คำว่า “การศึกษาทางเลือก” เป็นคำที่ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่ขณะนี้สภาผู้แทนราษฎรยังไม่ได้ออกกฎหมายมารองรับแต่อย่างใด
สภาการศึกษาทางเลือกจึงเกิดขี้นชนิดที่เป็น “ไฟต์บังคับ” ดังที่กล่าวแล้ว
ท่านผู้อ่านอาจจะเริ่มสงสัยว่า “การศึกษาทางเลือก” คืออะไร ผมขอเรียนว่า นอกจากจะเป็นคำถามที่ตอบยากในเนื้อที่อันจำกัดแล้ว ในที่ประชุมเองก็กำลังครุ่นคิด ถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในเรื่องนิยามนี่แหละครับ
ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนหนึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่สังคมไทยรู้จักกันดี เช่น คุณพารณ อิสรเสนา ณ อยุธยา (วัยกว่า 80 ปี) แห่งโรงเรียนดรุณสิขาลัย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา แห่งโรงเรียนสัตยาไสย รศ. ประภาภัทร นิยม ผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่งอรุณ คุณครูรัชนี ธงไชย ผู้ก่อตั้งโรงเรียนหมู่บ้านเด็กเมื่อ 30 ปีมาแล้ว เป็นต้น
ดร.อาจอง กล่าวว่า “ระบบการศึกษาไทยล้มเหลวมาตลอด เพราะเน้นการสร้างคนเก่ง เน้นการแข่งขันเพื่อเอาชนะ มีการกวดวิชากันมาก แต่คนเก่งก็สร้างปัญหาเพื่อเอาชนะคนอื่นให้ได้ ปัญหาของประเทศนี้มาจากคนเก่ง ความจริงเด็กทุกคนมีศักยภาพ ถ้าเราพัฒนาเขาถูกต้อง แต่ถ้าเราให้เขาศึกษาตามที่เราชอบ เขาก็จะไม่รู้จักตนเอง”
รศ.ประภาภัทร กล่าวว่า “เพราะกระทรวงศึกษาธิการเป็นอย่างนี้ จึงได้ผลักให้พวกเราต้องมาอยู่ในที่ประชุมแห่งนี้ เราต้องมาจัดการศึกษาทางเลือกของพวกเราเอง”
หากพิจารณาในภาพรวม จากรายงานสภาวะการศึกษาไทยปี 2551/2552 ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง บทบาทการศึกษากับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม โดย รศ.วิทยากร เชียงกูล ได้สรุปไว้อย่างชัดเจนว่า
ข้อมูลเหล่านี้คงมีเหตุผลพอที่จะทำให้คนจำนวนหนึ่งต้องลุกขึ้นมาจัดการศึกษากันเอง และบางส่วนได้ทำมาอย่างยาวนานแล้วด้วย
ข้อมูลล่าสุดที่ผมได้รับ พบว่า คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของเด็ก ม.6 ทั่วประเทศ เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 18% ทำนองเดียวกัน ภาควิชาที่ผมทำงานอยู่ได้จัดทดสอบความรู้คณิตศาสตร์เบื้องต้นให้กับนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง(ที่สอบเข้ามาได้แล้ว) ก็สอบเป็นการวัดความรู้เบื้องต้นจริง ๆ แค่บวก ลบเศษส่วน การกระจายวงเล็บและแทนค่าฟังก์ชัน ผลการทดสอบพบว่า มีนักศึกษาผ่านระดับ 50% เพียงแค่ร้อยละ 19 จากทั้งหมดประมาณ 600 คน
เท่าที่ผมทราบจำนวนครอบครัวที่ไม่ยอมส่งลูกไปโรงเรียนและเปิดสอนด้วยตนเอง ที่บ้าน (homeschooling) นั้นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสหรัฐอเมริกาเองก็มีจำนวนถึงกว่า 2 ล้านคนหรือกว่า 2.7% ของเด็กทั้งหมด
สิ่งที่ผมประทับใจมากและนำมาเล่าในที่นี้ก็คือ เหตุการณ์ระหว่างพักการประชุม ผู้จัดได้นำวิดีโอซึ่งเป็นหนังสารคดีสั้น ๆ ออกมาฉาย คือเรื่อง Children Full of Life ซึ่งผมขอแปลว่า “โรงเรียนชีวิตของเด็กญี่ปุ่น” ท่านผู้อ่านสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เนตได้ที่ (http://www.arsomsilp.ac.th/?p=3298) ซึ่งเป็นความกรุณาของสถาบันอาศรมศิลป์ โดยมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ พร้อมด้วยคำบรรยายสั้น ๆ พอเข้าใจด้วยอักษรไทย
ผมตัดสินใจนำเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะต้องการขยายผลครับ สิ่งดี ๆ เราต้องช่วยกันขยายครับ
เหตุเกิดกับชั้นเรียนชั้น ป 4/1 โรงเรียนแห่งหนึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงโตเกียว ถ่ายทำเมื่อปี 2546 ผู้ถ่ายได้นำกล้องไปติดไว้ในชั้นเรียนตลอดทั้งปี ดังนั้นท่าทางการแสดงออกของเด็ก 10 ขวบจึงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่ใช่การแสดง แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง สารคดีชิ้นนี้ผลิตโดย NHK และได้รับรางวัล Global Television Grand Prize
ครูประจำชั้นได้ตั้งเป้าหมายพื้นฐานไว้ว่า ในชั้นเรียนผู้เรียนต้องมีความสุขและเราจะร่วมกันดูแลคนอื่นได้อย่างไร
ด้วยกระบวนการเช่นนี้เด็ก ๆ ได้เริ่มต้นเพื่อทำให้เห็นจริงถึงความสำคัญของการเอาใจใส่ผู้อื่น ครูคานาโมริบอกว่า “ความรู้สึกที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก”
ผมจดคำพูดนี้มาได้ตั้งแต่การชมครั้งแรก ผมพูดในเวทีการศึกษาทางเลือกว่า ประโยคที่ว่านี้ไม่สามารถสอนกันได้ด้วยตำราเล่มใดในโลก นอกจากการเผชิญกับประสบการณ์จริง
เด็กคนหนึ่งพูดถึงความตายของย่าของตน ส่งผลให้เด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งต้องสูญเสียพ่อของเธอ แต่เธอไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เธอเก็บความทุกข์มาครึ่งชีวิตเพราะเกรงว่าเพื่อนจะรู้ว่าตนไม่มีพ่อเหมือนเพื่อน ๆ คนอื่น แต่หลังจากนั้นเธอก็กล้าพูดถึงพ่อของเธออย่างภูมิใจและมีความสุข กระบวนการเปลี่ยนแปลงตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมากๆ
มีอยู่ตอนหนึ่ง เด็ก ๆ ตื่นเต้นมากที่จะได้ล่องแพที่พวกเขาร่วมกันทำมันขึ้นมาเอง หลายคนสมัครใจมาโรงเรียนเช้ากว่าปกติเพื่อมาทำกิจกรรมทำแพ
แต่มีเรื่องที่คิดไม่ถึงเกิดขึ้น เมื่อเด็กคนหนึ่งถูกครูทำโทษไม่ให้ล่องแพเพราะชอบคุยในชั้นเรียน ครูเตือนแล้วก็ไม่ฟัง ปรากฎว่าเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของครู
“มันเป็นเรื่องอันตรายมากที่ จะลุกขึ้นมาท้าทายกับอำนาจ” แต่เพื่อน ๆ ก็มีความกล้าที่จะแสดงเหตุผลกับครู
สารคดีชุดนี้มี 5 ตอน แต่ละตอนยาวไม่ถึง 10 นาที แม้บางตอนผมได้ชมมา 3 ครั้งแล้ว แต่ก็ยังอยากดูอีก เพราะยังเก็บรายละเอียดที่สำคัญได้ไม่หมด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจับมาได้ก็คือ ในชั้นเรียนเด็ก ๆ นั่งกันตามสบาย บางคนวางเท้าบนเก้าอี้ ครูก็ไม่ว่าอะไร
อย่าลืมนะครับ ติดตามชมสารคดีรางวัลระดับโลกกันแล้วจะเกิดแง่คิดทางปัญญาที่ลึกซึ้งของชีวิตสำหรับคนทุกคนทุกวัย ไม่ใช่เฉพาะกับเด็กเท่านั้น