ชื่อบทความนี้อาจจะทำให้บางท่านรู้สึกว่าเป็นการทอนพลังของการปฏิรูป ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ แต่ผมขอเรียนว่า ไม่ใช่การทอนพลังครับ แต่เป็นการทำให้การปฏิรูปมีประเด็นที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ง่าย รวดเร็ว เมื่อเทียบกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย ปฏิรูปการศึกษาที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล
ผมได้ตรวจสอบประเด็นของการปฏิรูปของคณะกรรมการชุดที่คุณหมอประเวศ วะสี เป็นประธานแล้วพบว่า ไม่มีประเด็นเรื่องนโยบายพลังงานเลย
บทความนี้จะนำเสนอให้เห็นว่า (1) ทำไมจะต้องปฏิรูปนโยบายพลังงานในทันที (2) จะปฏิรูปไปสู่อะไร และ (3) ทำอย่างไร เริ่มต้นที่ไหนก่อน
เรื่องนโยบายพลังงานไม่ใช่เป็นเดียวโดด ๆ ทีจำเป็นสำหรับกิจกรรมมนุษย์ยุคปัจจุบัน แต่มันเกี่ยวข้องกับปัญหาความยากจน คนว่างงาน การทำลายแหล่งทำมาหากินของชาวชนบท รวมทั้งปัญหาโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหาแก้ไม่ตกของคนทั้งโลก
เพื่อความกระจ่างขึ้น ผมขอขยายความเป็นข้อ ๆ ดังนี้
ข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงขนาดของปัญหาเท่านั้น แต่ได้ชี้ให้เห็นว่า ความรุนแรงของปัญหาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย
(2) แหล่งพลังงานฟอสซิลที่รวมศูนย์ (ซึ่งได้แก่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน) ทำให้คนตกงานจำนวนมาก เฉพาะกิจการน้ำมันและกิจการไฟฟ้า (ที่มีขนาดถึง 11.1% และ 4.3% ของรายได้ประชาติ) พบว่ามีการจ้างแรงงานรวมกันไม่ถึง 1% ของแรงงานทั้งประเทศ ตัวเลขนี้ได้คิดรวมเด็กที่ทำงานตามปั๊มน้ำมันทั่วประเทศประมาณ 2 แสนคนเข้าไปแล้ว
(3) พลังงานไม่เพียงแต่เป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ เช่น สหรัฐบุกอิรัก เท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับชุมชนของแต่ละประเทศอีกด้วย ระหว่างชุมชนด้วยกันเอง เช่น เขื่อนปากมูลเพื่อการผลิตไฟฟ้าได้ทำให้ประชาชนต้องอพยพกว่า 1,700 ครอบครัว ผลผลิตการประมงลดลง 80% นอกจากนี้ชาวแม่เมาะ มาบตาพุด ชาวระยอง และ ชาวจะนะ จังหวัดสงขลา ก็กำลังได้รับผลกระทบทางระบบหายใจ มะเร็ง ดังที่เป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ คงไม่ต่างกันมากนักกับสงครามที่ใช้อาวุธที่มองเห็น
ปัจจุบันนี้ ทางรัฐบาลกำลังมีแผนการจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขึ้นมาใหม่ถึง 6 โรง ทั้ง ๆ องค์กร กรีนพีช พบว่า ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่สกปรกที่สุดในโลก ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ก็ชี้ชัดลงไปแล้วว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในบรรดากิจกรรมทั้งหลายของมนุษย์
(4) พลังงานฟอสซิลเป็นพลังงานที่พ่อค้าจำนวนน้อยรายสามารถผูกขาดได้ นอกจากจะทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างไร้เหตุผลแล้ว ยังก่อให้เกิดมลพิษต่อชุมชนท้องถิ่นจำนวนมาก เป็นการขยายช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนมากขึ้น
จากรายงานการศึกษาของ UNDP หน่วยงานเพื่อการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ พบว่า ช่องว่างระหว่างคนรวยที่สุด 20 % แรกกับคนจนที่สุด 20% ล่างสุดของประเทศไทยห่างกันถึง 13-15 เท่า ในขณะที่ของประเทศเพื่อนบ้านอยู่ระหว่าง 9-11 เท่า (ญี่ปุ่นและสแกนดิเนเวียร์ เพียง 3-4 เท่า)
จากบทความเรื่อง The Battle for Thailand ของ Warren Bello พบว่า เพียงช่วง 30 ปีของการพัฒนา (ในทศวรรษที่ 1960 ถึง 1990) ได้ทำให้รายได้ของคนในภาคการเกษตรลดลงจาก 1 ใน 6 เหลือเพียง 1 ใน 12 ของภาคส่วนอื่น
เว็บไซต์ nationmaster.com ที่อ้างถึงงานศึกษาจาก 141 ประเทศทั่วโลกพบว่า แหล่งน้ำจืดในประเทศไทยมีค่าออกซิเจนที่ละลายในน้ำเฉลี่ยต่ำที่สุดในโลก คืออยู่ในระดับที่ทำให้ปลารู้สึกเครียด นั่นแปลว่า ทั้งแหล่งอาหารโปรตีนและแหล่งรายได้ของชาวชนบทต้องอัตคัดขัดสนตามไปด้วย
แม้ว่าสาเหตุของปัญหาค่าออกซิเจนละลายในน้ำต่ำจะมาจากภาคอุตสาหกรรมและภาคคนในเมืองด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคพลังงานก็มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก
(5) การรวมศูนย์กิจการพลังงานที่มีลักษณะผูกขาด ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อโอกาสในการฉ้อราษฎร์บังหลวงได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคิดโครงการใหม่ การหวังค่านายหน้าที่ดิน การวางแผนที่ไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ รวมถึงการกำหนดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นที่ประชาชนไม่มีอำนาจใดๆ ไปต่อรอง ย่อมส่งผลต่อความไม่เป็นธรรมในสังคมที่สามารถสัมผัสได้
(6) การจ้างคนให้มาทำงานเพื่อการประหยัดพลังงานก็เป็นอีกประเด็นที่คุ้มค่าการจัดหาพลังงาน
นี่คือเหตุผล 6 ประการที่เชื่อมโยงถึงกันหมดดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ที่อยากจะเรียนย้ำอีกครั้งก็คือว่า มันมีขนาดใหญ่มากและเป็นรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้จริง
ถ้าเราใคร่ครวญทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมาแล้ว เราก็สามารถทราบได้ทันทีว่า เราต้องหาแหล่งพลังงานอื่นที่มีคุณสมบัติตรงกันข้ามกับที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ (1) ไม่สามารถผูกขาด (2) ไม่ก่อมลพิษทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลก (3) มีการว่าจ้างแรงงานให้คนได้ทำกันเยอะๆ และ (4) ไม่ยั่วน้ำลายของผู้ที่จ้องจะหากินกับโครงการขนาดใหญ่
แหล่งพลังงานที่ว่านี้คือ พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล รวมทั้งการลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงานด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยราชการ
หลายท่านอาจจะแย้งผมว่า “พูดแต่ทฤษฎี” ผมขอยกเพิ่มเติมเพื่อให้เห็นจริงดังนี้ครับ
ในช่วงปี 2545 ถึง 2552 ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปเขามีโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ใช้ไม้ฟืน น้ำเสียขนาดเล็ก 1 เมกกะวัตต์เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว และมีเป้าหมายให้ถึง 1 หมื่นเมกกะวัตต์ (มากกว่า 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตที่ประเทศไทยใช้) ภายในปี 2556
คำถามก็คือ ประเทศไทยเรามีศักยภาพที่จะมีเชื้อเพลิงชีวมวลน้อยกว่าประเทศในยุโรปหรือ?
คำตอบคือไม่ ประเทศเรามีนาร้างจำนวนมหาศาล เฉพาะภาคใต้อย่างเดียวก็มีถึง 5 แสนไร่ นอกจากนี้ยังมีต้อตอของยางพาราที่ต้องโค่นทิ้ง ๆ ทุก ๆ 20 ปีอีก 13 ล้านไร่
ผมประเมินอย่างคร่าว ๆ ว่า ทั้งอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราชที่จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพียง 6-7 เมกกะวัตต์เท่านั้น ถ้าใช้เชื้อเพลิงที่ชาวบ้านผลิตเองได้ในท้องถิ่น รายได้ก็จะตกเป็นของชาวบ้านประมาณหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปี
ดีกว่าเอาถ่านหินนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะนอกจะเงินจะไหลไปต่างประเทศแล้ว ยังทำให้คนไม่มีงานทำ และทิ้งมลพิษไว้บ้านเราอีก
สำหรับกังหันลมทั่วโลกมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงปีละ 31% แต่ประเทศไทยเรายังไม่มีเนื้อมีหนังเลย ส่วนพลังงานโซลาร์เซลทั้งเทคโนโลยีก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในขณะเดียวกันต้นทุนถูกลงมากและกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ข่าวจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์บอกว่ากำลังจะมาลงที่ประจวบคีรีขันธ์ แทนโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ชาวบ้านคัดค้าน
ก็ถือว่าเป็นข่าวดีนะครับ
ง่ายที่สุดและขอให้เป็นจุดเริ่มต้นด้วยคือ ขอโอกาสให้กลุ่มคนที่ทำงานในเรื่องพลังงานที่ผมเสนอ(ซึ่งก็มีหลายกลุ่ม)ได้มีโอกาสใช้สื่อของรัฐเท่าเทียมกับกลุ่มพ่อค้าพลังงานที่โฆษณาอยู่ทุกวันว่า “ถ่านหิน...พลังงานสะอาด” หลังจากนั้นสังคมจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าจะเดินไปทางไหน อย่างไร
ผมเห็นด้วยครับว่า การปฏิรูปประเทศไทยต้องทำพร้อมกันหลายด้าน และต้องไม่ทอนพลังกันเอง แต่ถ้าละเลยเรื่องนโยบายพลังงานซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โต เร่งด่วน และเป็นรูปธรรมสัมผัสได้ชัดเจน แล้วผมไม่คิดว่าการปฏิรูปจะไปถูกทาง แถมอาจจะเป็นการเสียเวลาเปล่าอย่างที่บางฝ่ายกล่าวถึง
ขออภัยที่ต้องขอสรุปอย่างตรง ๆ เช่นนี้ครับ