Digital Divide คือ คำในภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกสภาวะ ที่ซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ICT เป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้ช่องว่างและความแตกต่างในสังคมเกิดขึ้นและขยายตัว
ในขณะที่ปัจจุบัน ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับ ICT ในฐานะที่เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยเห็นได้จากแนวนโยบายของรัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลก ที่มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ทาง ICT เพื่อให้บริการต่างๆของภาครัฐ ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า“รัฐบาลอิเลคทรอนิค” หรือ e-government ทั่วโลกก็กำลังเผชิญหน้ากับการขยายตัวของปัญหา ช่องว่างและความแตกต่างในสังคม ไปพร้อมกัน
นั่นหมายถึง ในขณะที่รัฐบาลต่างๆทั่วโลกกระโจนเข้าสู่กระแส e-government ด้วยการเร่งลงทุนและเร่งผลักดัน ให้หน่วยงานต่างๆของภาครัฐ สร้างระบบบริการ ทั้งที่มีต่อภาคประชาชน ภาคเอกชน หรือต่อหน่วยงานภาครัฐด้วยกัน บนโครงข่ายอินเตอร์เนต หมายความว่า ภาคประชาชนมีความจำเป็น ที่จักต้องรับบริการผ่านโครงข่ายอินเตอร์เนตมากขึ้นและมากขึ้นโดยปริยาย หากภาคประชาชนต้องการรับบริการจากภาครัฐ
ปัญหาช่องว่างและความแตกต่างในสังคม อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ICT หรือ digital divide เกิดขึ้นเนื่องจากความจริงที่ว่า ประชาชนทุกคนไม่มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี ICT หรือ ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อรับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของภาครัฐในครั้งนี้
ภาพที่เกิดขึ้นคือ กลุ่มประชาชนผู้ไม่มีความรู้ความสามารถ หรือไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี ได้อย่างเท่าเทียม มีแนวโน้มที่จะถูกละเลย และไม่ได้รับบริการจากภาครัฐอย่างเหมาะสมหรืออย่างที่ควร
ลักษณะและความรุนแรง ของปัญหานี้ในแต่ละประเทศ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสะท้อนความวิสัยทัศน์และความตั้งใจจริงของภาคภาครัฐบาล รวมถึงเหตุผลเบื้องหลัง การลงทุนในโครงการทางเทคโนโลยี ที่มีมูลค่ามหาศาลในครั้งนี้ ของประเทศนั้น ว่ามีการวางเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่สิ่งใด ซึ่งโดยทั่วไปอาจถูกแบ่งออกได้เป็นสองประเภท
ประเภทแรก เมื่อเป้าหมายสูงสุดของการลงทุนในครั้งนี้คือ เพื่อยกระดับการทำงานของระบบงานภาครัฐทั้งระบบ โดยการปรับให้มีระบบการทำงานพื้นฐานอยู่บนระบบคอมพิวเตอร์ (computer-based system) และเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานผ่านระบบอินเตอร์เนต ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของภาครัฐ มีการพัฒนาขึ้น แต่ปัญหา digital divide ไม่ได้รับการใส่ใจจากโครงการ e-government เนื่องจาก ไม่ได้ถูกตีความรวมอยู่ในเป้าหมายสูงสุด
ประเภทที่สอง เมื่อเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ การทำให้ทั้งประเทศได้รับประโยชน์ จากการลงทุนในครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในตัวแปรชี้วัดความสำร็จของโครงการนี้ จักต้องรวม การวัดความสำเร็จของการทำให้ภาคประชาชน สามารถเข้าถึงหรือเข้ารับบริการภาครัฐบนเครือข่ายอินเตอร์เนต รวมทั้งการให้ความรู้และสร้างความสามารถ ให้กับภาคประชาชนในการใช้งานเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ได้อย่างทั่วถึงและอย่างเท่าเทียม และนั่นหมายความว่า โครงการ e-government ในหลายๆประเทศ กำลังประสบความล้มเหลว เนื่องจากไม่สามารถตอบสนองเป้าหมายสูงสุดของโครงการได้
หากรัฐบาลประเทศใด สามารถจัดเป้าหมายการลงทุนในโครงการ e-government ของตน อยู่ในประเภทแรก ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า รัฐบาลนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จักต้องพิจารณาว่า อะไรคือเป้าหมายอันแท้จริงของการดำรงอยู่ของหน่วยงานรัฐ หากเปรียบหน่วยงานรัฐเหมือนหน่วยงานภาคเอกชน ในขณะที่การให้บริการและการทำให้ลูกค้าพึงพอใจ เป็นภาระกิจหลักที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของหน่วยงานภาคเอกชน การให้บริหารและทำให้ประชาชนทุกคน พึงพอใจอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ย่อมเป็นภาระกิจหลักที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของหน่วยงานภาครัฐเช่นกัน
อีกทั้งการลงทุนครั้งนี้ย่อมไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด หากรัฐบาลจะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีอันเลิศล้ำทันสมัย แต่ประชาชนกลับไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยในทัศนะของข้าพเจ้านั้น รัฐบาลในประเภทที่หนึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จักต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายโครงการ ให้เป็นโครงการในประเภทที่สอง
หากรัฐบาลประเทศใด สามารถจัดตนเองอยู่ในประเภทที่สอง แต่ไม่ตระหนักถึงวิธีการแก้ไขปัญหาอันเกิดจาก digital divide หรือ ในปัจจุบันให้ความตระหนักอยู่แล้ว แต่ปัญหายังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า รัฐบาลนั้นมีความจำเป็นต้องให้ ความสำคัญกับปัญหา digital divide ควบคู่ไปกับความใส่ใจในความก้าวหน้าของโครงการ e-government ไม่เช่นนั้นปัญหาความเหลื่มล้ำทางสังคม อันเนื่องมาจากความได้เปรียบเสียเปรียบของการเข้าถึงบริการภาครัฐ ก็จะกลายเป็นปัญหาใหม่ ที่ซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไม่สามารถช่วยเหลือได้แต่อย่างใด
ในทัศนะของข้าพเจ้า ปัญหา digital divide เป็นปัญหาที่ทุกประเทศ ต้องให้ความใส่ใจและดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเท่าทัน เนื่องจากเป็นปัญหาที่มีต้องพิจารณาแก้ไขจากด้านอื่นๆ นอกเหนือจากเทคโนโลยี และต้องใช้ระยะเวลานานในการดำเนินแก้ไข
ความจริงที่ว่าปัญหา digital divide เป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาแก้ไขจากหลายๆด้าน สามารถรับรู้ได้เมื่อคำนึงถึงคำถามที่ว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนโดยทั่วไป มีความรู้และความสามารถ อย่างเพียงพอและเท่าเทียม ในการใช้งานเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโครงการ e-government กับคำถามที่ว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนทุกคน สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการเข้าใช้งานบริการต่างๆ ในระบบ e-government จากภาครัฐ ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งการตอบสองคำถามใหญ่ข้างต้นนี้ ต้องการการวางแผนและการทำงานร่วมกันทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของ ภาคการศึกษา และ ภาคการเงิน เพื่อสร้างระบบซึ่งสามารถทำให้ประเทศหนึ่งๆ มั่นใจได้ว่าปัญหา digital divide ถูกแก้ไขและดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ
และแน่นอนว่าการดำเนินการข้างต้น ต้องใช้ระยะเวลานาน ในการดำเนินการให้สำเร็จ สืบเนื่องจากในสังคมปัจจุบัน ความแตกต่างในเรื่องของความรู้และความสามารถเกี่ยวกับเทคโนโลยี มีอยู่สูง อีกทั้งความสามารถในการเรียน รู้หรือความสามารถในการรับการพัฒนา ของประชาชนแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวเนื่องกับ ความสามารถทางการเงิน ที่แต่ละบุคลจะสามารถใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีที่จำเป็นอีกด้วย
นี่เป็นอีกครั้งนึงที่ชี้ให้เห็นว่าการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถช่วยให้มนุษย์สร้างความเปลี่ยนแปลง อย่างที่ตนต้องการได้ หากแต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า เรามีความเข้าใจอย่างลึกซึ่งหรือไม่ว่า สิ่งที่กำลังทำหรือกำลังลงทุนไปนั้น ทำเพื่อประโยชน์สูงสุดอะไร และอะไรคือส่วนผสมอื่นๆอันนอกเหนือจากเทคโนโลยี ซึ่งขาดไม่ได้