Skip to main content

คณะลิเกมาสู่หมู่บ้านด้วยเหตุบังเอิญ


วันหนึ่ง ยายนุ้ยทำบุญที่บ้านตอนเช้า พอตกบ่าย ก็นิมนต์พระหลานชายที่บวชมาได้สามพรรษาสอบได้นักธรรมโท มาเทศน์ พอตกค่ำ แกก็จ้างลิเกมาเล่นที่ศาลากลางหมู่บ้าน

วันนั้น ที่บ้านยายนุ้ยจึงมีคนหนาตา โดยเฉพาะช่วงที่มีลิเก เพราะนานนักหนาแล้วที่ไม่มีลิเกมาเล่นในหมู่บ้าน สมัยนี้เวลามีงาน ถ้าไม่ใช่วงดนตรี(อิเลกโทน)นุ่งน้อยห่มน้อย ก็เป็นหนังกลางแปลง

ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ใครต่อใครก็อยากดู พระเอกรูปหล่อ นางเอกนัยตาคม ตัวโกงหน้าโหด ตัวตลกน่าเตะ เครื่องเพชรแวววับทิ่มทะแยงตา เสียงระนาด ตะโพน รัวเร้าใจ

แหม...ถ้าเป็นไชยา มิตรชัย ละก้อ...เหมาะเลยนิ..ข้าจะทำพวงมาลัยแบงค์ห้าร้อยคล้องคอให้ซะเลย...” ป้านิ่มว่า พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

...ได้ดูลิเกฟรีแล้วยังจะเอาไชยา มิตรชัยอีกเหรอป้า ? ...” น้าไก่สงสัย

...ข้าก็พูดไปงั้นแหละ...”

คืนนั้น ลิเกเล่นเรื่อง “มเหสีจำเป็น” ตามท้องเรื่อง เล่าถึง ตัวนางเอกซึ่งเป็นพระราชธิดาองค์หนึ่ง ปลอมตนเป็นคนธรรมดา พร้อมด้วยสาวใช้คนสนิท หนีมาเที่ยวต่างเมือง ฝ่ายเจ้าชายเมืองนั้น กำลังกลัดกลุ้มพระทัยที่ถูกพระราชบิดาและพระราชมารดาบังคับให้แต่งงานกับเจ้าหญิงต่างเมือง เจ้าชายจึงคิดแผนจ้างหญิงสาวมาเป็นคนรัก เพื่อตบตาพ่อแม่ ซึ่งหญิงสาวคนนั้น ก็คือนางเอกที่ต้องตกกระไดพลอยโจนไปเป็นมเหสีจำเป็น


เรื่องดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ก่อนจะลงเอยอย่างสมหวังว่า ที่แท้ ทั้งสองก็เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันอยู่แล้วนั่นเอง


ลิเก เริ่มเล่นตอนสองทุ่ม ไปจบเอาเกือบเที่ยงคืน เก้าอี้ห้าสิบตัวมีคนนั่งเต็ม ที่ยืนดูขาแข็งอีกหลายสิบ กระนั้นก็แทบจะไม่มีใครขยับกลับบ้านก่อนเลย พอลิเกจบก็เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราว ป้านิ่ม น้าจู ยายแป้ว ยายจัน ควักแบงค์ห้าร้อย ส่งให้พระเอก นางเอก ที่เดินมากราบถึงตักคนให้ คนอื่นๆ ก็พากันควักแบงค์ยี่สิบ แบงค์ห้าสิบมาให้มั่ง กว่าจะเลิกราแยกย้ายกันกลับบ้าน พระเอกนางเอกกำเงินกันคนละฟ่อน สองฟ่อน


“...
พรุ่งนี้ จะไปงานที่ไหนต่อล่ะ ? ...” ยายนุ้ย เจ้าภาพถามหัวหน้าคณะ ขณะกำลังเก็บฉาก

...ไม่มีหรอกจ้ะ ช่วงนี้เข้าพรรษา งานหายาก...” หัวหน้าคณะยิ้มเศร้า ...ที่แม่นุ้ยจ้างพวกฉันนี่ก็เป็นงานเดียวในเดือนนี้ ...” พวกลิเก ชอบเรียกเจ้าภาพ หรือผู้อุปการะว่า แม่

... ไม่มีใครจ้าง แล้วอยู่กันยังไงล่ะ ?...”

...ก็แยกย้ายกันไป บ้างก็ไปรับจ้างเล่นแก้บน บ้างก็ไปรับจ้างเล่นตามงานศพ พวกที่มีสวน มีนาก็กลับไปทำ ก็อดบ้าง อิ่มบ้างเป็นธรรมดานั่นแหละจ้ะ ...”

...โถ...ลำบากแย่เลยนะ...”

...ไม่หรอกจ้ะ พวกฉันชินแล้ว...”

...เอางี้สิ ...ศาลาหมู่บ้านนี่นานๆ เขาถึงจะใช้ประชุมกันสักที ถ้ายังไม่มีที่ไปก็อยู่เล่นกันไปก่อน คนแถวนี้น่ะ เขาชอบดูลิเกกัน ได้น้อยได้มาก ก็ยังดีกว่าไปเร่ร่อนรับจ้างนะ...” ย้ายนุ้ยเสนอ


หัวหน้าคณะ กระพริบตาปริบๆ คิดคำนวณอย่างรวดเร็ว

...แล้วผู้ใหญ่บ้าน...”

...เดี๋ยวฉันไปขอให้ อยู่แค่ชั่วคราวคงไม่เป็นไรหรอก...”

หัวหน้าคณะ ก้มลงกราบขอบคุณยายนุ้ยผู้ชี้ทางสว่าง

 

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ลิเกคนยากคณะนี้ จึงเปิดวิกแสดงอยู่ที่ศาลากลางหมู่บ้านทุกค่ำคืน จะหยุดเล่น ก็แต่วันที่ฝนตกหนักจนไม่มีใครออกจากบ้านเท่านั้น


เพียงแค่สัปดาห์แรกผ่านไป หัวหน้าคณะก็เห็นว่า ตัดสินใจไม่ผิดเลยที่ปักหลักอยู่ที่นี่ เพราะ คนที่นี่ชอบดูลิเกกันจริงๆ จังๆ ดูกันได้ทุกคืน ไม่เคยเบื่อ ทางคณะก็เปลี่ยนเรื่องเล่นไปเรื่อยๆ ไม่มีซ้ำ ใช้เวลาตอนบ่ายซ้อม พอถึงเวลาเล่น ก็ดำเนินเรื่องไปตามบท


บางเรื่องก็มีหลายตอน ดูวันนี้ยังไม่จบก็ต่อวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้ ยาวยืดเป็นซีรีส์เกาหลี ขาประจำก็ไม่หนีไปไหน ยังคงมาให้กำลังใจกันคับคั่งทุกคืน

 

และไอ้ที่ถูกใจชาวคณะเหลือเกิน ก็คงเป็น บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ น้ำไฟไม่ต้องเสีย เปิดวิกกันที่ศาลา ชาวคณะก็กินอยู่หลับนอนกันเสียที่นั่น ห้องน้ำในศาลาก็มี แถมยังมีแม่ยก เอากับข้าวกับปลามาให้ทุกวัน...ปรีเปรมขนาดนี้ ลิเกก็ไม่อยากร่อนเร่ไปไหน

 

...เล่นทุกคืนไม่มีใครจ้าง แล้วลิเกมันได้เงินจากไหนล่ะ? ...” ไอ้เปีย คนไม่ดูลิเก ถามน้าหวี ซึ่งได้ยินเสียงลิเกเล่นชัดแจ๋วทุกวัน เพราะบ้านแกอยู่ตรงข้ามศาลา

...ก็เก็บเงินเอาน่ะสิ พอพระเอกออก ก็มีคนมาเดินเก็บตังค์ พอนางเอกออก ก็มาเก็บอีก แถมตอนใกล้ๆ จะจบก็มาเก็บอีกรอบ ก็ชาวบ้านน่ะนะ...มาดูแล้วก็ต้องให้ อย่างน้อยก็สิบยี่สิบ...”

...คนมาดูก็ใช่ว่าจะมาก คืนหนึ่งๆ มันจะได้เยอะสักแค่ไหนกันเชียว ? ...” ไอ้เปีย ถามพลางเคี้ยวลูกชิ้นทอดหยับๆ

...เอ็งก็คิดดูเอาเหอะ ขนาดข้า หลงไปดูเมื่อคืนก่อน ยังเสียไปคนเดียวตั้งหกสิบ แล้วที่ไปประจำๆ กันทุกคืน ตั้งร่วมยี่สิบสามสิบคนนั่นจะเสียคนละเท่าไร...คนละร้อยไม่พอละมั้ง...”

...แล้วจ่ายให้ทำไมตั้งเยอะแยะ เขาไม่ได้บังคับเสียหน่อย? ...”

...ข้าว่านะ...” น้าหวี ครุ่นคิด ...พวกลิเกมันต้องมีเมตตามหานิยม ใครไปดูก็ชอบ สงสาร เห็นใจ อดควักเงินให้ไปไม่ได้ พวกแม่ยกหลงลิเก ถึงให้นู่นให้นี่กันมากมายไงเล่า...แต่ข้าไม่ไปดูแล้ว เดี๋ยวอดให้ไม่ได้ เสียดายตังค์ว่ะ ...”

 

ว่ากันว่า คณะลิเกมีรายได้แต่ละคืน ร่วมพันสองพัน แต่หากเป็นคืนวันศุกร์วันเสาร์ รายได้จะมากเป็นเท่าตัว รายได้แค่นี้ อาจไม่มากหากแบ่งให้ชาวคณะทุกคน แต่กินฟรีอยู่ฟรี แต่ละคนเลยมีเงินเหลือเก็บกันวันละไม่น้อย


กระนั้น ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนชอบ คนไม่ชอบก็มี แถมไม่ชอบอย่างหนักเสียด้วย

 

พี่โตคนทำงานโรงงาน กลับถึงบ้านสองทุ่ม อยากพักผ่อน ก็ไม่ค่อยได้พัก เพราะเสียงลิเกดังหนวกหูเหลือเกิน พี่โตไปโวยวายที่โรงลิเก จนผู้ใหญ่บ้านกับกำนันต้องมาช่วยไกล่เกลี่ย เป็นเรื่องเป็นราวกันอยู่หลายวัน จนลิเกต้องหันลำโพงไปอีกด้านหนึ่ง และเบาเสียงลงอีกหลายขีด กระนั้น พี่โตก็ยังไม่ค่อยพอใจ กลายเป็นคนแรกๆ ของกลุ่ม คนไม่เอาลิเก


ที่เด็ดสุดคือลุงจ่า

ลุงจ่า รำคาญป้านิ่มเมียแกที่ติดลิเกเหลือเกิน ไปดูทุกคืนน่ะไม่ว่า แต่เอาตังค์ไปให้ลิเกคืนละสามสี่ร้อย ลุงจ่า เห็นว่ามันเกินไป

...ทีแกไปกินเหล้า เข้าคาฟ่ คืนละตั้งเป็นพันข้ายังไม่บ่นเลย แค่นี้มีปัญหานักหรือไง...” ป้านิ่มโวยวาย

...ข้าเลิกเหล้าเลิกเที่ยวคาเฟ่มาตั้งปีแล้ว เอ็งนั่นแหละ เมื่อไรจะเลิกเอาตังค์ไปให้ลิเกเสียที เมื่อเช้าอีหนูมันมาบอกข้าว่า เอ็งไม่ให้ตังค์มันไปโรงเรียน เพราะให้ลิเกไปหมดแล้ว มันเลยต้องมาขอตังค์ข้า เอ็งจะว่ายังไง? ...” ลุงจ่า โวยมั่ง

แต่เถียงไปเถียงมา ลุงจ่าก็เถียงสู้เมียไม่ได้เหมือนเดิม พอตกค่ำ ป้านิ่มก็แต่งตัวไปนั่งหน้าแฉล้มดูลิเก คราวนี้ ลุงจ่า แอบตามไปพร้อมพกความแค้นมาเต็มกระเป๋า


ขณะลิเกกำลังดำเนินเรื่องไปอย่างสนุกสนาน ป้านิ่ม ที่นั่งอยู่แถวหน้า ก็ร้อง โอ้ย ! เสียงดัง แกยกมือขึ้นกุมหัว หันไปมองข้างหลัง


ลุงจ่า กำลังเหนี่ยวหนังสติ๊ก ก่อนจะปล่อยหินลูกเล็กเข้าเป้าที่กลางศรีษะป้านิ่มอีกครั้ง

โอ้ย !! ไอ้จ่า ! ไอ้บ้า ! เอ็งเอาหนังสติ๊ก มายิงข้าทำไม ?!” ป้านิ่ม ลุกขึ้นโวยวายเสียงดัง คนอื่นหันมามองเป็นตาเดียว พระเอกที่กำลังจะออกฉาก หยุดชะงักไปชั่วขณะ

อย่างเอ็งมันพูดไม่รู้เรื่อง ต้องโดนแบบนี้” ลุงจ่า ยิงโดนหัวป้านิ่มอย่างแม่นยำอีกหนึ่งลูก แล้วหัวเราะอย่างสะใจ


คราวนี้ ป้านิ่ม พ่นคำด่าออกมาเป็นชุดๆ พลางสาวเท้าเข้าหา ลุงจ่า ก็ว่องไวอย่างเหลือเชื่อ พอป้านิ่มขยับ แกก็ออกวิ่งพลางหันมายิง พอเสียงด่า กับร่างของสองลุงป้า ออกไปห่างจากโรงลิเก ชาวบ้านทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครง

...ลุงจ่า คิดได้ยังไงวะ เอาหนังกะติ๊ก มายิงป้านิ่ม...” ไอ้ปุ้ย หัวเราะจนน้ำตาไหล


ทุกคนพากันหัวเราะและพูดคุยเรื่องผัวเมียทะเลาะกันสดๆ ร้อนๆ ที่เพิ่งได้เห็น จนกระทั่งลืมลิเกไปชั่วครู่ พระเอกได้แต่ยิ้มแห้งๆ แต่พอหัวหน้าคณะพยักหน้าให้เล่นต่อพลางตีตะโพนเสียงดัง คนดูก็หันกลับมาดูลิเกตามเดิม

 

ลุงจ่า กลายเป็นสมาชิกหมายเลขสองของกลุ่มคนไม่เอาลิเก และกลุ่มที่ว่านี้ ก็ทำท่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อบ้าน ที่มีแม่บ้านติดลิเก


หลายครอบครัวเริ่มมีปัญหา เพราะคนในครอบครัวเกิดอาการ “หลงลิเก” มีเงิน มีของกิน ก็เอาไปให้ลิเก ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่หลายครั้ง ให้มากเสียจนคนในบ้านไม่มีจะกิน ขณะที่ลิเกผอมๆ ชักจะมีเนื้อมีหนัง บางคนก็เริ่มจะมีทองหยองใส่ ไอ้ตัวโกงถอยจักรยานคันใหม่เอี่ยมมาขับฉวัดเฉวียน


หัวหน้าคณะเริ่มเลียบเคียงถามคนในหมู่บ้านว่า แถวนี้มีที่ราคาถูกๆ ขายบ้างหรือเปล่า ใครได้ยินก็สงสัยว่า จะมาปลูกบ้าน หรือจะเปิดวิกลิเกเป็นการถาวรกันแน่ ขณะที่ ศาลาของหมู่บ้านก็เริ่มสกปรกเพราะคนอยู่กันเยอะ และถูกใช้งานทุกวันแต่ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด พอกรรมการหมู่บ้านมีเรื่องจะประชุม ก็ต้องย้ายไปขอยืมศาลาวัดแทน

 

คำถามเดียวที่กลุ่มคนไม่เอาลิเก และกลุ่มคนที่สงสัยว่าทำไมลิเกไม่ไปไหนเสียที ต่างพากันซุบซิบกันดังกระหึ่ม คือ

ผู้ใหญ่บ้าน ทำไมจึงยอมให้คณะลิเกใช้ศาลาของหมู่บ้านฟรีๆ ไม่ยอมไล่ไปไหนเสียที?”

บางคนรู้คำตอบดี แต่ขี้เกียจพูด อาจเพราะรู้ว่า พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ทั้งระดับหมู่บ้านจนถึงระดับชาติ คำตอบนี้ก็ไม่ต่างกัน

 

ก็ถ้าผู้ปกครองไม่ได้ประโยชน์อะไร ทำไมสิ่งที่ไม่ถูกไม่ต้อง มันยังคงอยู่ได้เล่า ?

 

 

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
แกชื่อยายอิ่ม ผู้เคยเฉิดฉายในวงสังคม เพราะคัดสรรเฉพาะสามีรวย หนีออกจากบ้านไปมีผัวตั้งแต่อายุสิบสอง ผ่านมาสี่สิบกว่าปี มีผัวมากี่คน คงนับได้ยากเสียแล้ว พอยายอิ่มแก่ตัวลูกก็หนีหาย ต่างคนต่างไป ไม่มีใครเลี้ยง สุดท้าย แกคว้าตาหงอก ผู้(อ้างว่า)เป็นผู้ดีเก่ามาไว้หาเลี้ยงจนได้ สมัยสาวๆ ยายอิ่มได้มรดกจากพ่อแม่ไปเยอะ แต่ขายกินจนหมด แกมีชื่อเสียงมากด้านความคด ในข้องอในกระดูก ถึงขนาดที่ แม้แต่พี่น้องด้วยกันก็ยังโดน จนต้องตัดพี่ตัดน้องกันนั่นแหละ ในที่สุด พอแก่ตัวไม่มีที่จะอยู่ ต้องมาบีบน้ำตาขอที่จากแม่เฒ่า ซึ่งแม่เฒ่าแกก็ค่อยอยากจะให้ เพราะให้ไปมากแล้ว (แต่เอาไปขายกินหมด)…
ฐาปนา
นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่ ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด…
ฐาปนา
ทุกเช้า ประมาณตีสี่ครึ่ง หอกระจายข่าวกลางหมู่บ้านจะเปิดข่าวเช้า(มืด)จากสถานีวิทยุของจังหวัด เป็นสัญญาณให้ทุกบ้านตื่นนอน เตรียมตัวมาปฏิบัติภารกิจประจำวัน หุงข้าว ทำกับข้าว เตรียมใส่บาตร เตรียมตัวรอขึ้นรถไปโรงเรียน เตรียมตัวรอขึ้นรถไปทำงาน ใครไม่ตื่นก็ต้องตื่น เพราะเสียงดังจนตามเข้าไปถึงในฝัน รายการเช้ามืด เริ่มต้นด้วยเพลงปลุกใจให้ยึดมั่นในสถาบัน แล้วตามด้วยธรรมเสวนา จากเจ้าอาวาสวัดที่เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด ตามด้วยสาระน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องการเกษตร การทำมาหากิน โครงการต่างๆ จากรัฐบาล และ การปฏิบัติงานของหน่วยงานในจังหวัด
ฐาปนา
เช้าตรู่ของวันอากาศดีเสียงตามสายประกาศให้สมาชิกสหกรณ์การเกษตร เข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกันตอนบ่ายโมงตรง ณ ศาลาของหมู่บ้านพอบ่ายโมงครึ่ง สมาชิกสหกรณ์ฯ ก็มากันพร้อมหน้าเจ้าหน้าที่สหกรณ์มากันสามคน คนที่ดูอาวุโสกว่าใคร พูดมากกว่าใคร และเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าใคร เป็นหัวหน้าชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมได้รับกระดาษคนละหนึ่งแผ่น ปากกาคนละหนึ่งด้าม อ่านดู ก็เห็นว่าเป็นแบบฟอร์มสำรวจเรื่อง “ความพอเพียงในครัวเรือน”
ฐาปนา
ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากทะเล ป่าและเขาก็อยู่ไม่ไกล มีคลองส่งน้ำจากเขื่อนผ่านพื้นที่อย่างทั่วถึง ทำนาได้ปีละสองครั้ง ด้านป่าบนติดเขื่อน เขาปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ได้ผลที่มีรสชาติไม่น้อยไปกว่าทางภาคใต้หรือทางภาคตะวันออก แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ ถนัดปลูกผัก เพราะเก็บขายได้ตลอดทั้งปี แต่ละวันจะมีรถสิบล้อขนผักผลไม้ วันละหลายสิบคันวิ่งจากตำบลต่างๆ ในอำเภอ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ พระประแดง สมุทรปราการ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ฯลฯ พร้อมด้วยผลิตผลทางการเกษตรสารพัดอย่าง ตั้งแต่ของจำเป็นในครัวอย่าง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว พริก หอม กระเทียม ไปจนถึงผักเจ้าประจำบนแผงผักทั้ง กะเพราะ โหระพา สะระแหน่ บวบ…
ฐาปนา
ดั้งเดิม ก่อนที่แต่ละบ้านจะมีเอกสารกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินของตัวเอง บ้านส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “รั้ว” อย่างเป็นทางการ เพราะแต่ละบ้านในละแวกก็ล้วนพี่น้อง หรือนับไปนับมาก็ญาติกันทั้งนั้น อาจปลูกต้นไม้เป็นแนวให้บอกได้ว่าเป็นแดนใคร แต่จะถึงขั้นปักเสาขึงลวดหนาม หรือก่อกำแพงล้อมนั้นน้อยราย เพราะถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเงิน เขตบ้านใครก็บ้านมัน ถึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ ถึงไม่มีรั้วรอบขอบชิด ก็ไม่ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครคนหนึ่งเกิดอยากทำเอกสารสิทธิ์ที่ดินของตน จากที่เคยชี้นิ้วบอกว่านี่เขตใคร การออกเอกสารสิทธิ์…
ฐาปนา
วัยเยาว์ของเธอ ขณะที่หัวใจครึ่งหนึ่งเปี่ยมด้วยความฝันและความหวัง ทะเยอทะยานปรารถนา แต่หัวใจอีกครึ่งกลับอ่อนไหว บอบช้ำง่าย ทั้งยังอ่อนด้อยต่อโลกแห่งเหตุผล อนาคตเลือนลางอยู่ในความฝันยามหลับ และวนเวียนอยู่ในความคิดยามตื่น เธอร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจบอกได้ มองไม่เห็น ไม่รู้จุดเริ่มต้น ไม่รู้จุดสิ้นสุด พลังสร้างสรรค์ของเธอฟุ้งกระจาย ไร้ทิศทาง เมื่อคำว่า ความพร้อม อยู่ห่างจากความเข้าใจ เธอจึงได้แต่ก่นโทษตนเองอยู่เป็นนิจ เธอร่อนเร่ไปในเมืองของผู้อื่น จากเมืองสู่เมือง แลกความเพียรกับเงินเลี้ยงชีพ ยิ้มแย้มให้คำดูหมิ่นเพื่อจะได้เห็นเกียรติของตนเสื่อมค่าลง
ฐาปนา
(มะพร้าวกะทิ)ตอนอายุสิบขวบ ผมค้นพบว่าโลกนี้มีผลไม้ประหลาดที่เรียกว่า “มะพร้าวกะทิ” เมื่อพ่อซื้อมันมาจากตลาดฟังดูน่าหัวเราะ เหมือนชาวเมืองมาคอนโดค้นพบว่าโลกนี้มีน้ำแข็ง ในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวแต่นี่คือเรื่องจริงในวัยเด็กของผมอาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่นที่ผมอยู่ ไม่ใช่ของที่หากินได้ทั่วไป จึงได้มีราคาสูงถึงลูกละ 50 บาท ซึ่งแน่ละ สำหรับยี่สิบปีก่อน ถือว่า แพงมาก แล้วเมื่อแพงขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ใช่ของที่จะซื้อกันบ่อยๆผมจำความตื่นเต้นในการเจอหน้าครั้งแรกได้ดี มะพร้าวอะไรกัน มีเนื้อเต็มลูก ไม่แข็งแต่นิ่มๆ หยุ่นๆ รสชาติก็ลื่นๆ มันๆ…
ฐาปนา
แกชื่อยายหอม เป็นคนอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีแม่ของแกมีเชื้อลาวพวน พ่อของแกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน แต่เดิมแกอยู่ตำบลอื่น แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ แกเป็นคนรุ่นแรกที่มาหักร้างถางพงทำไร่ทำนาหมู่บ้านยุคบุกเบิก มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า สัตว์ป่าชุกชุม เข้าป่าเจอเสือ หรือเสือแอบเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน เป็นเหตุการณ์ประจำวัน คอกวัวสมัยนั้น ต้องกั้นเป็นฝาจึงพอกันเสือได้ ชาวบ้านกินเนื้อเก้ง เนื้อกวาง เนื้อไก่ป่า บ่อยกว่าเนื้อหมู หนองน้ำเต็มไปด้วยปลาตัวโตๆ ตะพาบตัวเท่ากระด้ง เรื่องผีสางนางไม้อยู่แนบชิดชุมชนมากกว่าเรื่องวัดเรื่องพระแกเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นแกยังเป็นสาว…
ฐาปนา
ในวัยหนุ่มสาว ขณะที่จิตใจยังถูกครอบงำด้วยความโรแมนติกเช่นเดียวกับหลายคน ผมฝันถึงบ้านที่มองเห็นภูเขา ฟ้ากว้าง ได้เฝ้ามองหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย อาบกายด้วยแสงอัสดงทุกวัน หรือ บ้านที่อยู่ริมทะเล เห็นเส้นขอบฟ้าไร้จุดสิ้นสุด ไกวเปลตามลมเห่ ต้นมะพร้าวโยกเอน นอนฟังเสียงคลื่นกล่อมชั่วกาลทว่าในบริบทของชีวิต ผู้ที่สามารถมีบ้านอย่างที่ฝันมีไม่มากเลย ทั้งเมื่อมีแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี กว่าจะแต่งเติมภาพฝันจนเสร็จจริง คนที่ให้ค่ากับความฝันสูงยิ่งทั้งไม่ยอมให้ความยากลำบากในชีวิตจริงมาบั่นทอนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับที่พำนักของหัวใจชั่วชีวิตเงื่อนไขของแต่ละคนไม่เท่ากัน…
ฐาปนา
เสียงจักจั่นกรีดปีกจากป่าเชิงดอย ฝ่าไอแดดร้อนมาถึงเคหะสถานเงียบงัน รถกระบะบรรทุกหนุ่มสาวร่างเปียกปอนยืนล้อมถังน้ำใบใหญ่แล่นผ่านไปหญิงชราถือสายยางเดินออกมาหน้าบ้าน ฉีดน้ำใส่พื้นถนน ไอน้ำระเหยขึ้นเด็กๆ หิ้วถังพลาสติก ขัน ปืนฉีดน้ำ มองสองข้างทางอย่างมีความหวังร้านขายน้ำปั่น น้ำแข็งไส ขายดีจนต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มในช่วงบ่ายเจ้าของโรงทำน้ำแข็ง หน้าบาน แต่ลูกจ้างหน้าเหี่ยว เพราะข้าวสารขึ้นราคาลิตรละหลายบาทแต่ค่าแรงเท่าเดิม    ดวงอาทิตย์กลับมาอยู่ใกล้ชิดโลก เหมือนคนรักที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้งมวลอากาศอบอ้าวเข้าเกาะกุมผิว ยึดทุกรูขุมขน เหงื่อเค็มถูกขับซึมเสื้อ เหนอะหนะ…
ฐาปนา
“...ทว่าการเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ครั้งนี้ต้องอาศัยปัญญามหาศาล ความกล้าหาญมหึมา และความมุ่งมั่นเหลือคณา เพราะความกลัวจะจู่โจมถึงแกนกลางของแนวคิดนี้ และป่าวร้องว่าผิดพลาด ความกลัวจะกัดกินเข้าไปยังแก่นแห่งสัจธรรมล้ำเลิศและแปลงให้เป็นเรื่องเท็จเทียม ความกลัวจะบิดเบือน และทำลาย ฉะนั้นความกลัวจะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ทว่าเธอไม่อาจมีและไม่อาจสร้างสังคมที่ปรารถนาและใฝ่ฝันมาช้านานจนกว่าจะเห็นปัญญาและกระจ่างชัดถึงปรมัตถ์สัจจ์ที่ว่า สิ่งที่เธอทำแก่ผู้อื่นเธอก็ได้ทำแก่ตัวเอง สิ่งที่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่น เธอก็ไม่ได้ทำให้ตัวเอง ว่าความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็คือความเจ็บปวดของตัวเธอ…