1. ความเดิม
ในตอนที่ 1 ผมได้นำข้อมูลที่มาจากงานวิจัยของกระทรวงศึกษาธิการที่พบว่า นักเรียนทุกระดับชั้นของประเทศไทย ทั้งระดับ ป.6 , ม.3 และมัธยมปลายมีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งทุกวิชา โดยวิชาที่สอบได้คะแนนน้อยที่สุดคือวิชาคณิตศาสตร์ ได้เพียงร้อยละ 29.6 เท่านั้น
ในตอนที่ 2 นี้ ผมจะกล่าวถึงปัญหาที่ได้ตั้งไว้ในชื่อบทความ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณภาพการศึกษาเราตกต่ำ นอกจากนี้ ผมได้นำเสนอความคิดเห็นและความพยายามของผู้บริหารระดับสูงสุดของมหาวิทยาลัยด้วย
2. สาเหตุของปัญหาคุณภาพตกต่ำในทัศนะของอธิการบดี
ท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (รศ.ดร. บุญสม ศิริบำรุงสุข) ได้ให้ความสนใจในการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยเรียกประชุมอาจารย์ผู้สอนคณิตศาสตร์ทั้ง 5 วิทยาเขตพร้อมตั้งโจทย์ว่า “ทำอย่างไรจึงจะนำคณิตศาสตร์ไปสู่ศิษย์ให้ดีที่สุด”
ท่านอธิการไม่ได้วิเคราะห์เพื่อค้นหาสาเหตุหลัก-สาเหตุรองของปัญหา แต่ท่านกล่าวว่า “ปัจจุบันการสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย (ทั่วประเทศ) นักเรียนมี 8 แสนคน มหาวิทยาลัยสามารถรับเด็กเข้ามา 6 แสนคนต่อปี จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรับเด็กอ่อนเข้ามา (เด็กขี้เบื่อ สมาธิสั้น ความสามารถในการสื่อสารน้อยลง) ดังนั้น ไม่มีทางที่จะหวนกลับไปยังสิ่งแวดล้อมที่เคยผ่านมา อาจารย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการปรับตัวให้เข้ากับเด็กหรือผู้เรียน”
นอกจากนี้ท่านยัง “ให้โอวาท” เพิ่มเติมอีกว่า “อาจารย์มหาวิทยาลัยเปรียบเสมือนปลั๊ก 3 ขา โดยที่ขาที่หนึ่ง เป็นผู้รู้ที่แท้จริง ลึกซึ้งในศาสตร์ และถ่ายทอดได้ ขาที่สอง รู้เทคนิคการถ่ายทอดให้เหมาะกับเด็กทั้งเก่ง ปานกลางและอ่อน ส่วนขาที่สาม คือความรู้สึกของความเป็นครู”
3. ปัญหาการให้คุณค่าของเวลาและทักษะการเรียนรู้
ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวของท่าน แต่สิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้เป็นทัศนะของผมเอง และเป็นสิ่งที่ “ท่านยังไม่ได้พูด” ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งตัวนักศึกษาและผู้บริหารที่ “ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการปรับตัว” เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 ประเด็นต่อไปนี้คือ
(1) กรอบเวลามาตรฐานสำหรับการเรียนรู้ นั่นคือ จะต้องใช้เวลาเท่าใดในการจะเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
(2) การบริหารเวลา เมื่อรู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใดในการทำกิจกรรมใดแล้ว ผู้เรียนรวมทั้งผู้บริหารด้วย ได้บริหารหรือจัดสรรเวลาตลอดทั้งภาคการศึกษาให้สอดคล้องกับสิ่งที่ “จำเป็นต้องทำ” หรือไม่ และ
(3) ทักษะในการเรียนรู้ซึ่งรวมถึงการฟัง การจดเล็คเชอร์ ซึ่งขณะนี้พบว่า แม้แต่ในกลุ่มนักศึกษาที่ถือกันว่า “เก่ง” ที่สุดแล้ว ยังคุยกันและลุกเข้าห้องน้ำระหว่างอาจารย์บรรยายราวกับเป็นชั้นเรียนเด็กอนุบาล
3.1 กรอบเวลามาตรฐานสำหรับการเรียนรู้
ตามปกติ คนเราจะใช้เวลาเพื่อทำอะไรเป็นเวลานานเท่าใด เขาก็จะมีค่าเฉลี่ยของเวลากันอยู่ เช่น ต้องนอนวันละกี่ชั่วโมงจึงจะเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เป็นต้น
ในการศึกษาก็เช่นกัน ในการเรียนระดับมหาวิทยาลัย องค์การยูเนสโก (UNESCO) ซึ่งเป็นองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยว่า ในการฟังคำบรรยายในห้องเรียนหนึ่งชั่วโมง นักศึกษาจะต้องใช้เวลาฝึกฝน ทำแบบฝึกหัด และค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเองอีกอย่างน้อยสองชั่วโมง
ถ้านักศึกษาลงเรียนทั้งภาคการศึกษาจำนวน 18 หน่วยกิต ดังนั้นเขาจะต้องใช้เวลานอกห้องเรียนเพิ่มเติมอีก 36 ชั่วโมง รวมเวลาทั้งหมดที่ใช้ไปกับการเรียนดังกล่าวจำนวน 54 ชั่วโมง เวลาที่ว่านี้เป็นเพียงขั้นต่ำเท่านั้น นักศึกษาที่อ่อนก็ต้องใช้เวลาที่มากกว่านี้จึงจะบรรลุความสำเร็จได้
ผมคิดว่าหลักข้อนี้เป็นกรอบมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับนักศึกษาร้อยละ 99 ที่ต้องยกเว้นไปบ้างนั้น เผื่อไว้สำหรับพวกอัจฉริยะเท่านั้น
คำถามใหญ่ ๆ ก็คือ นักศึกษาส่วนใหญ่ของเราได้ปฏิบัติตามกรอบเวลานี้หรือไม่
3.2 การบริหารเวลา
ในแต่ละสัปดาห์มีเวลา 7x24 = 168 ชั่วโมง ถ้าเรานอนวันละ 8 ชั่วโมง รับประทานอาหาร 3 มื้อวันละ 3 ชั่วโมง อาบน้ำ เข้าส้วม (รวมปัสสาวะ) วันละ 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังต้องเวลาที่ใช้ในการเดินทางอีก ถ้าเป็นนักศึกษาหอพักของมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด คาดว่าวันละ 2 ชั่วโมง รวมสัปดาห์ละ 105 ชั่วโมง
เพียงกิจกรรม 4 อย่างที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็หมดเวลาไปแล้ว 105 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือคิดเป็น 63% ของเวลาทั้งหมด ผมคิดว่าคุณภาพของนักศึกษาน่าจะวัดกันที่การใช้เวลาที่เหลืออีกสัปดาห์ละ 63 ชั่วโมง (หรือ 37%) ไปทำอะไรบ้าง ระหว่างเรียนในห้องเรียน ค้นคว้า ทำแบบฝึกหัด กับการทำกิจกรรมอย่างอื่นที่กลายเป็นวัฒนธรรมระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง ที่ต้องใช้เวลาไปจำนวนมาก
ตัวอย่างที่แปลกมากสำหรับผม คือนักศึกษาชั้นปีที่สองคนหนึ่งบอกผมว่า บ่ายวันนี้จะไปรับน้องกลุ่มที่ต่างอำเภอ เป็นกิจกรรมที่ต้องไปค้างคืนที่รีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง (โดยเก็บเงินจากรุ่นพี่คนละมากกว่า 1,000 บาท)
ผมถามว่า “รับน้องภาควิชาเหรอ” เขาบอกไม่ใช่ รับน้องภาควิชานั้นเป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง แต่นี่คือ ตอนเข้าปีหนึ่งมายังไม่มีภาค มีแต่กลุ่ม เช่น กลุ่มเอ นักศึกษาปีที่สองถึงสี่ที่เคยอยู่กลุ่มเอมาก่อนจะต้องไปร่วมรับน้องกลุ่มเอ
เรื่องนี้ไม่เคยมีมาก่อน นี่ยังไม่นับการรับน้องโรงเรียน น้องจังหวัด น้องโครงการทุน รับน้องตระกูล ฯลฯ ตลอดจนการจัดแข่งเชียร์กีฬาโดยไม่มีกีฬา (พิมพ์ไม่ผิดครับ!)
ถามอีกครั้งครับว่า เด็กจะเอาเวลาที่ไหนมาใช้กับกระบวนการเรียนรู้(ตำรา)ที่วัดกันด้วยเกรด
3.3 ทักษะในการเรียนรู้
ผมเข้าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยต่างประเทศหลายสถาบัน เช่น มหาวิทยาลัยคอร์เนล ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก พบว่า เขามีเอกสารรวมทั้งมีการสอนรายวิชาที่ให้นักศึกษาได้รู้จักคุณค่าของเวลา รู้จักการบริหารเวลา รู้จักการฟัง การคิด การเขียน แม้แต่การเว้นหน้ากระดาษสักกี่นิ้วในการจดเล็คเชอร์เขาก็สอนครับ ไม่น่าเชื่อว่าเขามีความละเอียดถึงเพียงนี้
แต่ในมหาวิทยาลัยของบ้านเราผมไม่เห็นครับ
ผมเคยถามนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งที่ได้เกรด E ในวิชาที่ผมสอนว่า “ใช้เวลาในการศึกษาวิชานี้นานเท่าใด” ผมได้คำตอบว่า 8 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนเข้าห้องสอบเท่านั้น
นักศึกษาปีที่ 4 คณิตศาสตร์(คนหนึ่ง) มาปรึกษาผมในวิชาสัมมนา (ตามบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร) โดยไม่มีกระดาษทดเลย
ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการขาดทักษะการเรียนรู้และการจัดการเวลาของนักศึกษา
ใครก็ตาม (ยกเว้นพวกอัจฉริยะ) ที่ขาดความรู้ในส่วนนี้ ก็จะเป็นเหมือนนิทานอีสปเรื่อง “อึ่งอ่างกับวัว” ที่แม่อึ่งอ่างพยายามพองตัวเองให้ลูกเห็นว่า รอยเท้าของสัตว์ที่มาเหยียบลูก ๆ ของตนตายไปนั้นมีขนาดเท่าใหญ่แค่ไหน ในที่สุดก็ท้องแตกตาย
เรื่องนักศึกษาประเมินเวลาที่ใช้ในการศึกษาน้อยเกินความเป็นจริงที่เป็นมาตรฐานสากล ก็เป็นบทกลับของนิทานเรื่องนี้ คือ งานหนักเท่าแม่วัว แต่นักศึกษาเราประเมินว่าเบาเท่าอึ่งอ่าง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้มีหน้าที่จัดการศึกษาจึงคิดบทกลับของนิทานเรื่องนี้ไม่ได้
4. การจัดสรรเวลาของผู้บริหาร
เรื่องนี้มี 3 ประเด็นใหญ่ ๆ ซึ่งจะขอกล่าวเพียงสั้น ๆ คือ
(1) ตามปกติ การจัดการศึกษาในระบบ 2 ภาค (semester) จะต้องใช้เวลา 16-18 สัปดาห์ แต่มหาวิทยาลัยจัดเวลาให้เพียง 16 สัปดาห์เท่านั้น เมื่อหักวันหยุดพิเศษอีก ก็จะเหลือเพียง 15 สัปดาห์เท่านั้น
(2) มหาวิทยาลัยไม่ได้ให้ความสำคัญกับกรอบเวลามาตรฐานของการเรียนรู้
(3) เวลาที่ใช้ในการเรียนแต่ละคาบ 50 นาที และเวลาสำหรับการเดินทางระหว่างคาบ 10 นาที ในขณะที่พื้นที่วิทยาเขตกว้างขวาง ส่งผลให้นักศึกษาเข้าเรียนสายเป็นประจำ นักศึกษาบางคนบอกว่า “เวลาเพียง 10 นาที แม้แต่เหาะไปเรียนก็ยังไม่ทันเลยคะ”
5. สรุป
ผมยังคงมีกำลังใจและสัญญาว่า ผมจะใช้เวลาเพื่อเขียนเป็นหนังสือคู่มือให้กับนักศึกษาได้เข้าใจและเห็นคุณค่าของเวลา รวมทั้งทักษะการเรียนรู้ด้วย แม้จะเป็นเรื่องที่ท่านอธิการ “ยังไม่ได้พูด” ก็ตามครับ