Skip to main content

มีนา

ถึง พันธกุมภา

อายุ...วัย หากเราเพียงแบ่งแค่ผู้ใหญ่กับเด็กเหมือนกับสังคมทั่วๆ ไปเขามองกัน เราอาจจะมองเห็นคนแค่ 3 กลุ่มในช่วงชีวิต คือเด็ก วัยทำงาน และผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของชีวิต ทั้งการเข้าสู่การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไป เราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่าเราหรืออาจจะต้องนับถือคนที่อายุน้อยกว่าเราแต่มีคุณสมบัติมากกว่า

คุณสมบัติทั้งการศึกษา การใช้ภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ พี่ขอเรียกว่าเป็น “คุณสมบัติทางโลก” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “ความดี” ที่เมื่อก่อนได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด ความดีไม่มีอายุ หากแบ่งแยกกับความไม่ดี/ความชั่ว เท่านั้น

“ธรรม” แห่งพระพุทธองค์ไม่ได้เลือกว่า คนๆ นั้นจะสนใจอะไรในการทำความดี คำว่า “กระแส” สำหรับพี่จึงเท่ากับ “ฮิต” อย่างเช่น กระแสสังคมที่มองว่าวัยรุ่น “เปราะบาง” ป้อนสิ่งใดเข้าไปก็รับง่ายๆ โดยเฉพาะเรื่องไม่ดี  ที่ทำให้ผู้ใหญ่ตกใจและตื่นเต้นมากมาย สิ่งเหล่านี้เห็นอยู่ในหน้าข่าวบ่อยๆ

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ข่าวดีของเด็กมักไม่เป็นที่สนใจและกล่าวถึง ทั้งๆ ที่มีข่าวดีๆ อยู่มาก อย่างเช่น การสอบเข้าเรียนต่อ การได้รับทุนการศึกษา เด็กที่ช่วยเหลือพ่อแม่ทำงาน ฯลฯ แต่ข่าวที่ได้รับความสนใจกลับเป็นเรื่องเด็กวัยรุ่นกระทำความรุนแรง หรือตกเป็นเหยื่อของการถูกกระทำความรุนแรง กลับได้รับความสนใจอย่างมากมาย เช่น เด็กติดเกม เด็กตบตีกันแล้วถ่ายเป็นคลิปมือถือ...แล้วคนรุ่นก่อนหน้านี้ ไม่เคยกระทำความรุนแรงต่อกันเลยหรืออย่างไร ทำไมจึงกล่าวร้ายเฉพาะเด็กวัยรุ่นสมัยนี้เท่านั้น

ในสมัยพุทธกาลก็ยังมีคนที่ทำสงคราม เป็นทหาร เป็นอันธพาล ทั้งๆ ที่มีพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นครูที่ดี สามารถล่วงรู้ถึงการบรรลุธรรมและช่วยชี้แนะให้คนๆ นั้นสามารถเข้าถึงทางธรรมในรูปแบบต่างๆ ได้ ดังเช่น ท่านองคุลีมาร แม้มีบุญมากแต่ก็มีกรรมหนักเช่นกัน พระพุทธองค์ต้องตัดสินใจที่จะช่วยท่านก่อนที่ท่านจะทำกรรมหนักด้วย อีกด้านหนึ่งบุญเก่าที่ท่าองคุลีมารสร้างก็น่าจะถึงเวลาแห่งการบรรลุธรรมแล้ว พระพุทธองค์เพียงกล่าวธรรมที่สะกิดใจท่านว่า “เราหยุดแล้ว...ท่านต่างหากที่ยังไม่หยุด...” หากท่านองคุลีมารไม่มีปัญญา (ปัญญาญาณ) แล้วคงไม่สามารถเข้าถึงธรรมแห่งพระพุทธองค์และเดินทางสายนิพพานได้ถึงที่สุด

ถึงแม้ท่านจะเลือกแล้วว่าจะเลือกเดินทางสายนิพพาน แต่ในระหว่างทางที่ท่านดำเนินเพื่อให้ถึงพระนิพพาน ท่านเองก็ต้องใช้กรรมเก่าที่ท่านได้ทำไว้ เนื่องจากท่านฆ่าคนมากมาย ท่านต้องอดทนกับความเกลียด ความกลัว ความไม่เชื่อถือท่านในฐานะพระอริยบุคคลจากชาวบ้าน ญาติพี่น้องของคนที่ท่านฆ่าตั้งแต่สมัยก่อนบวช

โดยตัวของท่านเอง ท่านก็ต้องปฏิบัติธรรมและเจริญธรรมไม่ต่างกับศิษย์ท่านอื่นๆ ของพระพุทธองค์ เมื่อท่านบิณฑบาตรท่านก็ต้องเผชิญหน้ากับญาติ พี่ น้อง ของคนที่ท่านเคยฆ่า แม้จะเป็นการฆ่าด้วยความหลงผิด ความไม่รู้ ท่านก็ต้องรับในสิ่งที่ตนทำ ซึ่งความน่านับถือท่านองคุลีมารอยู่ตรงที่ ท่านเป็นผู้มีขันติธรรมสูงมาก เมื่อท่านตัดสินใจว่าท่านจะเดินทางธรรม ท่านต้องปล่อยวางจากความโกรธ ลด ละ ความรุนแรง ที่แม้มีคนกระทำกับท่าน หากท่านยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านกระทำกับเขาก่อน หากก็ไม่ได้ทำให้ถึงแก่ชีวิต ทางธรรมที่ท่านเลือกนี้ ท่านต้องรักษาสันติ (peace) เอาไว้ ไม่เพียงแต่ท่านต้องรักษาความสงบภายในใจแล้ว ท่านยังต้องรักษาความสงบสันติที่ท่านจะพึงตอบผู้ที่กระทำกับท่านหรือไม่ด้วย ท่านองคุลีมารน่าจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จากการปฏิบัติไม่น้อย แต่ท่านก็ไม่เคยตอบโต้คนที่กลับมาทำร้ายท่านเลย ไม่ว่าศิษย์แห่งพระพุทธองค์คนใดก็ไม่เคยใช้ฤทธิ์เดชในทางที่ไม่สร้างสรรค์ หรือทำให้ผู้อื่นต้องเดือนร้อน

ธรรมข้อนี้ต่างหากที่พุทธศาสนิกชนมักนำไปใช้แต่เข้าไม่ถึง การต่อสู้กับสิ่งใดๆ ด้วยความสงบสันติ ไม่ใช่เพียงแค่เราบอกคนอื่นว่า เราสู้ด้วย “สันติวิธี” หากแต่ตัวเราต้องสู้กับใจตนเองด้วยความสงบ สันติ และไม่กดอารมณ์ จนกระทั่งระเบิดเช่นเดียวกัน ดังที่ท่านองคุลีมารไม่เคยใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หรือร่างกายตอบโต้คนอื่น หลังจากที่ท่านเลือกเดินทางธรรมอีกเลย

อย่างไรก็ตาม แม้พระพุทธเจ้าจะมีพระสงฆ์ ศิษย์แห่งพระองค์มากมายนับไม่ถ้วน หากก็ยังมีคนอีกมากที่ไม่สามารถเข้าถึงพระธรรมหรือความรู้แห่งพุทธศาสนา ท่านก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนเข้าถึงพระธรรมได้อย่างแท้จริง หลายสังคมที่รับเอาพระพุทธศาสนาไปต่างก็นำกลับไปปรับเพื่อปฏิบัติเพื่อเข้ากับสังคมและวัฒนธรรมของตนเอง และเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา รวมทั้งเงื่อนไขอื่นๆ อีกมากมาย

การที่นนท์และพันธกุมภา “ฮิตธรรมะ” ก็อาจจะเป็นกระแสใหม่ๆ สำหรับวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ใช่วัยรุ่นทุกกลุ่ม เท่าที่เห็นยังมีหนุ่มสาวอีกมากมายที่ตามกระแสอื่นๆ โดยเฉพาะช่วงสอนเอ็นทรานซ์เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย คำติดปากสำหรับทุกคนก็ต้องถามว่า “เรียนที่ไหน...” หากได้คณะและสถาบันที่ตนเองต้องการก็ไม่เครียด ไม่กลุ้มมากนัก แต่ถ้าไม่ได้...ก็ต้องทำใจ ไม่ว่าจะ “สมหวัง” หรือ “ผิดหวัง” ก็ตาม น่าจะเป็นสิ่งที่สอนธรรมให้แก่เรา อย่างน้อยก็สอนให้เรา ปล่อย สอนให้เรา วาง ในสิ่งนั้นๆ ไม่แน่ว่าสิ่งที่เราสมหวังในวันนี้ อาจจะก่อให้เกิดความผิดหวังในอนาคตก็ได้

สมัยที่พี่เรียนในระดับมหาวิทยาลัย ตอนสอบเข้าได้พี่จำได้ว่าเพื่อนๆ ที่มีที่เรียนเป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาล มีความสุขมาก ยิ่งบางคนได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีก สำหรับพี่ ตอนนั้นรู้แต่ว่า เราไม่ต้องเหนื่อยลุ้นอีกแล้ว เรามีที่เรียนแล้ว แต่ใครหลายคนที่ไม่มีที่เรียนก็คงจะทุกข์และเริ่มหาทางใหม่ๆ เพื่อนๆ หลายคนมีความอดทนและต้องคิดค่อนข้างมาก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่มีฐานะดี หลายคนต้องดิ้นรน พ่อแม่ต้องขายบางอย่างเพื่อให้ลูกได้เรียน เพื่อนบางคนพ่อแม่สามารถส่งให้เรียนมหาวิทยาลัยเอกชน พอมีฐานะนิดหน่อยและจัดการกับเรื่องการเรียนได้

เรื่องเรียนเหล่านี้สอนอะไรให้กับพี่?

อาจไม่ต่างกับเด็กสมัยนี้ตรงที่ พี่เรียนรู้ว่าสอบเข้าได้ เพื่อนเรียนรู้ว่าสอบไม่ได้ พี่เรียนรู้ว่าเราน่าจะเห็นอกเห็นใจเพื่อนที่สอบไม่ได้ และเรียนรู้ที่จะรอรับความผิดหวังบางอย่างที่ยังมาไม่ถึง เพื่อนๆ หลายคนที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิดหรือมหาวิทยาลัยเอกชนมักคิดว่า เขาเก่งน้อยกว่าเราและเรียนรู้ที่จะมีความอดทนมากกว่าเรา เลือกได้น้อยกว่าเรา แต่พี่บอกได้เลยว่า...วันนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่า “ประสบความสำเร็จ”

คนทุกคนต่างอยากประสบความสำเร็จ แต่จะมีสักกี่คนที่อยากบอกว่า เราอยากมีความสุขใจ เราเรียนรู้ที่จะมีความสุขได้อย่างไร

การเข้าเรียนของเพื่อนอาจผิดหวังว่าไม่ได้เรียนในสถาบันที่ได้รับการยอมรับจากสังคม แต่อาจจะสมหวังที่มีครอบครัวที่ดี คอยให้กำลังใจและการสนับสนุนไม่ได้ขาดตกบกพร่อง คนที่เข้ามหาวิทยาลัยรัฐได้ อาจจะผิดหวังกับสิ่งที่เลือกแต่ต้องจำใจเรียน หรือพบเพื่อนที่แย่ ครอบครัวต้องขายทรัพย์สินเพื่อมาจุนเจือ

ชีวิตของคนเรามีทั้งสมหวัง ผิดหวัง อยู่ตลอดเวลา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น หากมนุษย์ปราศจากความหวังแล้วก็อาจจะไม่มีการต่อสู้ ดิ้นรนเพื่อให้ได้อะไร ทำไมเราไม่ลองถามตัวเองดูว่า เมื่อคาดหวังแล้วปล่อยวางมันได้ไหม หรืออย่างน้อยรู้เท่าทันตัวเองว่า “อ้อ! นี่มันเป็นความคาดหวังของเรา” ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องทำ ก็อาจจะพอช่วยได้บ้าง ไม่ใช่ว่าชีวิตต้องสมหวัง-ผิดหวัง ตลอดเวลา

ธรรมเริ่มได้ทุกที่ ทุกเวลา เราจะรู้ว่าธรรมง่ายกว่าที่คิด    

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…