อ่านบทกวีชิ้นนี้ทำให้มองเห็นภาพสังคมการเมือง ที่แปรผันอยู่เบื้องหน้าอยู่ลิบๆ หรือว่าสังคมคือความสับสน หรือว่าการเมืองคือความเลวร้าย โดยมีประชาชนเป็นเดิมพัน และทำให้นึกถึงถ้อยคำของเมล็ดพันธุ์เถื่อนนาม ‘ไวล์ดซี๊ด’ ที่บอกเล่าว่า...ทุกวันนี้ เรากำลังล้างไฟด้วยไฟ ไม่ได้ยอมรับความคิดต่าง มองฝ่ายตรงข้ามคือศัตรู |
แม้นการฆ่ามาดหมายว่ากลายผัน
ใครจะเห็นใจใครไม่สำคัญ
แต่ทุกวันโลกร้ายเกินหมายการณ์
ด้วยเหตุผลกลใดไม่อาจรู้
เราต่อสู้กับใครไม่อาจหาญ
มีแตกต่างเรื่องราวอันยาวนาน
เรารอนรานแตกยับกับอะไร
อาจบางทีมีทางอันสร้างสม
ในสังคมสืบสานกาลสมัย
อาจเป็นฉันและเธอเสมอไป
ที่จุดไฟขึ้นก่อต่อต่อกัน
หากเป็นน้ำน้ำจะฉ่ำดั่งลำน้ำ
ใครปลาบปลื้มดื่มด่ำทุกคำสรร
น้ำจะทำลายล้างต่างต่างกัน
ลมจะผันดินจะไหวใครจะเป็น
ไม่อาจรู้รู้แต่ว่าสายตาบอก
ทุกระลอกความรู้สึกที่นึกเห็น
เห็นแต่ความยอกย้อนซ่อนประเด็น
ซ่านกระเซ็นรอบรายอยู่คล้ายคลึง
อาจเป็นเราคือโลก โลกคือเรา
โลกแผ่วเบา เบาแผ่วแล้วอีกหนึ่ง
โลกสะเทือนเลื่อนลั่นหวั่นคะนึง
กระทบถึงกระเทือนเท่าและเราเอง
จู พเนจร