้กันและกัน ผมมีความสุขมากเลย แต่ก็ต้องแอบทำ และอ้างกับฟ้าว่าผมทำงานอยู่ ไม่มีเวลา เพียงเพราะอยากจะเซอไพร์สให้ฟ้าประหลาดใจและปลื้มกับการกระทำของผม

บอยอยู่ไหน นี่หม่าม้าเองนะ” โทรศัพท์ของหม่าม้าของฟ้า ดังขึ้น และมีเสียงปลายสายเอ่ยขึ้น
ครับ” ผมตอบด้วยเสียสั่น และตกใจ “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามด้วยความมึนงง
ตอนนี้น้องฟ้าอยู่โรงพยาบาล บอยมาหาฟ้าด้วยด่วนเลยนะ” แม่ของฟ้าบอกผม และได้อธิบายว่าควรไปโรงพยาบาลอย่างไร

ผมตกใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้มาก่อนว่าฟ้าไม่สบาย ความสับสนทำให้ผมร้องไห้ ไม่รู้จะคุยกับใคร ใจของผมสั่นไหว ไม่อยู่กับตัวเองเลย ผมรีบนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไปยังโรงพยาบาลเป้าหมาย....

.............. 

ที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน หม่าม้าและญาติของฟ้ายืนร้องไห้อยู่ด้านหน้าห้องผู้ป่วย ผมรีบวิ่งเข้าไปถามเหตุการณ์จากหม่าม้า แล้วจึงได้รู้ว่า ฟ้าเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เด็กแล้ว และพอรักษาตอนช่วงเจ็ดขวบก็หายแต่ไม่รู้ว่ามันจะมากำเริบอีกในปัจจุบันนี้ ซึ่งหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทางที่จะช่วยให้ได้คุณหมอบอกว่าต้องเปลี่ยนหัวใจ

ผมร้องไห้ น้ำตาไหล รู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้มีโอกาสบอกความรู้สึกต่อฟ้า หรือแม้แต่จะขอโทษกับเรื่องราวที่ผมเคยทำให้ฟ้าเสียใจ และที่สำคัญคือผมไม่อยากให้ฟ้าเป็นอะไรไป ชีวิตทั้งชีวิต ใจทั้งหมดใจของผม เป็นของฟ้าหมดแล้ว ผมอยากให้ฟ้ามีชีวิตอยู่ต่อ เพราะฟ้ามีความฝัน อยากเป็นไกด์ อยากเป็นนักเล่นไอซ์สเก็ต อยากเปิดร้านกาแฟ และอยากอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย ช่วยเหลือคนที่ลำบาก คนที่มีความทุกข์ ฟ้าอยากรักษาทุกข์ให้คนอื่นๆ อยากช่วยเยียวยาใจให้คนที่ไร้ทางออกแห่งทุกข์

ผมไม่รู้จะทำยังไงดี จึงได้โทรหาแม่ แม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น และผมก็ได้เล่าให้แม่ฟัง ซึ่งแม่เข้าใจในความรู้สึกของผม และรู้ว่าผมรักฟ้าเพียงใด วันนี้ผมได้ทำทุกอย่างเพื่อแม่และครอบครัวหมดแล้ว แต่ผมไม่ได้ทำอะไรกับฟ้าเลยแม้แต่น้อย ผมมัวทำแต่งาน ไม่มีเวลาให้ฟ้าเลย และยังพาแต่เรื่องกวนใจให้ฟ้าอารมณ์เสียอยู่ตลอด ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี

แม่บอกผมว่าตัดสินใจในสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข แม่ยินดีกับทุกทางเลือกที่ผมเลือก
ส่วนหม้าม่าบอกกับผมว่าหม้าม่าก็ยินดีกับทางที่ผมจะเลือก ขอให้บอกมา ท่านจะไม่ห้าม
ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้ฟ้าได้อ่าน

หลังจากที่เปลี่ยนหัวใจแล้ว ผมคงนอนหลับสงบอยู่ข้างๆ หญิงสาวที่ผมรัก ไม่มีเสียงที่จะพูด ไม่ได้มองใบหน้าแสนน่ารักของฟ้า ไม่ได้สัมผัสกอดฟ้า

ผมคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง และผมขอให้รู้ไว้เลยว่าผมมีความสุขมากกับทางที่ผมเลือก และในสิ่งที่ผมทำนี้ ผมทำมันด้วยความรักและความหวังดีต่อฟ้า อยากให้ฟ้ามีชีวิตที่ทำตามความฝันในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ

ฟ้าจ๋า.....อย่าโกรธพี่นะครับ ที่พี่เลือกที่จะให้หัวใจของพี่กับฟ้า พี่บอยยังไม่โกรธฟ้าเลยที่ฟ้าไม่เคยบอกพี่ว่าฟ้าเป็นโรคหัวใจ ไม่อย่างนั้นพี่คงจะทำเรกิช่วยฟ้าแล้ว แต่พี่ก็เสียใจที่ไม่ได้ช่วยดูแลสุขภาพใจฟ้าเลย พี่เอาแต่ทำงาน มีเวลาให้คนอื่น แต่ไม่เคยมีเวลาให้กับฟ้าเลย พี่รู้ว่าการได้อยู่ด้วยกัน

เราสองคนมีความสุขมาก แม้จะทะเลาะกันบ้าง งอนกันบ้าง แต่เราก็รักและเข้าใจกันเสมอมา วันนี้พี่ซื้อของทำมือมาทำของให้น้องฟ้า แต่พี่ไม่ได้ทำ พี่ขอโทษนะครับ แต่พี่ตั้งใจจะทำหลายอย่างให้ฟ้า พี่อยากจะบอกรักฟ้า อยากจะขอโทษฟ้า อยากให้ฟ้ารู้ว่าฟ้าสำคัญกับชีวิตพี่เพียงใด จากวันแรกที่เราพบกัน จนถึงวันนี้ที่จากกัน พี่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหัวใจของพี่ พี่มั่นคงในความรักที่มีแก่ฟ้า และรู้สึกถึงรักที่ฟ้ามีต่อพี่ตลอดมา ตอนนี้กายพี่ไม่ได้มีอยู่แล้ว ฟ้ากุมหัวใจให้ดีนะครับ ใจพี่อยู่กับฟ้าแล้ว ใจพี่เป็นของฟ้าแล้ว

นับจากวันที่เราพบกัน จนถึงวันที่เราจากกัน และวันที่พี่หลับไป ฟ้าตื่นขึ้นมาแล้ว พบกับชีวิตแห่งความเป็นจริง ใจของพี่เป็นของฟ้าแล้ว มันเหมือนนิยายน้ำเน่า แต่พี่ก็ทำมันจริงๆ อย่าร้องไห้นะจ๊ะคนดี พี่อยู่ข้างฟ้าเสมอ ไม่ว่าวันนี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ฟ้าจะสัมผัสถึงไอรักจากพี่ได้

ฟ้าจ๋า....สานฝันของตัวเองให้สำเร็จ ถ้าหากฟ้าอยากจะรักใคร ขอให้เขาเป็นคนที่รักฟ้า และเขาต้องดูแลฟ้าได้ดีกว่าพี่นะครับ ที่สำคัญเขาต้องมีธรรมะในใจ เป็นคนดีอย่างสม่ำเสมอ และอย่าเป็นคนที่เอาแต่ทำงานๆ จนไม่มีเวลาให้ฟ้าอย่างพี่นะครับ

ขอบคุณธรรมะที่พาให้เราได้มาใช้ชีวิตรักด้วยกัน
ขอบคุณน้องฟ้า ที่เป็นแฟน เป็นเพื่อน เป็นญาติธรรม เป็นทุกๆ สิ่งในชีวิตของพี่
ขอบคุณที่ให้โอกาสพี่ได้รักฟ้า....

เมื่อเวลาพาให้เรามาพบกัน แต่เวลาไม่ได้พรากเราไปจากกัน พี่อยู่กับฟ้าเสมอ ฟ้าเป็นกาย พี่เป็นใจ กาลครึ่งหนึ่งซึ่งเราพบกัน มันจึงทำให้เราไม่เคยจากกันไปไหน

มองไปบนฟ้า แล้วเราจะเจอหน้ากันทุกๆ ลมหายใจนะจ๊ะ

รักฟ้า,
พี่บอย
24 กันยายน 2548

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อได้ยิน...... “ทำไมคุณโง่แบบนี้” “งานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอที่ทำเต็มที่แล้ว” “มีหัวไว้ใส่หมวกเปล่าๆ” สารพัดมากมาย คำด่าทอที่เรามักไม่ชอบ – ในที่นี้ก็มีผมอยู่ด้วยแหละครับ เวลาที่มีใครมาต่อว่า มานินทาในทางร้ายๆ แล้วมักจะต้องเดือดร้อนเป็นฝืนเป็นไฟอยู่เสมอ อืม...คิดในใจ นี่ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราไม่ใช่คนอย่างที่เขาว่านะ..... ขณะที่คำชม อาทิ “คุณทำงานเก่งจัง” “ทำได้แค่นี้ สุดยอดเลยทีเดียว ยอดเยี่ยมมากๆ๐ “คิดได้แค่นี้ ก็เจ๋งเลย” คำพูดชื่นชม เยินยอในทางบวกเหล่านี้ หลายคนไม่ปฏิเสธ หรือไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนคำพูดร้ายๆ หรือลบๆ แต่กลับมองว่าใช่ๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา มีเรื่องอยากเล่าให้พันธกุมภาฟัง... ช่วงที่ห่างหายกันไป พี่ยังติดตามข่าวคราวการทำงาน การเดินทาง และระลึกถึงเธออยู่เสมอ เพียงแค่รู้ว่าเธอสบายดี พี่ก็สบายใจ เมื่อไม่นานมานี้ พี่เดินทางไปเชียงใหม่ ไปกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยบ้าง ไม่คุ้นเคยกันบ้าง หลายคนเคยรู้จักกันมาก่อน หลายคนไม่ได้รู้จัก แม้ว่าจะรู้จักก็ตาม ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงเรื่องด้านในต่อกัน ไม่เหมือนเพื่อนบางคน แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันมากนัก แต่เราก็ยังสนิทใจมากกว่า รู้สึกสัมผัสได้ถึงความอาทรที่มีต่อกัน...อย่างน้อง
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ได้รับจดหมายที่ส่งต่อๆ กันมา (Forward mail) ฉบับด้านล่างนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เพราะนี่เข้าเดือนที่ 6ของปีแล้ว...)“สาส์นจากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008 นี้ แล้ว…คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมากข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี …
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่าเพิ่งตกใจนะครับพี่ที่ผมจะขอระบายเรื่องรัก ให้พี่รับรู้.....
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาอายุ...วัย หากเราเพียงแบ่งแค่ผู้ใหญ่กับเด็กเหมือนกับสังคมทั่วๆ ไปเขามองกัน เราอาจจะมองเห็นคนแค่ 3 กลุ่มในช่วงชีวิต คือเด็ก วัยทำงาน และผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของชีวิต ทั้งการเข้าสู่การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไป เราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่าเราหรืออาจจะต้องนับถือคนที่อายุน้อยกว่าเราแต่มีคุณสมบัติมากกว่าคุณสมบัติทั้งการศึกษา การใช้ภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ พี่ขอเรียกว่าเป็น “คุณสมบัติทางโลก” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “ความดี” ที่เมื่อก่อนได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด ความดีไม่มีอายุ หากแบ่งแยกกับความไม่ดี/…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาหาผมที่บ้าน เราสองคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอมาเจอกันอีกหนจึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบเจอกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อ “นนท์” พี่นนท์ เป็นรุ่นพี่ที่เคยสอนผมเต้นเชียลีดเดอร์ เมื่อตอนเรียนมัธยมต้น อายุของพี่นนท์ห่างจากผม 2 ปี พี่นนท์เป็นคนต่างหมู่บ้าน แต่เราอยู่ในตำบลเดียวกัน ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่นนท์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการพูด ท่าที การแสดงออก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างกรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุด และชอบนินทาคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาคราวนี้พี่นนท์ไม่เหมือนเดิม คือ นิ่งขึ้น ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ทำท่ารุกรี้รุกรนตอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน…
พันธกุมภา
มีนาถึง...ลูกปัดไข่มุกและพันธกุมภาความระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวสดใสอย่างลูกปัดไข่มุก อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องช่างมี “ทาง” ที่ดีเสียจริง น้องได้เติบโตจากครอบครัวที่หล่อหลอมสิ่งที่ดีงามให้ ทั้งการทำบุญ ทาน และเสริมให้สร้างบารมี ต้องขอบคุณแม่และพ่อที่ปูทางที่ดีให้กับลูก หากมีธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าเด็กสาวและคนรุ่นใหม่จะไม่เติบโตอย่างมีรากเหง้า รู้คิด เพราะกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้ “ความรู้” หากยังได้ “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่งความรู้สมัยใหม่ไม่มีความลึกซึ้งพอเมื่อเราปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม เรามักยึดติดกับตัวตน (Ego) และเราไม่ได้พยายามลดมัน…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาผมได้อ่านเรื่องราวของ “ลูกปัดไข่มุก” แล้ว ขออนุโมทนากับน้องอย่างยิ่ง และยังรู้สึกยินดีกับสิ่งที่น้องได้กระทำลงไป และได้พบการหนทางที่จะนำพาความสุข สงบมาให้กับตนเอง เป็นการเรียนรู้จากตัวเอง มากกว่าการเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เล่าให้ฟังสู่กันมาการได้ทำสมาธินั้นได้ช่วยให้น้องได้พบกับจิตที่สงบ และเป็นจิตที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเริ่มปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น สู่การเจริญสติในระดับต่างๆ ต่อไป....จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นรุ่นเดียวกับเราๆ ก็หันมาสนใจเรื่องทางธรรมเยอะเหมือนกันนะ, ช่วงหนึ่งก็มีคนมาถามผมว่า วัยรุ่นสนใจธรรมะเพิ่มขึ้น เป็นกระแสที่ดีแบบนี้ คิดยังไง?…
พันธกุมภา
ลูกปัดไข่มุก ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....   “เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาจุดหมายปลายทาง การเดินทางธรรมของเธอครั้งนี้อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ที่...ซึ่งฉันไม่เคยไป หากหลายคนอยากไป ก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องการเดินทาง หากมักนึกถึงปลายทาง และในที่สุด...แม้รู้ว่าเธออาจจะเดินทางถึงวัดป่าสุคะโตแน่นอน เธอก็น่าจะเรียนรู้ระหว่างทางดังที่เธอเล่าให้เราฟังฉันเคยพูดถึงเรื่องความกลัวระหว่างการเดินทาง “ในความกลัว” มาก่อนแล้ว ด้านหนึ่งฉันนึกเสมอว่า คนธรรมดาทั่วไปอย่างฉัน ร่ำเรียนมาด้วยวิธีคิดแบบมีเป้าหมาย โดยไม่สนใจระหว่างทาง หรือกระบวนการเรียนรู้ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “ระหว่างทาง” เป็นสิ่งสำคัญมาก…