Skip to main content

พื้นที่ป่าเมืองไทยล่าสุดเหลือเท่าไร ระหว่างปี พ.ศ. 2504-2552 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่ามากกว่า 72 ล้านไร่ เฉลี่ยป่าถูกทำลายปีละ 1.6 ล้านไร่ และในปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าร้อยละ 53.3 หรือประมาณ 171 ล้านไร่ พอมาถึงปี พ.ศ. 2552 ประเทศไทยเหลือผืนป่าเพียงร้อยละ 30.86 หรือ 99.15 ล้านไร่  คือสีเขียวของป่าลดลงเรื่อยแบบสาละวันเตี้ยลงๆ

มีข่าวการลักลอบตัดไม้

ทำลายป่า บุกรุกพื้นที่อุทยาน เสมอมา สร้างรีสอร์ตและบ้านพักตากอากาศในเขตหวงห้าม ล่าสัตว์ป่า จับสัตว์ป่าไปขายต่างประเทศ ผืนป่าลดลงทุกวัน เพียงใช้เลื่อยยนต์ไม่ถึงนาที ไม้ใหญ่โค่นตึงเกลื่อนกลาดเหลือแต่ตอ แม้จะมีโครงการปลูกป่า แต่กว่าจะได้ไม้โตใช้ทำประโยชน์ ให้ร่มเงา  ช่วยอุ้มน้ำ ชะลอการไหลของน้ำยามน้ำหลาก รู้กันดีต้องใช้เวลาชั่วอายุคน ต้นไม้ที่หลายคนปลูกจึงจะโตทดแทนได้

สาเหตุป่าไม้ลดลง

ไล่จากสาเหตุเล็กไปหาใหญ่  เนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้น พื้นที่ไม่เพียงพอต่อการทำเกษตร จึงต้องบุกรุกป่าด้วยความจำเป็นเพื่อยังชีพ บางรายตั้งใจรุกป่าเข้าไปอย่างเจตนาไม่บริสุทธิ์ มีการทำลายป่ารุนแรงและรวดเร็ว เนื่องจากมีเลื่อยยนต์ มีรถไถ  ประการที่สอง มีการตัดถนนเข้าผืนป่าหรือสร้างชุมชนรอบๆป่า ประการที่สาม สาเหตุสำคัญที่สุด การทำลายป่าเพื่อทำธุรกิจของนายทุน โดยความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การทำรีสอร์ต การสร้างบ้านพักตากอากาศ

ผลเสียของการทำลายป่า

เป็นเรื่องที่รู้กันดี ผืนป่าเมื่อไม่มีต้นไม้คลุมดิน น้ำฝนที่ตกจะกัดเซาะหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ไหลไปกับกระแสน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในฤดูฝน  และเกิดแห้งแล้งในฤดูแล้ง  ลองนึกดูเหตุการณ์ของประเทศไทยเราที่ผ่านมา  และดูผลที่ธรรมชาติจะลงทัณฑ์เราในอนาคต ยังติดตามด้วยปัญหาโลกร้อน เช่น ที่อเมริกา พื้นที่ภาคตะวันออกร้อนจัดเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิระหว่าง 38-41 องศาเซลเซียส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 33 คน น้ำขั้วโลกละลายเร็วกว่าอดีตในรอบ 100 ปี...และที่สำคัญ  ป่าไม้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ป่า การตัดไม้ทำลายป่าจะเป็นการทำลายแหล่งอาหารของคนและสัตว์ ทำลายวงจรชีวิตสัตว์และพืชต่างๆหลากหลายพันธุ์  ทำลายระบบนิเวศวิทยา ส่งผลให้สัตว์และพืชลดปริมาณ จนอาจสูญพันธุ์ในที่สุด

จะแก้ปัญหาอย่างไร

ผู้ใดเล่าจะลงมือแก้ไข กลุ่มคนหรือองค์กรใดจะมีบทบาท ทำสิ่งอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม...เมื่อกลางดึกวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2555 นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ 5,000 คน บุกรื้อรีสอร์ตที่บุกรุกพื้นที่อุทยานทับลาน รวมทั้งหมด 9 แห่ง(มาตรา 22 ตาม พ.ร.บ.อุทยานฯ พ.ศ.2504)  1 ใน 9 แห่งนั้น มีรีสอร์ตขนาดใหญ่ “บ้านทะเลหมอก” มูลค่า 300 ล้านบาท และทางเจ้าของประกาศจะฟ้องร้อง พร้อมทั้งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ ต่อมามีข่าวว่า จะมีการย้ายนายดำรงค์ พิเดช ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากฝ่ายการเมืองไม่พอใจที่เขาเข้าไปรื้อรีสอร์ต แต่ฝ่าย นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ ไม่ยอมลงนามคำสั่งย้ายนายดำรงค์ พิเดช เนื่องจากเห็นว่า คดีนี้ศาลพิพากษาให้รื้อถอนไปแล้ว และคดีสิ้นสุดลงแล้ว  ด้านนายดำรงค์ พิเดช กล่าวว่า หากต้องถูกโยกย้ายก็น้อมรับคำสั่ง ไม่ติดใจอะไร เพราะเหลือเวลาอีก 2 เดือนตนก็จะเกษียณ หากตนอยู่ในตำแหน่งต่อไป จะเดินหน้ารื้อถอนรีสอร์ตที่บุกรุกพื้นที่อุทยานอีก 418 คดี(น่าจะบอกชื่อผู้ครอบครอง) จนกว่าตนจะเกษียณ ส่วนนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเพียงแค่ตั้งกรรมการมาสอบสวนเพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม

นายดำรงค์ พิเดช ไม่ได้ต่อสู้กับฝ่ายต้านการรื้อรีสอร์ตและบ้านพักตากอากาศตามลำพังโดดเดี่ยว มีฝ่ายที่ออกมาสนับสนุนการทำหน้าที่ของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯคนนี้ เช่น สมาคมศิษย์เก่าคณะวนศาสตร์ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร มูลนิธิเพื่อนช้าง สมาคมอุทยานแห่งชาติและสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เครือข่ายจัดวิกฤติป่าไม้และน้ำ รวมกว่า 15 องค์กร นับเป็นครั้งแรกที่ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่น่าจดจำ บันทึกไว้ เพื่อเป็นตำนานให้คนได้สืบสาน แผ่นดินนี้ยังมีคนหาญกล้า คนทำดี ทำถูกต้อง และถูกกฎหมาย ให้เห็นได้ชื่นใจเสมอ แม้มีน้อยและหายากเต็มที คนที่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองตัวจริง อย่าปล่อยให้เขาต่อสู้ตามลำพัง จนท้อถอยหมดแรงล้มลง เช่น คุณสืบ นาคะเสถียร ผู้ลงทุนปลิดชีพตนเอง เพื่อให้สังคมได้ตื่นขึ้นและตระหนักถึงการคุ้มครองสัตว์ป่าและพิทักษ์ผืนป่า  รู้ไหมว่าสีเขียวของผืนป่าในแผนที่ลดลงทุกวัน หายนะยืนรอข้างหน้า โอ !  ประเทศเรากำลังเดินไปสู่นิยายเรื่อง “ฟ้าจรดทราย” ทีละก้าวอย่างช้าๆ กระมัง.

                                         

 

บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  อ่านกวีนิพนธ์ ของโอมาร์ คัยยัม กวีชาวเปอร์เซียหรืออิหร่าน โดยแคน สังคีต แปลเป็นภาษาไทย ได้เนื้อหาเกี่ยวกับความรักว่า                                                     อันความรัก คืออะไร          ควรใคร่คิด          …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  เนาวรัตน์กวาดสายตา เข้าไปในตัวบ้านไม้ชั้นเดียว พื้นบ้านต่ำกว่าระดับถนนคอนกรีตเล็กน้อย   ข้างฝามีปฏิทิน มีรูปคณะซอ   มีรูปแม่จันทร์สม สายธารา   นั่งคู่กับผู้ชายวัยใกล้เคียงกัน   เนาวรัตน์คาดคะเนว่า คงเป็นครูคำผาย นุปิง ทั้งคู่อยู่ในชุดคนเมือง   ข้างหลังนั่งล้อมวง   สวมเสื้อหม้อฮ่อม ปี่ 3 คน ซึง 1 คน เนาวรัตน์มองดูที่หน้าบ้านริมถนน มีสิ่งก่อสร้าง คล้ายโรงครัวเล็กๆ   มีป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดข้างฝา   บอกชื่อแม่จันทร์สม สายธารา   ที่อยู่  …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  เสียงปี่ผสมเสียงซึงดังขึ้น  รับกับเสียงผู้ขับซอ   เสียงปีและซึงผสมกลมกลืนมีทั้งหวานแหลมและนุ่มนวล   ก่อเกิดบรรยากาศความเป็นชาวเหนือขึ้นมาทันที   ผู้ขับซอชายนั่งขัดสมาธิ มือถือไมโครโฟนไร้สาย ผู้หญิงนั่งพับเพียบเคียงกัน หันหน้าอวดผู้ชม   ยามผู้ชายขับซอ   ผู้หญิงเอียงตัวไปมา มือไม้ขยับรับเสียงดนตรี   ทำนองดนตรีนั้นเนาวรัตน์ฟังไม่ออก เป็นเพลงอะไร สมัยเด็กๆเขาเข้าใจว่า คนเป่าปี่และคนดีดซึง คงเล่นเพลงเดียวตลอดงาน เพราะฟังทีไรก็เหมือนเดิมทุกที …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
    เนารัตน์ข้าราชการบำนาญ นั่งเก้าอี้พลาสติกของวัด   ดูซอที่ตั้งเวทีข้างประตูวัด สถานที่ซอเป็นยกพื้นขึ้นสูงราวคอผู้ใหญ่ ปูพื้นด้วยไม้กระดาน ล้อมสามด้านด้วยไม้ไผ่ลำโตขนาดข้อมือเด็ก ด้านละ 2 ต้น คล้ายเชือกกั้นเวทีมวย อีกด้านมีบันไดพาด สำหรับให้คณะซอปีนขึ้นไป สถานที่ขับซอเรียกว่า “ผามซอ” พื้นจะปูด้วยเสื่อ ความจริงเนาวรัตน์ไม่อยากมาชมเท่าไร   อยากได้เรื่องราวเกี่ยวกับด้านบันเทิงของชาวเหนือ นำไปเขียนลงเวบเพื่อเผยแพร่ หรือส่งไปยังหนังสือที่เขาต้องการ...ในวัยเด็กย่าบอกว่า ซอสนุกมาก …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
    ผู้ใหญ่บ้านได้พูดเสริมต่อจากเจ้าอาวาส “กรรมการวัด ได้มีการประชุมหารือกันก่อนแล้วแล้วรอบหนึ่ง มีเจ้าอาวาสเป็นประธาน คณะกรรมการวัด มีข้อคิดความเห็นว่า จะขอความร่วมมือร่วมใจจากศรัทธาญาติโยมทุกคน ช่วยกันบริจาคเงินเพื่อจัดงานบวช ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 โดยจะขอเก็บหลังคาละ 140 บาท เงิน 40 บาทจะเป็นค่าจัดทำอาหารกลางวัน  เลี้ยงศรัทธาทั้งหมู่บ้าน ส่วนอีก 100 บาท จะเป็นค่าทำบุญและค่าจ้างซอมาเล่นเฉลิมฉลอง จึงอยากถามหมู่เฮาชาวบ้านว่า  จะเห็นด้วยไหม ?” มีเสียงพึมพำอึงในวิหาร …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
    เสียงเคาะลำโพงปลายเสาไฟฟ้า   ในหมู่บ้านทุ่งแป้ง   ดังขึ้น 3 ครั้ง แล้วมีเสียงพูด “ ฮัลโหล !   ฮัลโหล !   ครับ !   ขอประชาสัมพันธ์ วันนี้กินข้าวแลงแล้ว   เวลาประมาณ 1 ทุ่มเศษ   ขอเชิญทุกบ้านทุกหลังคาเรือน   มาประชุมพร้อมกันที่วัดทุ่งแป้งนะครับ มีหลายเรื่องที่จะประชุมหารือกัน   อย่าได้ขาดกันเน้อ   บอกต่อๆกันไปด้วยเน้อครับ...ขอขอบคุณครับ”
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
   
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
    ได้ยินเสียงหมอเรียก เราทั้งคู่รีบเข้าไป เห็นเจ้าเหมียวนอนตะแคงนิ่งเหมือนท่อนไม้ ลิ้นแดงเล็กห้อยคาปาก หมอบอกว่า เอาลิ้นมันคาปากไว้ หากลิ้นค้างในปากขณะมันสลบ ลิ้นอาจจุกปากหายใจไม่ออกอาจตายได้ มันจะสลบสัก 1 ชั่วโมง ลุงกับป้าช่วยกันอุ้มมันขึ้นรถ   วางมันบนเบาะหลังที่มีผ้าขนหนูรอง พอถึงบ้านอุ้มมันไปวางราบบนม้ายาวที่มีหมอนรอง ลิ้นยังคาปากเหมือนเดิม อดนึกไม่ได้ว่าตอนแมว
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
 
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  ผมมองผ่านทางเดิน ไปห้องครัว เห็นแมวต่างบ้าน เดินย่องเงียบกริบออกมา เจ้าตัวนี้มาขโมยอะไรกินบ่อยๆ ผมหมายตาจะเล่นงานมันหลายครั้ง แต่มันรอดปลอดภัยทุกที ไม่ทำร้ายอะไรมากมายหรอก จะหาไม้เล็กๆไม่ทันแล้ว เราก็นักฟุตบอล ใช้เท้าเคลื่อนไหวประจำ เตะได้ทั้งซ้ายขวา ไม่รู้จักศูนย์หน้าทีมโรงเรียนดังซะแล้ว จะหลบซ้ายขวาเจอหมด  ฮะฮ่า !..เสร็จแน่เจ้าเหมียว แมวขาวดอกลายเดินกลับออกมาใกล้ถึงมุมห้องแล้ว ผมโผล่พรวดออกไป มันตกใจยืนตลึง ผมส่งเสียงข่มขวัญ มันตั้งหลักได้ขยับวิ่งไปทางขวาแล้วแวบมาทางซ้าย …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
      พออากาศเริ่มเย็น เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว นกเอี้ยงที่เคยหายไป เริ่มกลับมาส่งเสียงแก๋ๆ ตามยอดต้นโพธิ์ข้างวัด ส่วนนกเขาอยู่ประจำถิ่นในหมู่บ้าน ฤดูไหนผมก็ยังเห็นนกเขาเสมอ เดินไปมาตามถนนบ้าง เกาะสายไฟบ้าง บ้านนี้นกเขามากจริงๆ คนแปลกหน้าเข้ามา จะได้ยินเสียงนกเขาคูระงมหมู่บ้าน คงนึกว่าหมู่บ้านนี้เลี้ยงนกเขา ความจริงไม่เห็นใครเลี้ยงนกเขาเลย มันเป็นนกที่หากินเอง ว่างจากหาอาหาร มันจะคูเสียงขับกล่อมผู้คนชาวทุ่งแป้ง ขณะผมพิมพ์หนังสือ ยังได้ยินเสียงคูทุ้มๆ มาจากทิศเหนือ ละแวกบ้านน้าบุญแว่วมา …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  แปรงฟันล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย ผมกลับมายืนดูที่หน้าต่างดังเดิม ฝูงนกยางยังคงบินตามกันเต็มท้องฟ้า ไม่รู้จักหมดสิ้น อากาศเริ่มเย็น ลมเย็นพัดมาจากทุ่งหน้าบ้านเอื่อยๆ บอกสัญญาณย่างเข้าสู่ฤดูหนาว นกมากมายไม่รู้มันมาจากไหน มาไกลแค่ไหน บ้างว่ามันมาจากไซบีเรีย จีน มองโกล หิมาลัย มันเป็นนกปากห่าง  นกยาง ฯลฯ จำนวนเป็นแสนตัวทีเดียว สิ่งที่ตามมาคือโรคติดต่อ ต้องระวังไข้หวัดนก ที่มันนำมาฝากเจ้าของบ้าน