บทความในวันนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจาก การได้รับทราบสองข่าว ซึ่งในความเห็นของข้าพเจ้า เป็นข่าวที่ไม่ได้อยู่ในกระแสความสนใจ ของคนไทยทั่วไปแต่อย่างไร แต่เป็นข่าวที่ข้าพเจ้า อยากเรียกร้องให้ทุกคน หันมาตระหนักถึงความน่ากลัว ของการถูกคุกคามโดย "Identity thief"
Identity thief คือ กลุ่มคนที่มุ่งขโมยข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่ใช้แสดงตัวตน ของบุคคลต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ใช้ข้อมูลดังกล่าวปลอมแปลงตนเป็นบุคคลผู้นั้น เพื่อหาประโยชน์อื่นๆต่อไป
ข่าวแรกที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกวิ่งราวกระเป๋าสตางค์ ภายหลังจากเกิดเรื่อง ซึ่งข้าพเจ้าเจ้าจำได้ไม่แน่นอนว่านานเท่าไหร่ ผู้เคราะห์ร้ายได้ไปแจ้งความ เพื่อนำใบแจ้งความไปขอทำเอกสารหลักฐานต่างๆ ซึ่งรวมถึงบัตรประจำตัวประชาชน ตามปกติ แต่สิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เมื่อทางสำนักงานเขตที่ผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปขอทำบัตรแจ้งว่า ข้อมูลในระบบออนไลน์ระบุว่า ได้มีคนที่อ้างตัวเป็นตัวผู้เคราะห์ร้าย เข้ามาขอทำบัตรประชาชนใหม่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่สามารถทำบัตรประชาชนใหม่ให้ได้
จนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 2 ปี ที่ผู้เคราะห์ร้ายต้องกลายเป็นบุคคลเถื่อน เนื่องจากหลักฐานทางกฏหมาย ยืนยันว่าความเป็นตัวเธอไม่ใช่ตัวเธอ แต่กลับกลายเป็นคนอื่นที่เป็นตัวเธอ
ซึ่งนั่นหมายความว่า เหตุการณ์ชิงทรัพย์ในวันนั้น ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ชิงทรัพย์ธรรมดา แต่เป็นการปล้นความเป็นตัวตนของเธอไปด้วย
ข่าวที่สอง แตกต่างกับข่าวแรก ทั้งในแง่ของ การเป็นที่รู้จักในสังคม ของตัวบุคคลผู้ตกเป็นเหยื่อ วิธีที่ถูกกระทำ และผลกระทบ ซึ่งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในคราวนี้ คือนักแสดงหญิงที่ชื่อ ก้อย แห่งภาพยนตร์เรื่อง รักสามเศร้า ซึ่งเป็นบุคคลที่มีผู้คนรู้จักในวงกว้าง โดยมีผู้พยายามปลอมแปลงเป็นเธอ ด้วยการสร้างบัญชีชื่อผู้ใช้ หรือ account ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ Facebook ด้วยชื่อของเธอ และตกแต่งหน้าดังกล่าว ด้วยข้อมูลส่วนบุคคลของเธอ ซึ่งหาได้ไม่ยากจากสื่อทั่วไป เพื่อทำให้ทุกคนเชื่อว่าเป็นหน้า account ของเธอ
อย่างไรก็ดี การออกข่าวในครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเพียงว่า มีจุดประสงค์เพียงแค่ แจ้งให้สังคมรู้ ว่าเธอถูกผู้ไม่หวังดีปลอมเป็นเธอใน Facebook โดยไม่ได้มีการดำเนินการแก้ไขแต่อย่างใด ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า คุณก้อย คงไม่ตระหนักถึงผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่า ผู้ไม่หวังดีซึ่งปลอมเป็นเธอ และแทรกตัวเข้าไปในเครือข่ายสังคมของเธอ อาจมีจุดประสงค์ที่จะหาประโยชน์ จากการเข้าไปติดต่อกับคนในวงกว้าง โดยหลอกว่าเป็นเธอ โดยไม่ใช่แค่เพียง ทำไปเพื่อความสนุกสนาน
สองข่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าในปัจจุบัน การถูกคุกคามโดย Identity thief เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ อีกทั้งมีแน้วโน้มที่จะเกิดได้มากขึ้น และมีผลลัพธ์ที่รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากในปัจจุบัน สังคมเราใช้ พึ่ง และให้ความเชื่อถือ กับข้อมูลในระบบต่างๆ เพื่อยืนยันตัวตนของแต่ละปัจเจกบุคคล มากขึ้นทุกวัน
ในข่าวแรก การที่ผู้เคราะห์ร้ายต้องกลายเป็น ต้องกลายเป็นคนเถื่อน และเธอไม่สามารถยืนยันความเป็นตัวเธอ เพื่อทำธุรกรรมใดๆ หรือไม่สามารถเรียกรับผลประโยชน์ใดๆ ที่เป็นของเธอได้ ก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่รุนแรงกับตัวเธอแล้ว
แต่ความรุนแรงของผลลัพธ์ ของการถูกขโมยตัวตน อาจไม่ได้จบเพียงแค่นั้น โดยอาจมีผลลัพธ์ที่รุนแรงมากขึ้น ถ้าหากคนที่กลายเป็นตัวเธอ ใช้ข้อมูลความเป็นตัวตนของเธอ ไปทำธุรกรรมฉ้อฉล หรืออาชญากรรมทางธุรกิจ ต่อไป
โดยผลลัพธ์จะยิ่งรุนแรงขึ้น หากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เป็นบุคคลที่มีหน้าที่ และความรับผิดชอบสูงในสังคม หรือเป็นผู้มีทรัพย์สินมากมาย
และจะยิ่งรุนแรงที่สุด หากผู้ที่กระทำการชิงทรัพย์ ทำไปโดยตั้งใจตั้งแต่แรก ที่จะขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อช่วงชิงความเป็นตัวตน ของบุคคลผู้นั้น เพื่อทำธุรกรรมฉ้อฉล หรืออาชญากรรมทางธุรกิจ ไม่ใช่แค่หวังใน ทรัพย์สินในกระเป๋าสตางค์ และได้นำเอาบัตรประชาชนที่ได้มาไปขาย หรือทิ้งไปอย่างไม่ตั้งใจ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในข่าวที่สอง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกิดขึ้น กับหลักฐานทางราชการใด เช่นเดียวกับในข่าวแรก แต่เกิดขึ้นกับผู้มีชื่อเสียงในสังคม เป็นที่รู้จักในสังคมวงกว้าง จึงทำให้เป็นอีกกรณี ที่มีความเป็นไปได้ ที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง หากคุณก้อยไม่ให้ความสนใจ ดำเนินการอย่างจริงจัง ที่จะตัดไฟเสียแต่ต้นลม
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผู้ปลอมเป็นคุณก้อย ในเครือข่ายสังคม Facebook ใช้เครือข่ายสังคมของคุณก้อย เพื่อล่อลวงทรัพย์จากผู้อื่นๆ หรือเพื่อการก่ออาชญากรรม
การที่ Identity thief เพิ่มปริมาณมากขึ้นในปัจจุบัน มีสาเหตุสำคัญมาจาก การที่โลกของเรามี ใช้ และพึ่งพา ICT ในรูปแบบของระบบข้อมูลต่างๆ ทั้งแบบออนไลน์และไม่ออนไลน์ มากขึ้นๆทุกวัน และยิ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อหลายประเทศในโลก มีความพยายามที่จะทำให้ บัตรประชาชนอิเลคทรอนิกส์เพียงใบเดียว สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลทุกอย่าง ของประชาชนแต่ละคน และอนุญาตให้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งได้รับอนุญาตจากระบบ สามารถเข้าถึงได้ข้อมูลนั้นๆได้ เมื่อต้องการ
แต่เนื่องจากในสังคม ยังมีความเหลื่อมล้ำทางความรู้ ความเข้าใจ ในการใช้งานเทคโนโลยี และขาดการตระหนักถึงความปลอดภัย ในการใช้งานระบบข้อมูลต่างๆอยู่อีกมาก จึงทำให้ผู้ที่มองเห็นช่องว่าแห่งความไม่เท่าทันนี้ หาประโยชน์จากช่องว่างดังกล่าว (เคยถูกพูดถึง ในบทความตอนที่ 3 เรื่องการโลกาภิวัฒน์ ปฏิญญากรุงเทพ เว็บเครือข่ายสังคม และภัยคุกคามทางเทคโนโลยี)
การเพิ่มปริมาณของ Identity thief เป็นสัญญาณสำคัญ ที่ทำให้เราทุกคน ต้องตระหนัก ในทุกครั้งที่เราเอาข้อมูลส่วนบุคคลของตน ไปแจกจ่ายไว้ในที่ต่างๆ เช่น บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูง ในทุกครั้งที่เราใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ จัดการข้อมูลหรือทำธุรกรรมที่เป็นความลับ และในทุกครั้งที่เราพยายามนำข้อมูลส่วนบุคคล มาจัดการผ่านเทคโนโลยีระบบข้อมูล โดยไม่ระมัดระวัง ...เนื่องจากเราไม่มีสิทธิ์รู้ตัวเลยว่า เรากำลังตกเป็นเป้าหมายของพวก Identity thief เมื่อไหร่
ยิ่งข้อมูลความเป็นตัวตนของเรา เข้าถึงได้ง่าย หรือหาได้ทั่วไปได้มากเท่าไหร่ ความเป็นตัวตนของเรายิ่งเสี่ยงที่จะถูกค้นหาและสืบค้น เพื่อการปลอมแปลง และนำไปใช้ในทางมิชอบ ได้มากขึ้นเท่านั้น
คุณกำลังสนุกกับการใช้งานเทคโนโลยี เพื่อการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล จนลืมตระหนักถึงความปลอดภัย ของความเป็นตัวตน ของคุณรึเปล่า