นโยบายสาธารณะด้านพลังงาน : ความจริงที่พลเมืองไทยควรรับรู้และเคลื่อนไหว ตอนที่ ๒

15 October, 2007 - 02:32 -- prasart

กลไกการควบคุมระบบพลังงานของโลก

เรื่องพลังงานเป็นเรื่องใหญ่และเชื่อมโยงกันหลายมิติหลายสาขาวิชา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจกันในช่วงเวลาอันสั้นและจากเอกสารจำนวนจำกัด ในที่นี้ผมจะเริ่มต้นนำเสนอด้วยภาพการ์ตูนและข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นเราจะเข้าใจทันทีว่า (๑) ทำไมกลุ่มพ่อค้าพลังงานทั้งระดับประเทศและระดับโลกจึงมุ่งแต่ส่งเสริมการใช้พลังงานฟอสซิลที่ใช้หมดแล้วหมดเลย ซึ่งได้แก่ น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตไฟฟ้า (๒) ทำไมพลังงานจากธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่มีวันหมดหรือหมดแล้วก็สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ เช่น พลังงานจากพืช พลังงานลมและแสงอาทิตย์ จึงถูกกีดกันและกล่าวหาต่างๆนานา

และ (๓)  ทำไมสงครามอ่าวเปอร์เซีย จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งกับอิรัก และอิหร่านที่กำลังจ่อคิวตามมาติดๆ

เรามาเริ่มกันที่การ์ตูนกันก่อนเลยครับ  ผมมีคำบรรยายอยู่ใต้รูป

picture
การ์ตูนแสดงการเชิดหุ่น  ผู้เชิดเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกด้านพลังงานชื่อ Enron  โดยที่ในมือถือนโยบายพลังงานอยู่ฉบับหนึ่งด้วย  หุ่นที่ถูกเชิดตัวแรก เป็นพ่อค้าน้ำมันที่มีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานาธิบดีสหรัฐด้วย  โดยที่รองประธานาธิบดีได้เชิดหุ่นประธานาธิบดี บูซส์ อีกต่อหนึ่ง ทั้งสามถือนโยบายพลังงานฉบับเดียวกัน  โดยที่หุ่นท่านประธานาธิบดีกล่าวว่า “มันเป็นการบังเอิญเท่านั้นนะ”

ดูภาพนี้แล้วลองย้อนกลับมาดูนโยบายพลังงานของรัฐบาลไทยแต่ละชุดซิครับ ปรากฏว่า ไม่ว่ารัฐมนตรีคนไหนเข้ามารับตำแหน่ง ไม่เคยมีนโยบายที่หนีไปจากแหล่งพลังงานฟอสซิลเลย ต่างก็มุ่งแต่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงทั้งสิ้น จนคุณเจริญ วัดอักษร นักต่อสู้เพื่อมาตุภูมิและสิ่งแวดล้อมที่ถูกสังหารไปแล้ว ได้กล่าวสรุปไว้อย่างคมคายว่า  “ในหัวของคนพวกนี้มีแต่ถ่านหิน”

หลังจากได้ดูการ์ตูนที่สะท้อนปัญหารวมของระบบพลังงานทั้งโลกแล้ว ต่อไปนี้เป็นข้อมูลเสริมเพื่อขยายความภาพรวมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ข้อมูลที่ว่านี้คือข้อมูลการนำเข้าน้ำมันของประเทศต่างๆ ที่มากที่สุด ๑๐ ประเทศ ขอย้ำว่าเป็นข้อมูลการนำเข้า ไม่ใช่การบริโภคเพราะบางประเทศก็มีแหล่งน้ำมันของตนเองด้วย

picture
ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสูงสุด ปี  ๒๕๔๘   สังเกตว่า ประเทศไทยนำเข้าน้ำมันสูงเป็นอันดับ ๑๐ ของโลก  ที่มา www.nationmaster.com

จากแผนผังก็เป็นไปตามที่ทุกท่านทราบกันแล้วคือ สหรัฐอเมริกานำเข้าสูงถึง ๓๔.๘% ของโลก  รองลงมาคือประเทศญี่ปุ่น (๑๗.๗%) และเยอรมนีเป็นอันดับสาม (๘.๗%)

ที่น่าแปลกใจมากคือ ประเทศไทยเราเองมีการนำเข้าน้ำมันในปี ๒๕๔๘ สูงเป็นอันดับ ๑๐ ของโลก ประมาณ  ๑.๘%  ของโลก ในขณะที่มีรายได้ประชาชาติ [1] อยู่ในอันดับที่ ๓๒ ของโลก

ข้อมูลนี้เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า ประสิทธิภาพการใช้พลังงานหรือการแปลงพลังงานมาเป็นรายได้ของคนไทยเรานั้นน่าเป็นห่วงมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่อาจถือเป็นวาระแห่งชาติก็ยังได้

มูลนิธิไฮน์ริค เบิลล์ (Heinrich-Böll Foundation)   จากประเทศเยอรมนีได้สรุปแบบฟันธงไว้ว่า “ความยั่งยืนของระบบพลังงานโลกต้องขึ้นอยู่กับสองยุทธศาสตร์ คือหนึ่งการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ (energy efficiency) และ สอง การใช้พลังงานหมุนเวียน”

เมื่อได้กล่าวถึงประเทศผู้นำเข้าน้ำมันแล้ว  เรามาดูประเทศที่มีแหล่งน้ำมันสำรองกันบ้าง

picture
แสดงอันดับประเทศที่มีแหล่งน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก
ที่มา Energy Information Administration, International Energy Outlook 2006

จากตาราง เราพบว่าประเทศที่มีแหล่งน้ำมันสำรองสูงสุด ๗ อันดับแรกของโลก คือ ซาอุดิอาระเบีย แคนาดา อิหร่าน อิรัก  คูเวต  สหรัฐอาหรับอิมิเรส  และ เวเนซูเอลา ตามลำดับ  ถ้าเราพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของประเทศทั้ง ๗ นี้กับประเทศที่นำเข้าน้ำมันมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก คือสหรัฐอเมริกาแล้ว เราจะพบว่ามีเพียง ๒ ประเภทเท่านั้น คือประเภทที่เป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกาอย่างแนบแน่นกับประเภทที่เป็นศัตรูที่สหรัฐอเมริกาเข้าไปแทรกแซง รุกรานและกำลังจะรุกรานทั้งสิ้น สอดคล้องกับคำประกาศของประธานาธิบดีบุสซ์หลังกรณี ๑๑ กันยายน ที่ว่า “ถ้าคุณไม่เป็นพวกเรา คุณก็คือศัตรูของเรา”

วารสารของศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง [2] ได้กล่าวเชิงสรุปว่า “สงครามเพื่อทำลายซัดดัมแห่งอิรัก แท้จริงก็มีต้นตอมาจากการที่อังกฤษ-อเมริกาไม่ต้องการให้มีใครเป็นก้างขวางคอ ในการที่พวกตนจะมีอิทธิพลเหนือผู้ผลิตและผู้ค้าน้ำมันในคูเวตและซาอุดิอารเบียนั่นเอง”

นักวิเคราะห์บางคน เช่น  William Clark [3] เชื่อตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ แล้วว่า สหรัฐอเมริกาที่มีเป้าหมายที่จะรุกรานประเทศอิหร่านด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่เครื่องอาวุธนิวเคลียร์ แต่เป็นเพราะอิหร่านกำลังจะหันไปใช้เงินตระกูลยูโรในการค้าน้ำมันแทนการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐที่ลดค่าลงเรื่อยๆ

ดูท่าจะรุกรานประเทศโน้นประเทศนี้อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นตราบใดที่ประเทศสหรัฐอเมริกายังมีความต้องการน้ำมันสูงขนาดนี้   เป็นที่น่าสงสัยว่า ถ้าประเทศอิหร่าน อิรัก ไม่มีแหล่งน้ำมันแล้ว สหรัฐอเมริกาจะทำสงครามด้วยหรือไม่

ถ้าชาวโลกหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนที่ใครก็ไม่สามารถผูกขาดได้ นอกจากจะเป็นการช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการป้องกันความขัดแย้งระหว่างประเทศและในโลกได้อีกด้วย 

ภาพการ์ตูนในหน้าถัดไป ตั้งชื่อภาพว่า “ผู้เสพย์ติดสงคราม” ในภาพเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐอเมริกาคนหนึ่ง พร้อมด้วยมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสงคราอิรัก ภาพนี้สะท้อนความคิดที่ติดเป็นนิสัยของผู้นำสหรัฐได้เป็นอย่างดี

นักวิจารณ์คนหนึ่งบอกว่า ถ้านำงบประมาณที่ใช้ในการบุกอิรักซึ่งมีประมาณ ๐.๒๐๘ ล้านล้านดอลลาร์(นับถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๔๘ เท่านั้น) มาทำกังหันลม จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ ๗-๑๑% ของที่ชาวอเมริกันใช้ทั้งประเทศ และเป็นการใช้ได้ตลอดไปจะไม่ดีกว่าหรือ 

ท่านที่สนใจค่าใช้จ่ายในสงคราม สามารถเข้าไปดูได้ จะพบว่าขณะสูงถึงกว่า ๔ แสนล้านดอลลาร์แล้ว [4]

picture

ปัจจุบันทั้งรองประธานาธิบดี ดิกค์  เชนนี และรัฐมนตรีต่างประเทศ ดร. คอนโดลีซซา ไรท์ ต่างก็เคยเป็นบุคคลสำคัญในบริษัทน้ำมันระดับใหญ่ที่สุดในโลก คือ Halliburton และ Chevron ตามลำดับ สำหรับภาพข้างล่างนี้เป็นเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ที่ทางบริษัทได้นำชื่อของเธอมาตั้งเป็นชื่อเรือเพื่อเป็นการให้เกียรติ

picture
เรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ ของบริษัท Chevron ที่นำชื่อ Condoleezza Rice รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะเธอเคยเป็นประธานคณะกรรมการบริหารของบริษัท 
ที่มา http://www.aztlan.net/oiltanker.htm

ศาสตราจารย์ โจเซฟ  สติ๊กลิทซ์  ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์  กล่าวว่า ต้นทุนราคาน้ำมันดิบจะสูงขึ้นประมาณ ๕ ถึง ๑๐ เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลโดยมีสาเหตุมาจากการก่อสงคราม  ดังนั้น ผลกระทบจากสงครามอิรักได้ส่งผลกระทบถึงเราทุกคนทั่วโลก

เชื่อได้แล้วนะครับว่า การเมืองโลกกับพลังงานโลกมีความสัมพันธ์กันแนบแน่นขนาดไหน เรื่องถ่านหินก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับน้ำมันเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า  ดังนั้นผมจะไม่ขอกล่าวถึงในทีนี้

ผมยังมีอีก ๓ ประเด็นที่จะกล่าวเพิ่มเติมในบทนี้ครับ คือ (๑) เรื่องราคาน้ำมันกับจำนวนการผลิตและ (๒) ข้อมูลเกี่ยวกับถ่านหิน และ (๓) แนวโน้มการใช้แหล่งพลังงานต่างๆ ในอนาคตอีก ๗๐ ปีข้างหน้าซึ่งจะช่วยให้เรามองภาพในอนาคตได้ชัดเจนขึ้น

ราคาน้ำมันกับจำนวนการผลิต

ในปี ๒๕๔๘ มีการผลิตน้ำมันทั่วโลกประมาณวันละ ๘๕ ล้านบาร์เรล [5]  มีการคาดการณ์ว่าในปี ๒๕๕๓ จะเพิ่มเป็น ๙๑.๖  ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่น่าจะเพิ่มสูงกว่านี้อีกเพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนและอินเดียที่มีประชากรรวมกันถึง ๔๐% ของโลก

สำหรับปริมาณการผลิตและราคาในช่วง ๑๕ ปี (ค.ศ. ๑๙๙๐-๒๐๐๕) สามารถดูได้จากกราฟในหน้าถัดไป  แต่เป็นข้อมูลของตลาดในกลุ่มโอเปค [6]  เท่านั้น

อนึ่ง กลุ่มโอเปคมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ ๓๗ - ๓๙% ของโลก ดังนั้น หากต้องการทราบจำนวนการผลิตทั่วทั้งโลกก็สามารถคิดสัดส่วนเอาได้

picture

จากกราฟ  ถ้าพิจารณาอย่างผิวเผิน เราจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการผลิตกับราคา(ต่อบาร์เรล) เป็นไปตามกลไกการตลาด คือถ้าราคาสูงก็มีการผลิตเพิ่ม แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเหตุการณ์สำคัญต่างๆของโลกทั้งที่มนุษย์สร้างขึ้นเองและมาจากภัยธรรมชาติ

ในประเด็นเรื่องราคากับการผลิต ผมยังมีอีก ๒ กราฟเพื่อขยายความในรายละเอียด ท่านผู้อ่านที่รู้สึกว่าเข้าใจดีแล้ว ก็สามารถข้ามไปดูกราฟสุดท้ายที่เป็นเรื่องอนาคตได้เลยครับ

(กราฟต่อไปเป็นการแสดงราคาน้ำมันดิบในช่วง พ.ศ. ๒๕๔๐ ถึง ๒๕๔๙  เราพบว่าก่อนปี ค.ศ. ๑๙๗๓ (พ.ศ. ๒๕๑๖) ราคาน้ำมันดิบอยู่ประมาณ ๑๕ ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่ได้เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันในปี ๒๕๑๖ เนื่องจากสงครามระหว่างอิสราเอลกับอาหรับและการรวมตัวกันขึ้นราคาน้ำมัน (ตามที่กลุ่ม The Club of Rome คาดหมาย-ในบทที่ ๓)

picture

จากนั้นก็มีเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การปฏิวัตพระเจ้าซาร์แห่งอิหร่าน (๑๙๗๙)  สงครามระหว่างอิรัก กับอิหร่าน (ที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุนอิรัก ปี ๑๙๘๐)  รวมทั้งสงครามรุกรานอิรักในปี ๒๕๔๖ การประท้วงของกรรมกรบ่อน้ำมันในเวเนซูเอลา (PDVSA Strike)

 

picture
ราคาน้ำมันดิบในช่วง พ.ศ. ๒๕๔๔ ถึง ๒๕๔๘  พร้อมการขึ้นลงของราคาตามเหตุการณ์สำคัญ

ข้อมูลเกี่ยวกับถ่านหิน

เนื่องจากในประเทศไทยเรายังมีกลุ่มที่สนใจถ่านหิน ถึงขั้นที่รับเป็นเจ้าภาพประชุมวิชาการเรื่องถ่านหินโลก(Coaltrans Thailand)   ที่จังหวัดลำปาง  เมื่อปี ๒๕๔๘ ประเทศที่ให้การสนับสนุนการเงินเพื่อจัดประชุมครั้งนั้นคือประเทศออสเตรเลีย  ในที่นี้ผมเพียงแต่เอาข้อมูลมานำเสนอว่า ประเทศที่มีแหล่งถ่านหินในอันดับต้นๆ ของโลกนั้น ได้แก่ประเทศใดบ้าง

picture
ลำดับประเทศที่มีแหล่งถ่านหินสำรองอันดับแรกๆของโลก  พบว่า ๓ อันดับแรกของโลกคือ ประเทศโรมาเนีย (๓๐.๑%)  ออสเตรเลีย(๒๑.๙%)   จีน (๑๗.๗%)  ที่มา  www.nationmaster.com

สำหรับ ๒ ภาพข้างล่างนี้เป็นเหตุการณ์การแสดงออกของ “คนไม่เอาถ่านหิน” ที่ จ.ลำปาง ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการหนึ่งของการร่วมกันสร้างเชิงนโยบายสาธารณะของเรา

pic

picture
ภาพเหตุการณ์ วันประชุมวิชาการถ่านหินโลก (มกราคม ๒๕๔๘) ที่จังหวัดลำปาง  ซ้ายมือเป็นภาพผู้เสียชีวิตจากโรคหืดหอบ (พร้อมขวดยาที่ใช้แล้ว) ที่ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะ  ขวามือเป็นการตั้งแถวรับมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากการมาประท้วงของเครือข่าย “คนไม่เอาถ่านหิน” 
ภาพจาก http://www.thaingo.org

แนวโน้มการใช้แหล่งพลังงานต่างๆ ในอนาคตอีก ๗๐ ปีข้างหน้า

เรื่องสุดท้ายสำหรับบทนี้  เป็นการแสดงให้เห็นการใช้พลังงานจากแหล่งต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๙๓ ถึง ๒๖๑๘  กราฟนี้ผมได้มาจากเว็บต์ของประธานาธิบดีอินเดีย

จากกราฟข้างล่างนี้ พบว่าในปัจจุบัน (ปี ๒๐๐๗) พลังงานจากแสงอาทิตย์(ไม่ระบุว่าเป็นชนิดใด) กำลังมีอัตราการใช้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าแหล่งพลังงานชนิดอื่น(เพราะมีความชันมากกว่าชนิดอื่นๆ) ในขณะที่อัตราการใช้ของพลังงานจาก ถ่านหิน น้ำมัน กำลังลดลง นี่แสดงว่านโยบายการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยกำลังสวนกระแส

picture
โครงสร้างแหล่งพลังงานของโลกในช่วงปี ค.ศ. ๑๘๕๐ ถึง  ๒๐๗๕

ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า พลังงานจากไม้และชีวมวลต่างๆ ซึ่งเคยเป็นแหล่งพลังงานที่มีการใช้กันมากที่สุดในอดีตนับร้อยปี ได้มาถึงจุดต่ำสุดในช่วงปีนี้ แต่กำลังจะได้รับความนิยมใหม่อีกครั้งหนึ่งในอนาคต

นี่เป็นแนวโน้มในอนาคตที่ช่วยเสริมสร้างกำลังใจอย่างดีให้กับกลุ่มประชาสังคม ที่ทำงานรณรงค์และผลักดันเชิงนโยบายสาธารณะเพื่อให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น

 

----------

[1] ข้อมูลปี ๒๕๔๗  จาก  http://www.nationmaster.com/graph/eco_gdp-economy-gdp-nominal   (หมายเหตุ ไม่มีข้อมูลปีเดียวกัน แต่ถึงจะเป็นคนละปีก็พออนุโลมเทียบกันได้)

[2] ฉบับที่ ๑๖ น้ำมัน , กรกฎาคม ๒๕๔๔ หน้า ๑๕

[3] The Real Reasons Why Iran is the Next Target: The Emerging Euro-denominated International Oil Marker, โดย William Clark www.globalresearch.ca   เมื่อ   27 October 2004

[4] http://nationalpriorities.org/index.php?option=com_wrapper&Itemid=182

[5] ในขณะที่ประเทศไทยใช้น้ำมันในปี ๒๕๔๘ เฉลี่ยวันละ  ๗๔ ล้านลิตร (๑ บาร์เรล เท่ากับ ๑๕๙ ลิตรโดยประมาณ) 

[6] ที่มา http://www.wtrg.com/oil_graphs/PAPRPOP90.gif   กลุ่มโอเปก ประกอบด้วยสมาชิก ๑๑ ประเทศคือ Algeria, Indonesia, Iran, Iraq, Kuwait, Libya, Nigeria, Qatar, Saudi Arabia, the United Arab Emirates, and Venezuela. 

ความเห็น

Submitted by แม่ญิงโย-นก on

ขอบคุณมากค่ะอาจารย์สำหรับข้อมูลรายละเอียดต่างๆ

อ่านแล้ว ก็ยิ่งทำให้เข้าใจปรากฎการณ์ "มือที่มองเห็น" ที่กลายเป็น "มือที่มองไม่เห็น" ที่คอยชักใย เชิดหุ่นในปรากฎการณ์ต่างๆ รวมทั้งเรื่องพลังงานแห่งโลกเรานี้

Submitted by อยุทธ์ on

ขอบคุณอาจารย์ที่ให้ความรู้

Submitted by ถนอมจิต on

อยากให้ทุกคนได้อ่านค่ะ

“คดีโลกร้อน” กับ “เทวดาท่าจะบ๊องส์”

 

 

“คดีโลกร้อน”
เป็นชื่อที่ใช้เรียกคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกป่า ผู้บุกรุกต้องชดใช้ค่าเสียหาย 

ที่ผ่านมามีเกษตรกรถูกฟ้องดำเนินคดีไปแล้วหลายสิบรายทั่วประเทศ ในช่วงปี 2549-52 ในจังหวัดตรังและพัทลุงมีราษฎรถูกดำเนินคดีไปแล้ว 13 ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินคดี 6 ราย กรมอุทยานฯ ได้เรียกค่าเสียหาย 20.306 ล้านบาท แต่ศาลพิพากษาให้จ่าย 14.76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี

ใช้ไฟฟ้าอย่างไร จึงได้ประโยชน์จากรัฐบาล “ประชานิยม”

22 December, 2010 - 12:08 -- prasart
 
 
ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดค้นโครงการประชานิยมหลายอย่าง คาดว่าจะประกาศรายละเอียดภายในต้นปี 2554   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี

ทำไปทำมานโยบายประชานิยมที่เริ่มต้นอย่างประปรายตั้งแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช (2518) และเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว

บทความนี้จะกล่าวถึงนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้ารายย่อยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (2551) และใช้ต่อกันมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตด้วย

ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในชนบท สองราย พบว่าแต่ละรายใช้ไฟฟ้าเกิน 90 หน่วยไปเพียงเล็กน้อย  เมื่อเป็นดังนี้ ผู้ใช้ต้องจ่ายทั้งหมด เช่น ใช้ไป 112 หน่วย ก็ต้องจ่ายทั้งหมด 112 หน่วย ไม่ใช่เฉพาะส่วนที่เกินจาก 90 หน่วยเท่านั้น

ค่าไฟฟ้าสำหรับ 112 หน่วย คิดเป็นเงิน 350 บาท (ในจำนวนนี้เป็นค่าเอฟทีหน่วยละ 92 สตางค์หรือ 103.04 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 22.89 บาท หมายเหตุ ในเดือนตุลาคม 2550 ค่าเอฟทีหน่วยละ 66 สตางค์) ผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งสองต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า “เงิน 350 บาทนี้ไม่น้อยเลยเมื่อเทียบกับเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุคนละ 500 บาทต่อเดือน”

จากการพูดคุยดังกล่าวจึงเกิดเป็นโจทย์ให้ต้องขบคิดว่า “จะต้องใช้ไฟฟ้าอย่างไร จึงไม่เกิน 90 หน่วย” เราจึงเริ่มต้นด้วยการสำรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าและกำลังของแต่ละชนิด        

เครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น ได้แก่ หลอดไฟฟ้า (หลอดละ

18 วัตต์) หม้อหุงข้าว (750 วัตต์) โทรทัศน์สี (120 วัตต์) พัดลมตั้งโต๊ะ (50 วัตต์) ตู้เย็น (125 วัตต์ ขนาด 7 คิว ใช้ไฟฟ้าเดือนละ 37 หน่วย) เครื่องซักผ้า (330 วัตต์) เตารีดผ้า (1,200 วัตต์) กระติกต้มน้ำ (750 วัตต์) และเครื่องบดเครื่องแกง (140 วัตต์)

ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ: ภาคกิจการไฟฟ้า

25 November, 2010 - 12:48 -- prasart

 

 

คำนำ

เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน

เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า 
“ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ”

ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง
“ความเหลื่อมล้ำ” ทางการกระจายรายได้ และการถือครองที่ดิน ฯลฯ นอกจากนี้ ผมได้ติดตามแถลงการณ์ของ “กลุ่มเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยและเครือข่ายอีก 37 องค์กร”  พบว่าไม่มีประเด็นที่บทความนี้จะกล่าวถึงแต่อย่างใด

การจะ
“ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ได้ เราจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจในกลไกการใช้อำนาจรัฐ และที่มาของความเหลื่อมล้ำกันก่อน
 

ภัยธรรมชาติถี่ขึ้น เพราะโลกร้อนขึ้น : คำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์และบริษัทประกันภัย

15 November, 2010 - 10:33 -- prasart
 

“...ถ้าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น 1 องศาเซียลเซียส ความถี่ที่จะเกิดพายุชนิดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 31% ... ในปี พ.ศ. 2643 อุณหภูมิดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 องศา”  

“ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก ทั้งนี้ภายในก่อนปี พ.ศ. 2608”
 

โรงไฟฟ้าถ่านหินหัวไทร: โหมเราเอาพรื่อ หรือว่าเรา “เต้นตามจังหวะกลองที่เขาตี”?

28 October, 2010 - 13:02 -- prasart
ขณะนี้ทางรัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ.) กำลังเสนอให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกกะวัตต์ 

ชาวหัวไทรที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อาจเกิดความสงสัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า

1.โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มันใหญ่เท่าใด ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้จะใช้ได้สักกี่ครอบครัวหรือกี่จังหวัด