Skip to main content

คำนำ


“...
เวลานี้สังคมไทยมีอาการป่วยอย่างร้ายที่สุด คือ ป่วยทางปัญญา ขอให้พิจารณาดูเถิด เวลานี้ปัญหาสุขภาวะที่น่ากลัวที่สุดคือ ความป่วยทางปัญญา...”


พระพรหมคุณาภรณ์ (.. ปยุตโต) มีนาคม 2551


ท่ามกลางกระแสการคิดค้นเรื่อง “การเมืองใหม่” ซึ่งขณะนี้สังคมบางส่วนเริ่มเห็นภาพราง ๆ บ้างแล้วว่ามันเป็นอย่างไร แต่ยังไม่มีความชัดเจนมากนักว่า สังคมไทยจะก้าวไปสู่สภาพนั้นได้อย่างไร และสมมุติว่าเราสามารถเข้าไปสู่สภาพนั้นได้จริง ๆ แล้ว เราจะรักษาและพัฒนาการเมืองใหม่ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกได้อย่างไร


ในที่นี้ ผมจะขออนุญาตนำเสนอหลักการพื้นฐานมาใช้ตอบคำถามดังกล่าว ผมเรียกหลักการนี้ว่า “กฎ 3 ข้อของการขับเคลื่อนการเมืองใหม่” โดยล้อกับหลักการพื้นฐานว่าด้วยการเคลื่อนที่ของวัตถุที่นักวิทยาศาสตร์รู้จักกันว่า “กฎการเคลื่อนที่ 3 ข้อของนิวตัน (Newton’s Three Laws of Motion)” สำหรับคนทั่วไปคงจะรู้จักนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อนิวตันมาบ้าง จากเรื่องเล่าที่ว่าเขาเป็นผู้ค้นพบกฎแรงโน้มถ่วงของโลกตอนที่ลูกแอปเปิลหล่นใส่หัวนั้นแหละครับ


กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันกับกฎของสังคม


กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันมี 3 ข้อครับ แต่เพื่อให้สอดคล้องกับบทความนี้ผมขอยกเอากฎข้อที่สองมานำเข้าสู่บทเรียนก่อน


กฎข้อที่สองเป็นกฎที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก กฎข้อนี้นอกจากจะใช้อธิบายความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ (เช่น มวลของวัตถุ ความเร่ง และแรงภายนอกที่มากระทำ) ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่แล้ว ยังสามารถบอกได้อย่างแม่นยำว่า วัตถุนั้นจะเคลื่อนไปตามเส้นทางใด ด้วยความเร็วเท่าใดอีกด้วย


ตัวอย่างที่โด่งดังของกฎข้อนี้ก็คือ ใช้อธิบายการหล่นจากที่สูงของวัตถุ (falling body-ขออนุญาตใช้ภาษาอังกฤษนิดหนึ่งเพราะจะได้อรรถรสมากกว่า) โดยอาศัยกฎข้อนี้เราสามารถบอกได้ล่วงหน้าว่า เมื่อเวลาผ่านไปเท่านั้นเท่านี้แล้ว วัตถุนั้นจะจะอยู่ที่ตำแหน่งใด มีความเร็วเท่าใด


อย่างไรก็ตาม ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังแต่เกิดภายหลังนิวตันถึง 3-4 ร้อยปีได้แซวนิวตันว่า “กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันนั้นสามารถใช้อธิบายวัตถุที่กำลังหล่นได้ แต่ไม่สามารถใช้อธิบายคนที่กำลังตกหลุมรัก (falling in love - เทียบกับ falling body) ได้เลย”


แม้ว่าเรื่องนี้เป็นการ “แซว” กันเล่น แต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จิตใจของมนุษย์ตลอดจนพฤติกรรมของสังคมนั้นมีความซับซ้อนกว่ากฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์หรือกฎของนิวตันมากนัก อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า “กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน” กับ “กฎการขับเคลื่อนการเมืองใหม่” ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกัน และมีบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมจะกล่าวเปรียบเทียบกันดังต่อไปนี้ครับ


กฎข้อที่หนึ่ง


กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันข้อ 1 เป็นกฎที่เน้นถึงสภาวะเดิมของการเคลื่อนที่มีใจความว่า “ถ้าไม่มีแรงภายนอกกระทำต่อวัตถุ วัตถุจะอยู่ในสภาวะเดิมของการเคลื่อนที่” กล่าวคือ ถ้าวัตถุอยู่นิ่งก็ยังคงนิ่งอยู่เช่นนั้น และถ้าวัตถุเคลื่อนที่ก็จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ กฎการเคลื่อนที่ข้อ 1 ของนิวตันนี้ ถึงแม้จะมีแรงภายนอกกระทำต่อวัตถุ แต่ถ้าแรงลัพธ์นี้เป็นศูนย์ก็ยังสอดคล้องกับกฎข้อนี้


กฎของนิวตันข้อนี้บางครั้งก็ถูกเรียกว่ากฎของความเฉื่อย (law of inertia-คำว่า inertia แปลว่าเฉื่อยหรือขี้เกียจ) ซึ่งมีความหมายว่า “วัตถุที่เคลื่อนที่อยู่แล้วจะมีความขี้เกียจที่จะหยุด และถ้าวัตถุที่หยุดอยู่กับที่แล้ว ก็ขี้เกียจจะเคลื่อนที่หรือขยับ”


เราสามารถเข้าใจกฎข้อนี้ได้โดยการเปรียบเทียบกับตัวเราเอง เมื่อได้นั่งแล้วก็ขี้เกียจจะลุกหรือขยับตัว ยิ่งเป็นคนอ้วน ๆ แล้วยิ่งเห็นชัดเจน ถ้าเปรียบเทียบกับการเคลื่อนที่ของรถบรรทุก ถ้ารถบรรทุกกำลังแล่นอยู่เมื่อคนขับต้องการจะหยุดรถก็หยุดลำบาก เพราะรถบรรทุกมี “ความเฉื่อยหรือความขี้เกียจมาก” ตรงกันข้ามกับรถมอเตอร์ไซด์ที่ไม่ว่าจะเริ่มเคลื่อนที่หรือจะหยุดสามารถทำได้ง่ายกว่า เพราะ “ความขี้เกียจมีน้อย”


ถ้าเปรียบเทียบการเคลื่อนที่ของวัตถุกับ “การตื่นรู้ในปัญหาสาธารณะของคน” จะพบในทำนองเดียวกับกฎของความเฉื่อย กล่าวคือ “คนที่ไม่เคยเข้าใจหรือไม่เคยรับรู้ปัญหาของสังคมก็ขี้เกียจที่จะรับรู้ ถ้าติดละครก็ติดต่อไป แต่ครั้นเมื่อเขาได้กลายเป็นผู้ที่ตื่นรู้ เข้าใจแล้ว เขาก็จะเป็นผู้เอาการเอางาน ขยันขันแข็งเพื่อกิจการของส่วนรวมชนิดที่ “ขี้เกียจ” จะหยุด จนถึงขั้นยอมเสียสละทุกอย่าง


กฎการขับเคลื่อนการเมืองใหม่ข้อที่หนึ่ง กล่าวว่า “ สังคมใหม่ต้องเป็นสังคมแห่งการแสวงหาความรู้และปัญญา พลเมืองทุกคนต้องเคารพสิทธิและภูมิปัญญาของผู้อื่นและต้องรู้จักปกป้องสิทธิของตนเองและสิทธิของสาธารณะเสมอกัน การเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นหน้าที่ของพลเมืองและต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยสติ ปัญญา ไม่ขึ้นลงตามอารมณ์และกระแสสังคม”


ในกระบวนการขับเคลื่อนทางความคิดเพื่อสังคมใหม่ ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีความเข้าใจในพฤติกรรมความเฉื่อยของมนุษย์ในกฎข้อนี้เป็นอย่างดีจึงจะสามารถทำงานสำเร็จได้


กฎข้อที่สอง


ผมเข้าใจว่ากฎข้อนี้ของนิวตันเป็นเพียงแค่รายละเอียดของกฎข้อที่หนึ่งเท่านั้น ความสำคัญเชิงหลักการยังคงอยู่ที่กฎข้อที่หนึ่ง (ผมเข้าใจเอง อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้) กฎข้อที่สองเป็นเพียงการบอกรายละเอียดว่า วัตถุจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด เร็ว ช้าแค่ไหน


กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันข้อ 2 นี้มีใจความว่า “ถ้ามีแรงลัพธ์หรือแรงสุทธิ  กระทำกับวัตถุหนึ่ง จะทำให้วัตถุนั้นมีความเร่ง ในทิศทางเดียวกันกับทิศทางของแรงนั้น โดยมีขนาดเป็นสัดส่วนกับขนาดของแรงลัพธ์ และผกผันกับมวลของวัตถุนั้น”


คนทั่วไปจดจำกฎข้อนี้อย่างง่าย ๆ ว่า “ผลรวมของแรงกระทำภายนอกเท่ากับมวลคูณกับความเร่ง”


กฎการขับเคลื่อนการเมืองใหม่ข้อที่สอง ผมขอกล่าวสรุปเองว่า “สังคมมนุษย์(รวมทั้งธรรมชาติด้วย) มีความซับซ้อน (complex) ผลรวมของส่วนย่อย ๆ ในสังคม ไม่จำเป็นต้องเหมือนหรือเท่ากับสังคมโดยรวม ปรากฏการณ์ของส่วนย่อยมักจะเป็นแบบไม่เชิงเส้น (nonlinear) ในบางครั้งสิ่งเล็ก ๆ ก็อาจจะสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ขณะเดียวกันสังคมโลกที่คนทั่วไปคิดว่ากว้างใหญ่ไพศาลนั้น ในบางกรณีก็กลับกลายเป็นโลกที่แคบนิดเดียว”


กฎข้อนี้จะว่าเป็นกฎก็ใช่ จะว่าเป็นโลกทัศน์ก็ได้ แต่ทั้งหมดเป็นความจริงที่คนธรรมดาทั่วไปอาจคิดไปไม่ถึง แต่นักคณิตศาสตร์สามารถพิสูจน์และทดลองได้ คนที่มีความเชื่อตามโลกทัศน์ที่ว่า “สิ่งเล็ก ๆ ก็อาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้” จะมีกำลังใจ ไม่ท้อแท้ห่อเหี่ยว และมุ่งมั่นในการทำงาน เพราะเชื่อว่าสักวันหนึ่ง สิ่งที่คนกลุ่มเล็ก ๆ ทำจะกลายเป็นจุดพลิกผัน (tipping point) ให้เกิดการเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ในระดับประเทศได้ แต่คนที่ไม่เชื่ออย่างนั้น เช่น คนที่คิดว่า “กำลังฝนทั่งให้เป็นเข็ม” ก็จะรู้สึกท้อถอยหมดกำลังใจ จนถึงขั้นขี้เกียจจะลุกขึ้นมาเยียวยาสังคมตามกฎข้อที่หนึ่งได้ได้กล่าวไว้


ด้วยขีดจำกัดของเนื้อหา ผมขออธิบายข้อความดังกล่าวเพียงสั้นๆ ด้วยตัวอย่างดังต่อไปนี้


ตัวอย่างแรก ถ้าเรานำกระดาษหนังสือพิมพ์ที่มีขนาดใหญ่มากแผ่นหนึ่ง ครั้งแรกนำกระดาษมาพับครึ่ง ความหนาของกระดาษก็จะกลายเป็นสองเท่าของกระดาษเดิม ครั้งที่สองก็พับอย่างเดิม ความหนาของกระดาษก็จะเป็นสี่เท่า ผมเคยถามนักศึกษาหลายครั้งนับพันคนว่า ถ้าทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถึง 40 ครั้ง กระดาษที่พับได้จะหนาหรือสูงเท่าใด บางคนก็ตอบว่าความหนาเท่าสมุดโทรศัพท์ บ้างก็ว่าสูงเท่าตู้เย็น แต่ความเป็นจริงแล้ว ความสูงของกระดาษนี้จะถึงดวงจันทร์ เรียกว่าเราสามารถปีนกองกระดาษนี้ไปเดินเล่นบนดวงจันทร์ได้เลย และถ้าพับต่อไปอีก 10 ครั้งก็จะสูงถึงดวงอาทิตย์ แต่คงจะปีนไปไม่ได้เพราะร้อนมาก!


ที่คำตอบผิดพลาดไปมหาศาลนี้ ก็เพราะว่ามนุษย์เรามีกรอบความคิดเป็นเชิงเส้น (linear) ที่คิดว่าสิ่งนั้นค่อย ๆ เพิ่มทีละนิด ๆ แต่ความเป็นจริงปัญหานี้เป็นระบบที่ไม่เชิงเส้นที่เพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง


ตัวอย่างที่สอง เป็นเรื่องของการแพร่ของโรคระบาดหรือการแพร่ของข้อมูลข่าวสารในสังคม เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงพิสูจน์ได้รับ นักระบาดวิทยา ตลอดจนนักการตลาดก็ใช้วิธีคิดแบบนี้


สมมุติว่า เริ่มต้น มีคนได้รับซีดีเกี่ยวกับอะไรก็ได้จำนวน 1 ล้านชุด ถ้าแต่ละคนผู้ที่ได้ชมซีดีชุดนี้แล้ว สามารถเล่าเรื่องราวที่อยู่ในซีดีนี้ต่อไปให้กับผู้ที่ยังไม่รู้จำนวน 1 คนภายในเวลาหนึ่งเดือน และเป็นเช่นนี้เรื่อยไป นักคณิตศาสตร์สามารถคำนวณได้ว่าภายในเวลา 5 เดือน ประเทศไทยซึ่งมีประชากรทั้งหมด 65 ล้านคน จะได้รับรู้ข่าวสารชุดนี้จำนวน 45 ล้านคน กรุณาดูกราฟซ้ายมือประกอบ



แต่ถ้าแต่ละคนที่ได้รับทราบแล้วแล้ว “ขี้เกียจ” โดยลดความสามารถในการแพร่ลงมาเหลือเพียงครึ่งเดียว คือ แต่ละเดือนสามารถเล่าต่อให้กับที่ยังไม่เคยทราบเพียง 0.5 คน เราพบว่าในเวลา 5 เดือน (เท่าเดิม) จำนวนผู้ที่ได้รับข่าวนี้ทั้งหมดจะมีเพียง 10 ล้านคนเท่านั้น


คนทั่วไปอาจคิดว่า ถ้าลดความขยันในการเผยแพร่ลงมาครึ่งหนึ่งของของเดิมแล้ว ผลงานจะลดลงมาครึ่งหนึ่งด้วย แต่นักคณิตศาสตร์พบว่า จำนวนผู้ได้ลดลงจาก 45 ล้านคนมาเหลือเพียง 10 ล้านคน หรือลดลงถึง 4.5 เท่าตัว ไม่ใช่สองเท่าตัว

นี่เป็นเพราะอิทธิพลของสิ่งที่เราเรียกว่า ระบบไม่เชิงเส้น ที่ไม่ค่อยจะมีในความคิดของคนทั่วไป แต่มีอยู่จริงในธรรมชาติทั่วไปครับ


เรื่อง ผลรวมของส่วนย่อยไม่จำเป็นต้องเท่ากับผลของระบบใหญ่ทั้งหมด เรื่องนี้อธิบายยากในเวลาอันจำกัด พลังความคิดของแต่ละคนมีอยู่อาจจะไม่สูงมาก แต่เมื่อนำมาสู่กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์อาจจะมีพลังมากกว่าผลบวกของพลังที่แต่ละคนมีก็ได้ บางคนเรียกปรากฏการณ์เช่นนี้ว่า synergy


ในการแข่งขันเทนนิส กติกาที่ใช้ไม่ใช่กติกาแบบเชิงเส้น ผู้ชนะอาจจะได้ผลรวมของเกมส์น้อยกว่าผู้ที่แพ้ก็ได้ (เช่น 0-6, 6-4, 6-3, ผู้ชนะได้เพียง 12 เกมส์แต่ผู้แพ้ได้ 13 เกมส์) ในการเล่นแต่ละลูกหรือแต่ละเกมส์จะมีผลหรือความสำคัญต่อการแข่งขันไม่เท่ากัน เช่น เมื่อจำนวนเกมส์ของผู้เล่นที่ตกเป็นรองมาอยู่ที่ 1 ต่อ 3 เกมส์กับอีกกรณีที่เป็น 3 ต่อ 5 เกมส์ แม้ผลต่างของจำนวนเกมส์จะเท่ากัน แต่สถานการณ์อันตรายของผู้ตกเป็นรองในกรณีหลังมีสูงกว่ามาก


นี่แสดงว่า การกระทำเดียวกันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงไม่เท่ากัน ผลรวมของส่วนย่อย ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับผลรวมของส่วนใหญ่ และแต่ละลูกที่เล่นมีความสำคัญไม่เท่ากัน ต่างกับกติกาการแข่งขันฟุตบอลที่ผมคิดว่าเป็นเชิงเส้น แต้มสุดท้ายของกีฬาฟุตบอลไม่ใช่แต้มตัดสินการแพ้-ชนะเสมอไป แต่ในกีฬาเทนนิสใช่


นิทานอีสบเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียว เริ่มต้นจากคุณป้าผู้หนึ่งทำน้ำผึ้งหกไว้บนโต๊ะกาแฟ บังเอิญมดมากินน้ำผึ้ง บังเอิญจิ้งจกมากินมด แมวมากินจิ้งจก หมามากัดแมว เจ้าของหมากับเจ้าของแมวรวมทั้งญาติ ๆ ของเจ้าของก็ยกพวกตีกันเป็นจลาจลใหญ่ไปทั้งหมู่บ้าน


คดีทุจริตการซื้อที่ดินรัชดาที่นำไปสู่การตัดสินจำคุกอดีตนายกรัฐมนตรีครั้งแรกของประเทศไทยก็มาจากการทำงานของข้าราชกลุ่มเล็ก ๆ ที่ชื่อ “กลุ่มเป่านกหวีด” ที่ประสานกับฝ่ายต่างๆ อย่างลงตัวและได้จังหวะ

ในประเด็นที่ว่า บางกรณีก็กลายเป็นโลกที่แคบนิดเดียว เรื่องนี้ได้มีการคิดค้นทางทฤษฎีและทดลองโดยนักคณิตศาสตร์กลุ่มหนึ่งตั้งแต่ปี พ.. 2472 เรื่อยมาจนถึงปี 2544 ศาสตราจารย์ Duncan Watts แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียจนได้ข้อสรุปว่า “โดยเฉลี่ยแล้วมนุษย์ทั้งโลกนี้ห่างกันเพียง 6 ช่วงของการติดต่อสื่อสารเท่านั้น (Six Degrees of Separation)”


หมายความว่า ถ้าเราจะติดต่อหรือจะฝากของสักชิ้นไปถึงใครสักคนบนโลกใบนี้ ขอให้เพียงเรารู้จักชื่อและรู้จักอาชีพที่เขาทำ รู้ที่อยู่เพียงเคร่าๆ แม้ไม่รู้จักที่อยู่ที่ชัดเจน เราก็สามารถติดต่อถึงเขาได้โดยการส่งต่อๆ ไปไม่เกิน 6 ครั้ง ของชิ้นนั้นก็จะถึงมือคนที่เราต้องการได้


มีเรื่องเล่าว่า เคยมีอาจารย์ชาวเยอรมนีคนหนึ่ง ต้องการจะติดต่ออาจารย์คณิตศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัยคนหนึ่งในเมืองไทย ปรากฏว่าเขาติดต่อทางโปรแกรมกูเกิ้ลเพียง 2 ครั้งเท่านั้น นี่เป็นการยืนยันว่าโลกใบนี้แคบนิดเดียว


เมื่อเราพบว่าโลกนี้แคบอย่างนี้แล้ว ทำให้เราเกิดกำลังใจในการทำงานหรือเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ไหม? และเมื่อเราต้องการจะให้ใครได้รู้อะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป


การเมืองใหม่จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการรวมกลุ่มของพลเมืองคนเล็กคนน้อยที่กระจัดกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ บางกลุ่มอาจสนในเรื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ บางกลุ่มอาจคุ้มครองผู้บริโภค บางกลุ่มอาจจะต้านการคอร์รัปชัน แต่กลุ่มเหล่านี้จะต้องประสานกันเมื่อถึงคราวจำเป็น


เพื่อให้การทำงานของแต่ละข่ายงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ละข่ายจะต้องมีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ ผู้ประสานงาน(ที่มีมนุษย์สัมพันธ์เข้ากับทุกคนได้) นักวิชาการ(ที่ทำงานเชิงลึก เรื่องยากๆ) และโฆษกที่สามารถแปลงเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่สังคมสามารถเข้าใจได้ เครือข่ายเหล่านี้จะต้องมีการสื่อสารต่อสาธารณะวงกว้าง โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่เรียกว่า การเชื่อมต่อแบบไอเพอร์ (hyperconnected)

ดังนั้น การทำงานเพื่อนำไปสู่การเมืองใหม่จึงเป็นการทำงานซับซ้อนและต้องอาศัยศิลป์มากมายแต่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อหรือโลกทัศน์ตามกฎข้อที่สองที่กล่าวมาแล้ว


กฎข้อที่สาม


กฎการเคลื่อนที่ข้อ 3 ของนิวตันมีใจความว่า “ทุกแรงกิริยา (action) ย่อมมีแรงปฏิกิริยา (reaction) ขนาดเท่ากันโต้ตอบในทิศตรงข้ามกันเสมอ” ผมแอบนำรูปที่ค้นได้จากวิกีพีเดียมาลงให้ดูแรงทั้งสองที่ผลักกันด้วยครับ คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากสำหรับกฎของนิวตันข้อนี้



แต่กฎการขับเคลื่อนการเมืองใหม่ข้อที่สาม ผมคิดว่าเราจะต้องคิดใหม่ คนที่ตื่นรู้แล้วจะต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาและออกแรงให้มากกว่าแรงที่เคยทำให้สังคมเสื่อมทรุด ไม่เพียงแต่จะต้องออกแรงให้มากกว่า แต่จะต้องเป็นผู้ริเริ่มคิดค้นมิติใหม่ ๆ มาสร้างสรรค์สังคมใหม่ การเมืองใหม่ พลเมืองต้องเป็นฝ่ายกระทำ ไม่ใช่เป็นผู้ถูกกระทำ


สรุป


เพื่อให้เกิดกำลังใจในการขับเคลื่อนสู่สังคมใหม่ ผมขอนำคำบรรยายของพระพรหมคุณาภรณ์มาเสนอปิดท้าย ท่านได้กล่าวว่า ถ้าสังคมล้ม คนต้องลุกขึ้นมาแก้ไข . . .ตอนแรกเมื่อคนป่วยเป็นราย ๆ สังคมต้องช่วยแก้ไข แต่ถ้าสังคมป่วยเอง คนต้องตั้งหลักให้ได้ แล้วมาแก้ไข หมายความว่า เราต้องมาชวนกัน ทุกท่านทุกคนมาช่วยกันบำบัดเยียวยารักษาสังคม”


พอยกตัวขึ้นมาเป็นผู้กระทำเท่านั้นแหละ ความรู้สึกเบื่อหน่ายละห้อยละเหี่ยก็จะหายไปทันที ถ้าไม่หมดก็แทบจะหมดไปเลย ความเจ็บป่วยทางอารมณ์ก็หายไป สุขภาวะทางจิตใจก็กลับคืนมาและดีขึ้นๆ พร้อมกับความงอกงามของสุขภาวะทางปัญญา”


นอกจากบทความนี้ได้นำเสนอกฎ 3 ข้อในการขับเคลื่อนสู่การเมืองใหม่แล้ว ยังมีพลังใจจากพระคุณเจ้ามาฝากอีกด้วย ขอบคุณครับ.



บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
    “คดีโลกร้อน” เป็นชื่อที่ใช้เรียกคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกป่า ผู้บุกรุกต้องชดใช้ค่าเสียหาย  ที่ผ่านมามีเกษตรกรถูกฟ้องดำเนินคดีไปแล้วหลายสิบรายทั่วประเทศ ในช่วงปี 2549-52 ในจังหวัดตรังและพัทลุงมีราษฎรถูกดำเนินคดีไปแล้ว 13 ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินคดี 6 ราย กรมอุทยานฯ ได้เรียกค่าเสียหาย 20.306 ล้านบาท แต่ศาลพิพากษาให้จ่าย 14.76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ประสาท มีแต้ม
    ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดค้นโครงการประชานิยมหลายอย่าง คาดว่าจะประกาศรายละเอียดภายในต้นปี 2554   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ทำไปทำมานโยบายประชานิยมที่เริ่มต้นอย่างประปรายตั้งแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช (2518) และเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว บทความนี้จะกล่าวถึงนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้ารายย่อยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (2551) และใช้ต่อกันมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตด้วย ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในชนบท…
ประสาท มีแต้ม
    คำนำ เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง “ความเหลื่อมล้ำ” …
ประสาท มีแต้ม
  “...ถ้าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น 1 องศาเซียลเซียส ความถี่ที่จะเกิดพายุชนิดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 31% ... ในปี พ.ศ. 2643 อุณหภูมิดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 องศา”   “ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก ทั้งนี้ภายในก่อนปี พ.ศ. 2608”  
ประสาท มีแต้ม
ขณะนี้ทางรัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ.) กำลังเสนอให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกกะวัตต์  ชาวหัวไทรที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อาจเกิดความสงสัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า 1.โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มันใหญ่เท่าใด ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้จะใช้ได้สักกี่ครอบครัวหรือกี่จังหวัด
ประสาท มีแต้ม
    คำว่า “ไฟต์บังคับ” เป็นภาษาในวงการมวย  หมายความว่าเมื่อนักมวยคนหนึ่ง(มักจะเป็นแชมป์) ถูกกำหนดโดยองค์กรที่เกี่ยวข้องว่า ครั้งต่อไปนักมวยคนนี้จะต้องชกกับใคร จะเลี่ยงไปเลือกชกกับคนอื่นที่ตนคิดว่าได้เปรียบกว่าไม่ได้
ประสาท มีแต้ม
  ๑.  คำนำ บทความนี้ประกอบด้วย 6 หัวข้อย่อย ท่านสามารถอ่านหัวข้อที่ 6 ก่อนก็ได้เลย เพราะเป็นนิทานที่สะท้อนปัญหาระบบการศึกษาได้ดี เรื่อง “โรงเรียนสัตว์”   ถ้าท่านรู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของนิทานดังกล่าว (ซึ่งทั้งแสบ ทั้งคัน) จึงค่อยกลับมาอ่านหัวข้อที่ 2  จนจบ หากท่านไม่เกิดความรู้สึกดังกล่าว  ก็โปรดโยนทิ้งไปได้เลย ๒. ปัญหาของการศึกษากระแสหลักคืออะไร
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ชื่อบทความนี้อาจจะทำให้บางท่านรู้สึกว่าเป็นการทอนพลังของการปฏิรูป ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ แต่ผมขอเรียนว่า ไม่ใช่การทอนพลังครับ แต่เป็นการทำให้การปฏิรูปมีประเด็นที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ง่าย รวดเร็ว  เมื่อเทียบกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย ปฏิรูปการศึกษาที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ผมได้ตรวจสอบประเด็นของการปฏิรูปของคณะกรรมการชุดที่คุณหมอประเวศ วะสี เป็นประธานแล้วพบว่า ไม่มีประเด็นเรื่องนโยบายพลังงานเลย บทความนี้จะนำเสนอให้เห็นว่า (1) ทำไมจะต้องปฏิรูปนโยบายพลังงานในทันที  (2) จะปฏิรูปไปสู่อะไร และ (3) ทำอย่างไร เริ่มต้นที่ไหนก่อน  …
ประสาท มีแต้ม
“ในการเดินทาง เรามักใช้ยานพาหนะช่วย   แต่ในการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical) เราใช้อะไรเป็นเครื่องมือหรือเป็นพาหนะ”
ประสาท มีแต้ม
“คุณรู้ไหม คนเราสามารถคิดได้เร็วกว่าที่อาจารย์พูดถึงสี่เท่าตัว ดังนั้น เราสามารถฟังและจดโน้ตดี ๆ ได้”   1.    คำนำ ในแต่ละปีผมพบว่า นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง (ซึ่งยังสด ๆ และมองชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสดใสอยู่) จำนวนมากใช้วิธีจดเลคเชอร์ของแต่ละวิชาลงในสมุดเล่มเดียวกัน  เมื่อสอบถามได้ความว่า ค่อยไปลอกและทั้งปรับปรุงแก้ไขลงในสมุดของแต่ละวิชาในภายหลัง  
ประสาท มีแต้ม
1.    คำนำ เราคงยอมรับร่วมกันแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงทั้งในระดับความคิด ความเชื่อทางการเมือง และวัฒนธรรมซึ่งนักสังคมศาสตร์จัดว่าเป็นโครงสร้างส่วนบน และความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม  ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างทั้งสองระดับนี้กำลังวิกฤติสุด ๆ จนอาจพลิกผันนำสังคมไทยไปสู่หายนะได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้เป็นปกหน้าและหลังของเอกสารขนาดกระดาษ A4 ที่หนาเพียง 16 หน้า แม้ว่าหลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับศัพท์แสงที่ปรากฏ แต่ผมเชื่อว่าแววตาและท่าทางของเจ้าหนูน้อยในภาพคงทำให้ท่านรู้สึกได้ว่าเธอทึ่งและมีความหวัง บรรณาธิการกรุณาอย่าทำให้ภาพเล็กลงเพื่อประหยัดเนื้อที่ เพราะจะทำให้เราเห็นแววตาของเธอไม่สดใสเท่าที่ควร เอกสารนี้จัดทำโดย “สภาเพื่ออนาคตโลก” หรือ World Future Council (WFC) ค้นหาได้จาก www.worldfuturecouncil.org