Skip to main content

การได้สังเกตจิตใจของตัวเองตามความเป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตใจนี้มีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยเงื่อนไขชีวิต แล้วยังมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ขุ่นเคือง หงุดหงิด ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขาดสติ เผลอหลงใหลไปกับโลกของความคิดและสิ่งภายนอกใจ


เหตุที่ทำให้เกิดความปรุงแต่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล ล้วนมีเหตุมาจากความไม่รู้ ความทะยานอยาก และความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีอยู่ที่จิตใจของมนุษย์ทุกๆ คน แล้วล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ที่ไม่มีวันจบสิ้น ตราบจนกว่าจะพบหนทางที่เป็นแนวนำใจไปสู่ความหลุดพ้นซึ่งทุกข์


เมื่อใจมนุษย์นั้นมีปกติปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะปรุงแต่งไปในอารมณ์บวกหรือลบ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีสภาพเหมือนกันคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับลง ทว่าเหตุบางครั้งเราก็อดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปจัดการกับอารมณ์ต่างๆ เข้าไปควบคุมไม่ให้อารมณ์ด้านลบเกิดขึ้น และสร้างสิ่งอารมณ์ด้านบวกเข้าไปทดแทน


จิตใจของคนเราก็เปลี่ยนได้เสมือนสายน้ำ ที่ไหลไปสู่เบื้องต่ำ ผ่านมา ผ่านไป วิธีการที่จะทำให้เราไม่ต้องทุกข์ใจไปกับโลกของความคิด ความไม่รู้ ความทะยานอยากหรือแม้แต่ความยึดมั่นถือมั่น ก็คือการรู้แจ้งในทุกข์ เพื่อละสมุทัย และเข้าใจในนิโรธ แล้วดำเนินไปตามมรรค


กล่าวโดยสรุปคือการรู้แจ้งในทุกข์คือรู้ที่รูปนาม กายใจ ที่เกิดขึ้นแปรเปลี่ยนไปในแต่ละขณะๆ ตามความเป็นจริงด้วยใจที่เป็นกลาง ตั้งมั่น ไม่เข้าไปแทรกแซง ยินดี ยินร้าย สังเกตกายใจเสมือนนั่งอยู่บนตลิ่งแลมองสายน้ำที่ไหลผ่านไป จากเหนือสู่ใต้ จากบนสู่ล่าง โดยเราเพียงแค่สังเกตน้ำที่ไหลผ่านมา และผ่านไป อยู่กับที่ ดังการอยู่กับปัจจุบันเพื่อสังเกตกายและใจที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ เช่น จากอยากเป็นไม่อยาก จากโกรธเป็นไม่โกรธ จากหลงเป็นรู้ เป็นต้น


ใจที่ไหลผ่านไป เราไม่ไหลไปตามใจที่ล่วงผ่านไป โดยทวนกระแสใจขึ้นมาอยู่ที่ต้นทาง มาดูต้นจิต ดูให้เห็นตรงจุดเกิดเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย นั้นคือ อวิชชา ความไม่รู้ มาสร้างความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้นก่อน เพื่อเป็นใจที่พร้อมต่อการเจริญวิปัสสนา ตามรู้ความจริงแต่ละขณะๆ ของรูปนามกายใจ เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสรรพสิ่งที่ผ่านมาและผ่านไป อยู่เนืองๆ ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ


ความรู้สึกตัวเป็นต้นทางของการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เป็นต้นทางที่จะพาให้เราทวนกระแสใจ ทวนเข้าไปสู่ความเป็นจริง รู้สึกระลึกได้ถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพื่อเรียนรู้ว่าแท้แล้วกายกับใจนี้ไม่เที่ยง มีความดีเสื่อมเป็นธรรมดา เป็นทุกข์มีสภาพบีบคั้นผ่อนคลายแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา ไม่สามารถบังคับควบคุมได้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


ผมเห็นกายและใจทำงานในแต่ละวัน ไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย ใจที่ไหลแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลาเพราะมีเหตุทำให้เกิด เมื่อหมดเหตุก็ดับลง ไม่มั่นคง ถาวร ไม่แน่นอน เลยแม้แต่น้อย ทำให้เกิดปัญญาเตือนตัวเองอยู่เสมอว่ากายและใจนี้ไม่ใช่เรา เราเป็นที่พึ่งพิงอาศัยในกันและกัน ตอนนี้ ปัจจุบันในแต่ละขณะ เป็นเวลาที่สำคัญที่จะทวนกระแสใจ มารู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ น่าจะทำให้เราทุกข์น้อยลงบ้าง


ผลที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนา คือ มีความละอายต่อการทำไม่ดีทางกายและวาจา ไม่อยากทำร้ายคนอื่น มีความต้องการช่วยเหลือผู้อื่น อยากให้ตัวเองและผู้อื่นได้พ้นจากความทุกข์ และมีจิตใจที่เบิกบาน ไม่เข้าไปยึดมั่น สำคัญในตัวตน และสม่ำเสมอๆในความเพียรสร้างปัญญาและกรุณาให้เกิดอยู่เนืองๆ


สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ย่อมอยู่บนพื้นฐานของเหตุปัจจัยหลายๆ อย่างที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เพียงเราทวนกระแสใจ กลับมาเรียนรู้กายและใจของตัวเอง มีความเพียรรู้สึกตัวแต่ละขณะๆ ด้วยใจที่ตั่งมั่นเป็นกลาง ทั้งในรูปแบบและในชีวิตประจำวัน เราก็จะพบกับความมหัศจรรย์ที่เกิดจากการทวนกระแสใจ ซึ่งเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน....

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อได้ยิน...... “ทำไมคุณโง่แบบนี้” “งานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอที่ทำเต็มที่แล้ว” “มีหัวไว้ใส่หมวกเปล่าๆ” สารพัดมากมาย คำด่าทอที่เรามักไม่ชอบ – ในที่นี้ก็มีผมอยู่ด้วยแหละครับ เวลาที่มีใครมาต่อว่า มานินทาในทางร้ายๆ แล้วมักจะต้องเดือดร้อนเป็นฝืนเป็นไฟอยู่เสมอ อืม...คิดในใจ นี่ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราไม่ใช่คนอย่างที่เขาว่านะ..... ขณะที่คำชม อาทิ “คุณทำงานเก่งจัง” “ทำได้แค่นี้ สุดยอดเลยทีเดียว ยอดเยี่ยมมากๆ๐ “คิดได้แค่นี้ ก็เจ๋งเลย” คำพูดชื่นชม เยินยอในทางบวกเหล่านี้ หลายคนไม่ปฏิเสธ หรือไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนคำพูดร้ายๆ หรือลบๆ แต่กลับมองว่าใช่ๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา มีเรื่องอยากเล่าให้พันธกุมภาฟัง... ช่วงที่ห่างหายกันไป พี่ยังติดตามข่าวคราวการทำงาน การเดินทาง และระลึกถึงเธออยู่เสมอ เพียงแค่รู้ว่าเธอสบายดี พี่ก็สบายใจ เมื่อไม่นานมานี้ พี่เดินทางไปเชียงใหม่ ไปกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยบ้าง ไม่คุ้นเคยกันบ้าง หลายคนเคยรู้จักกันมาก่อน หลายคนไม่ได้รู้จัก แม้ว่าจะรู้จักก็ตาม ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงเรื่องด้านในต่อกัน ไม่เหมือนเพื่อนบางคน แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันมากนัก แต่เราก็ยังสนิทใจมากกว่า รู้สึกสัมผัสได้ถึงความอาทรที่มีต่อกัน...อย่างน้อง
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ได้รับจดหมายที่ส่งต่อๆ กันมา (Forward mail) ฉบับด้านล่างนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เพราะนี่เข้าเดือนที่ 6ของปีแล้ว...)“สาส์นจากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008 นี้ แล้ว…คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมากข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี …
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่าเพิ่งตกใจนะครับพี่ที่ผมจะขอระบายเรื่องรัก ให้พี่รับรู้.....
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาอายุ...วัย หากเราเพียงแบ่งแค่ผู้ใหญ่กับเด็กเหมือนกับสังคมทั่วๆ ไปเขามองกัน เราอาจจะมองเห็นคนแค่ 3 กลุ่มในช่วงชีวิต คือเด็ก วัยทำงาน และผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของชีวิต ทั้งการเข้าสู่การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไป เราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่าเราหรืออาจจะต้องนับถือคนที่อายุน้อยกว่าเราแต่มีคุณสมบัติมากกว่าคุณสมบัติทั้งการศึกษา การใช้ภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ พี่ขอเรียกว่าเป็น “คุณสมบัติทางโลก” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “ความดี” ที่เมื่อก่อนได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด ความดีไม่มีอายุ หากแบ่งแยกกับความไม่ดี/…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาหาผมที่บ้าน เราสองคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอมาเจอกันอีกหนจึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบเจอกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อ “นนท์” พี่นนท์ เป็นรุ่นพี่ที่เคยสอนผมเต้นเชียลีดเดอร์ เมื่อตอนเรียนมัธยมต้น อายุของพี่นนท์ห่างจากผม 2 ปี พี่นนท์เป็นคนต่างหมู่บ้าน แต่เราอยู่ในตำบลเดียวกัน ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่นนท์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการพูด ท่าที การแสดงออก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างกรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุด และชอบนินทาคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาคราวนี้พี่นนท์ไม่เหมือนเดิม คือ นิ่งขึ้น ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ทำท่ารุกรี้รุกรนตอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน…
พันธกุมภา
มีนาถึง...ลูกปัดไข่มุกและพันธกุมภาความระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวสดใสอย่างลูกปัดไข่มุก อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องช่างมี “ทาง” ที่ดีเสียจริง น้องได้เติบโตจากครอบครัวที่หล่อหลอมสิ่งที่ดีงามให้ ทั้งการทำบุญ ทาน และเสริมให้สร้างบารมี ต้องขอบคุณแม่และพ่อที่ปูทางที่ดีให้กับลูก หากมีธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าเด็กสาวและคนรุ่นใหม่จะไม่เติบโตอย่างมีรากเหง้า รู้คิด เพราะกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้ “ความรู้” หากยังได้ “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่งความรู้สมัยใหม่ไม่มีความลึกซึ้งพอเมื่อเราปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม เรามักยึดติดกับตัวตน (Ego) และเราไม่ได้พยายามลดมัน…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาผมได้อ่านเรื่องราวของ “ลูกปัดไข่มุก” แล้ว ขออนุโมทนากับน้องอย่างยิ่ง และยังรู้สึกยินดีกับสิ่งที่น้องได้กระทำลงไป และได้พบการหนทางที่จะนำพาความสุข สงบมาให้กับตนเอง เป็นการเรียนรู้จากตัวเอง มากกว่าการเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เล่าให้ฟังสู่กันมาการได้ทำสมาธินั้นได้ช่วยให้น้องได้พบกับจิตที่สงบ และเป็นจิตที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเริ่มปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น สู่การเจริญสติในระดับต่างๆ ต่อไป....จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นรุ่นเดียวกับเราๆ ก็หันมาสนใจเรื่องทางธรรมเยอะเหมือนกันนะ, ช่วงหนึ่งก็มีคนมาถามผมว่า วัยรุ่นสนใจธรรมะเพิ่มขึ้น เป็นกระแสที่ดีแบบนี้ คิดยังไง?…
พันธกุมภา
ลูกปัดไข่มุก ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....   “เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาจุดหมายปลายทาง การเดินทางธรรมของเธอครั้งนี้อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ที่...ซึ่งฉันไม่เคยไป หากหลายคนอยากไป ก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องการเดินทาง หากมักนึกถึงปลายทาง และในที่สุด...แม้รู้ว่าเธออาจจะเดินทางถึงวัดป่าสุคะโตแน่นอน เธอก็น่าจะเรียนรู้ระหว่างทางดังที่เธอเล่าให้เราฟังฉันเคยพูดถึงเรื่องความกลัวระหว่างการเดินทาง “ในความกลัว” มาก่อนแล้ว ด้านหนึ่งฉันนึกเสมอว่า คนธรรมดาทั่วไปอย่างฉัน ร่ำเรียนมาด้วยวิธีคิดแบบมีเป้าหมาย โดยไม่สนใจระหว่างทาง หรือกระบวนการเรียนรู้ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “ระหว่างทาง” เป็นสิ่งสำคัญมาก…