Skip to main content
ยายช้อย คนเคยรวย ชีวิตเปลี่ยนไปมาก หลังจากเป็นหนี้สหกรณ์ฯ หลายแสน


ก็ใครจะไปคิดเล่า อยู่ๆ เคยเลี้ยงหมูได้กำไรทีละเป็นแสน จู่ๆ หมูราคาตก กำไรที่คาดหวังเลยเข้าเนื้อแทน เมื่อทนทำต่อไป ยิ่งทำก็ยิ่งขาดทุน ทุนหายกำไรหด จนกลายเป็นหนี้ ถึงที่สุดก็ต้องหยุดเลี้ยง


ยายช้อยผู้เคยเดินชูคอสั้นๆ ป้อมๆ ของแกไปทั่วหมู่บ้าน ในฐานะเมียอดีตกำนันหลายสมัย มาบัดนี้ กลับไม่สง่าผ่าเผยเป็นคุณนายกำนันเหมือนเดิมอีกแล้ว


ที่เคยใส่แต่ผ้าซิ่นสวยๆ เสื้อใหม่ๆ ก็ต้องกลับมาใส่ผ้าซิ่นเก่าๆ เสื้อเชิ้ตแขนยาวเก่าๆ ไปรับจ้างเขาเก็บผักบุ้งบ้าง ตัดหญ้าบ้าง ตามแต่ใครจะว่าจ้าง


ในวัยหกสิบที่ควรจะอยู่บ้านเลี้ยงหลาน ยายช้อยกลับต้องกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเงินเข้าบ้าน เนื่องจาก ตายิ่ง อดีตกำนัน ผัวของแกนั้น มีโรคประจำตัวหลายโรค ทำงานหนักไม่ได้ ยังดีที่พอช่วยดูแลสวนกล้วยหลังบ้านได้บ้าง

 

ส่วนลูกสองคนที่มีครอบครัวแล้วแต่ยังอยู่บ้านเดียวกันนั้น

รำยอง - ลูกสาว เรียนมาน้อย เคยทำงานในร้านตัดเย็บเสื้อผ้าในตัวอำเภอ ก็ต้องออกมาอยู่บ้าน เพราะไปทะเลาะกับเจ้าของร้าน เคยมีผัวที่แสนดี อยากได้อะไรก็หามาให้ ก็ต้องเลิกกับผัว เพราะชอบด่าพ่อผัวแม่ผัวอยู่เป็นประจำ เคยมีเพื่อนฝูงคบหากันหลายคนก็ต้องเลิกคบหากันไป เพราะชอบไปเอาเรื่องไม่ดีของคนนั้นคนนี้ไปว่าลับหลังให้คนอื่นฟัง ไปๆ มาๆ เลยไม่มีใครอยากคบ


อาจจะเรียกได้ว่า "เสีย" เพราะปากตัวเอง

กระนั้น รำยอง ก็ยังเชิดหน้าชูคอว่าข้าแน่ ไม่เคยแพ้ใคร


สามารถ - ลูกชาย ก็เรียนไม่สูง กระนั้น ยายช้อยก็ทั้งผลักทั้งดันให้เข้ารับราชการเป็นทหารชั้นประทวนจนได้ พอลูกชายได้เป็นทหาร ยายช้อยก็ป่าวประกาศไปทั่วว่า เดี๋ยวลูกก็ได้เป็นนายร้อย ตอนนี้เงินเดือนก็ร่วมหมื่นแล้ว ใครได้ฟังก็ไม่รู้จะตอบยังไง ได้แต่แอบกระซิบถามกันว่า ยายช้อยแกแกล้งโง่ หรือ แกคิดว่าคนอื่นโง่กันแน่ นายสามารถมีลูกสองคน เลิกกับเมียแล้ว แต่ก็มีกิ๊กเป็นระยะๆ


แปลกดีเหมือนกัน ที่ลูกทั้งสองคนล้วนเป็นม่าย และกลับมาอยู่บ้านพ่อแม่เหมือนเดิม

 

เป็นที่ทราบกันดีในหมู่บ้าน ว่าคนบ้านนี้ยกย่องเชิดชูความร่ำรวยเหนือสิ่งอื่นใด คนรวยคือคนดี คนจนคือคนเลว ต่อให้ชั่วช้าแค่ไหน ถ้าขับรถคันใหญ่ สวมใส่เฟอร์นิเจอร์ครบชุด ก็ย่อมจะเป็นคนดีในสายตาของครอบครัวนี้ แน่นอน พวกเขาทุกคนมีความคิดไปในแนวทางเดียวกันนั่นคือ พวกเขาเป็นคนรวย(เคยรวย) และมีหน้ามีตามากกว่าใครๆ ในหมู่บ้าน ฉะนั้น คนที่จะคบหากับพวกเขาได้ ก็ต้องเป็นคนมีฐานะเช่นเดียวกันเท่านั้น


ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่บ้านของครอบครัวนี้ จะไม่ค่อยมีใครอยากไปมาหาสู่เท่าใดนัก เพราะเขาจะไม่ต้อนรับคนที่จนกว่า


อันที่จริง หลังจากฐานะครอบครัวตกต่ำลง ยายช้อยดูจะเสียหน้าไปมาก เพราะเคยอวดร่ำอวดรวยไว้เยอะ พอต้องมารับจ้างเขา เสียงที่เคยดังเป็นลำโพงก็เบาลงไปหลายเดซิเบล


และแม้จะจนลง คนในครอบครัวนี้ก็ยังถือศักดิ์ศรีคนเคยรวยอย่างไรก็อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง

 

เรื่องอะไรต่อมิอะไรที่เป็นไปในทางเสื่อมเสียของครอบครัว ไม่มีใครอยากให้หลุดออกไปสู่ปากชาวบ้าน แต่ควันไฟนั้น ใครจะไปปิดมันได้เล่า เมื่อมีเรื่องก็ต้องมีคนรู้ ถึงไม่มีใครบอกก็ต้องมีคนไปสอดรู้จนได้ ทว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนๆ ยายช้อยก็ไม่เคยเอะอะโวยวาย หรือ ฟูมฟาย ได้แต่เก็บเงียบไว้เนื่องจากมีศักดิ์ศรีคนเคยรวยค้ำคออยู่


เรื่องที่รำยอง-ม่ายสาวผู้ก๋ากั่น ไปหว่านเสน่ห์ให้เด็กหนุ่มต่างหมู่บ้านในงานเลี้ยงอย่างไม่ค่อยจะงามนัก ยายช้อยก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรือ เรื่องที่รำยองไปป่าวประกาศรับสมัครน้องสะใภ้ไปทั่วหมู่บ้าน พลางคุยอวดว่า คนนั้นคนนี้ มาชอบน้องชายตัวเอง ซึ่งทำให้หญิงสาวที่ถูกเอ่ยชื่อซึ่งไม่เคยเหลียวมองนายสามารถด้วยซ้ำ พากันแค้นเคือง ยายช้อยก็ทำเป็นไม่ได้ยิน


เรื่องที่สามารถ - แวะเวียนไปทำคะแนนขายขนมจีบสาวสวยคนหนึ่ง ซึ่งก็คงไม่ผิดอะไร ถ้าหากสาวสวยคนนั้นจะมีผัวแล้ว เพียงแต่ผัวทำงานขับรถนานๆ จะกลับมาที ประมาณว่า ผัวเผลอแล้วเจอกัน ยายช้อยก็พูดทำนองว่า มันแค่ไปคุยกัน ไม่มีอะไร

 

ทว่า วันหนึ่ง ยายช้อยเป็นอันต้องโวยวายลั่นบ้าน อันเนื่องมาจาก ลูกสุดที่รักทั้งสองคน

เรื่องของเรื่องก็คือว่า

นายสามารถ หลังจากเป็นพ่อม่ายพวงมาลัยมาหลายเพลาก็ได้ไปตกลงคบหากับแม่ม่ายลูกติดคนหนึ่ง ซึ่งเข้าสเป๊คคือ บ้านรวย ชื่อ คุณนายจัน อายุไม่มากเท่าไร แต่ก็สี่สิบกลางๆ แล้ว


ครอบครัวของป้าช้อยให้การต้อนรับคุณนายจันเป็นอย่างดี คุณนายจันแวะเวียนมาค้างบ้านนี้ในวันหยุด บางทีก็พาลูกชายของแกมาเล่นกับลูกชายของนายสามารถซึ่งอยู่ในวัยเดียวกัน


คุณนายจันแกใจกว้างไม่เบา ซื้อนู่นซื้อนี่มาให้คนในครอบครัวยายช้อยทุกคน แกบอกว่า แกไม่ต้องการแต่งงาน ขอแค่ "อย่าหลอกกัน" ก็พอ


เมื่อทำท่าว่าจะได้สะใภ้คนใหม่แถมรวยเสียด้วยซี ยายช้อยก็เข้าฟอร์มเดิม ไปคุยขโมงว่า คุณนายจันแกร่ำรวยขนาดไหน แกใจดีขนาดไหน ฯลฯ ชาวบ้านก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ รับฟังแต่โดยดี

 

ผ่านมาได้สักสามเดือน นายสามารถก็เริ่มออกลาย กลับเข้าฟอร์มเดิม นั่นคือตระเวนไปมีกิ๊กคนใหม่ ไม่สนใจคุณนายจันอีกต่อไป แม้ว่าคุณนายจันจะพยายามติดต่อ จะเทียวมาหาที่บ้าน นายสามารถก็จะหลบหลีกไปได้ทุกครั้ง


คราวหนึ่ง คุณนายจันแวะมาหา นายสามารถอยู่บ้าน แต่บอกให้รำยองไปบอกว่า ตัวเองไม่อยู่

รำยอง - นอกจากจะเข้าข้างน้องชายแล้ว ยังทำเกินหน้าที่ คือไปว่าคุณนายจันอีกว่า เขาไม่สนแล้วยังจะหน้าด้านมาเทียวหาอยู่ได้ กลับไปบ้านได้แล้ว แล้วไม่ต้องมาอีก ฯลฯ

คุณนายจัน ไม่ใช่พวกหน้าหนา แกไม่พูดอะไร หันหลังกลับขึ้นรถขับออกไปแต่โดยดี

สองพี่น้อง กระหยิ่มยิ้มย่อง ทำนองคนไม่รับผิดชอบหัวใจคนอื่น

 

ไม่กี่วันต่อมา คุณนายจันก็มาหายายช้อยที่บ้าน ขณะที่สองพี่น้องไม่อยู่ แกพูดไปก็ร้องไห้ไปว่า ทุ่มเทอะไรให้นายสามารถบ้าง จู่ๆ ก็มาทิ้งกันเสียเฉยๆ อย่างนี้ แถมรำยองยังมาชี้หน้าว่าแกเสียอีก แกผิดหวังแกเสียใจขนาดไหน แกระบายให้ยายช้อยฟังหมด

เท่านั้นเอง ความภาคภูมิใจในตัวลูกทั้งสองของยายช้อยก็พังทลาย

เย็นนั้น ทั้งรำยองทั้งสามารถ โดนยายช้อยด่าเช็ดร่วมชั่วโมง เด็กๆ ก็อ้าปากหวอ ไม่คิดว่าจะได้ยินคุณย่า ด่าคุณพ่อ กับคุณป้าของตัวเอง

 

หลังจากนั้น ยายช้อยก็มานั่งบ่นว่าลูกชาย-ลูกสาวตัวเองที่ร้านประจำหมู่บ้าน ทีแรกชาวบ้านก็เข้าใจว่า แกเป็นแม่ยายที่มีคุณธรรม ลูกสะใภ้โดนทำอย่างนั้นก็ทนไม่ไหว ที่ไหนได้


ยายช้อย แกได้แต่พร่ำบ่นว่า

 

"...ไอ้พวกโง่ เขารวยขนาดนั้น ยังไม่ยอมเอาเขาไว้ วันไหนเขาตาย สมบัติเขาก็ต้องเป็นของเรา มันยังไปไล่เขาอีก...ไอ้พวกโง่ ! โง่ ! โง่ ! บรมโง่ ! ..."

 

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
แกชื่อยายอิ่ม ผู้เคยเฉิดฉายในวงสังคม เพราะคัดสรรเฉพาะสามีรวย หนีออกจากบ้านไปมีผัวตั้งแต่อายุสิบสอง ผ่านมาสี่สิบกว่าปี มีผัวมากี่คน คงนับได้ยากเสียแล้ว พอยายอิ่มแก่ตัวลูกก็หนีหาย ต่างคนต่างไป ไม่มีใครเลี้ยง สุดท้าย แกคว้าตาหงอก ผู้(อ้างว่า)เป็นผู้ดีเก่ามาไว้หาเลี้ยงจนได้ สมัยสาวๆ ยายอิ่มได้มรดกจากพ่อแม่ไปเยอะ แต่ขายกินจนหมด แกมีชื่อเสียงมากด้านความคด ในข้องอในกระดูก ถึงขนาดที่ แม้แต่พี่น้องด้วยกันก็ยังโดน จนต้องตัดพี่ตัดน้องกันนั่นแหละ ในที่สุด พอแก่ตัวไม่มีที่จะอยู่ ต้องมาบีบน้ำตาขอที่จากแม่เฒ่า ซึ่งแม่เฒ่าแกก็ค่อยอยากจะให้ เพราะให้ไปมากแล้ว (แต่เอาไปขายกินหมด)…
ฐาปนา
นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่ ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด…
ฐาปนา
ทุกเช้า ประมาณตีสี่ครึ่ง หอกระจายข่าวกลางหมู่บ้านจะเปิดข่าวเช้า(มืด)จากสถานีวิทยุของจังหวัด เป็นสัญญาณให้ทุกบ้านตื่นนอน เตรียมตัวมาปฏิบัติภารกิจประจำวัน หุงข้าว ทำกับข้าว เตรียมใส่บาตร เตรียมตัวรอขึ้นรถไปโรงเรียน เตรียมตัวรอขึ้นรถไปทำงาน ใครไม่ตื่นก็ต้องตื่น เพราะเสียงดังจนตามเข้าไปถึงในฝัน รายการเช้ามืด เริ่มต้นด้วยเพลงปลุกใจให้ยึดมั่นในสถาบัน แล้วตามด้วยธรรมเสวนา จากเจ้าอาวาสวัดที่เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด ตามด้วยสาระน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องการเกษตร การทำมาหากิน โครงการต่างๆ จากรัฐบาล และ การปฏิบัติงานของหน่วยงานในจังหวัด
ฐาปนา
เช้าตรู่ของวันอากาศดีเสียงตามสายประกาศให้สมาชิกสหกรณ์การเกษตร เข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกันตอนบ่ายโมงตรง ณ ศาลาของหมู่บ้านพอบ่ายโมงครึ่ง สมาชิกสหกรณ์ฯ ก็มากันพร้อมหน้าเจ้าหน้าที่สหกรณ์มากันสามคน คนที่ดูอาวุโสกว่าใคร พูดมากกว่าใคร และเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าใคร เป็นหัวหน้าชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมได้รับกระดาษคนละหนึ่งแผ่น ปากกาคนละหนึ่งด้าม อ่านดู ก็เห็นว่าเป็นแบบฟอร์มสำรวจเรื่อง “ความพอเพียงในครัวเรือน”
ฐาปนา
ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากทะเล ป่าและเขาก็อยู่ไม่ไกล มีคลองส่งน้ำจากเขื่อนผ่านพื้นที่อย่างทั่วถึง ทำนาได้ปีละสองครั้ง ด้านป่าบนติดเขื่อน เขาปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ได้ผลที่มีรสชาติไม่น้อยไปกว่าทางภาคใต้หรือทางภาคตะวันออก แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ ถนัดปลูกผัก เพราะเก็บขายได้ตลอดทั้งปี แต่ละวันจะมีรถสิบล้อขนผักผลไม้ วันละหลายสิบคันวิ่งจากตำบลต่างๆ ในอำเภอ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ พระประแดง สมุทรปราการ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ฯลฯ พร้อมด้วยผลิตผลทางการเกษตรสารพัดอย่าง ตั้งแต่ของจำเป็นในครัวอย่าง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว พริก หอม กระเทียม ไปจนถึงผักเจ้าประจำบนแผงผักทั้ง กะเพราะ โหระพา สะระแหน่ บวบ…
ฐาปนา
ดั้งเดิม ก่อนที่แต่ละบ้านจะมีเอกสารกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินของตัวเอง บ้านส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “รั้ว” อย่างเป็นทางการ เพราะแต่ละบ้านในละแวกก็ล้วนพี่น้อง หรือนับไปนับมาก็ญาติกันทั้งนั้น อาจปลูกต้นไม้เป็นแนวให้บอกได้ว่าเป็นแดนใคร แต่จะถึงขั้นปักเสาขึงลวดหนาม หรือก่อกำแพงล้อมนั้นน้อยราย เพราะถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเงิน เขตบ้านใครก็บ้านมัน ถึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ ถึงไม่มีรั้วรอบขอบชิด ก็ไม่ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครคนหนึ่งเกิดอยากทำเอกสารสิทธิ์ที่ดินของตน จากที่เคยชี้นิ้วบอกว่านี่เขตใคร การออกเอกสารสิทธิ์…
ฐาปนา
วัยเยาว์ของเธอ ขณะที่หัวใจครึ่งหนึ่งเปี่ยมด้วยความฝันและความหวัง ทะเยอทะยานปรารถนา แต่หัวใจอีกครึ่งกลับอ่อนไหว บอบช้ำง่าย ทั้งยังอ่อนด้อยต่อโลกแห่งเหตุผล อนาคตเลือนลางอยู่ในความฝันยามหลับ และวนเวียนอยู่ในความคิดยามตื่น เธอร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจบอกได้ มองไม่เห็น ไม่รู้จุดเริ่มต้น ไม่รู้จุดสิ้นสุด พลังสร้างสรรค์ของเธอฟุ้งกระจาย ไร้ทิศทาง เมื่อคำว่า ความพร้อม อยู่ห่างจากความเข้าใจ เธอจึงได้แต่ก่นโทษตนเองอยู่เป็นนิจ เธอร่อนเร่ไปในเมืองของผู้อื่น จากเมืองสู่เมือง แลกความเพียรกับเงินเลี้ยงชีพ ยิ้มแย้มให้คำดูหมิ่นเพื่อจะได้เห็นเกียรติของตนเสื่อมค่าลง
ฐาปนา
(มะพร้าวกะทิ)ตอนอายุสิบขวบ ผมค้นพบว่าโลกนี้มีผลไม้ประหลาดที่เรียกว่า “มะพร้าวกะทิ” เมื่อพ่อซื้อมันมาจากตลาดฟังดูน่าหัวเราะ เหมือนชาวเมืองมาคอนโดค้นพบว่าโลกนี้มีน้ำแข็ง ในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวแต่นี่คือเรื่องจริงในวัยเด็กของผมอาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่นที่ผมอยู่ ไม่ใช่ของที่หากินได้ทั่วไป จึงได้มีราคาสูงถึงลูกละ 50 บาท ซึ่งแน่ละ สำหรับยี่สิบปีก่อน ถือว่า แพงมาก แล้วเมื่อแพงขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ใช่ของที่จะซื้อกันบ่อยๆผมจำความตื่นเต้นในการเจอหน้าครั้งแรกได้ดี มะพร้าวอะไรกัน มีเนื้อเต็มลูก ไม่แข็งแต่นิ่มๆ หยุ่นๆ รสชาติก็ลื่นๆ มันๆ…
ฐาปนา
แกชื่อยายหอม เป็นคนอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีแม่ของแกมีเชื้อลาวพวน พ่อของแกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน แต่เดิมแกอยู่ตำบลอื่น แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ แกเป็นคนรุ่นแรกที่มาหักร้างถางพงทำไร่ทำนาหมู่บ้านยุคบุกเบิก มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า สัตว์ป่าชุกชุม เข้าป่าเจอเสือ หรือเสือแอบเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน เป็นเหตุการณ์ประจำวัน คอกวัวสมัยนั้น ต้องกั้นเป็นฝาจึงพอกันเสือได้ ชาวบ้านกินเนื้อเก้ง เนื้อกวาง เนื้อไก่ป่า บ่อยกว่าเนื้อหมู หนองน้ำเต็มไปด้วยปลาตัวโตๆ ตะพาบตัวเท่ากระด้ง เรื่องผีสางนางไม้อยู่แนบชิดชุมชนมากกว่าเรื่องวัดเรื่องพระแกเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นแกยังเป็นสาว…
ฐาปนา
ในวัยหนุ่มสาว ขณะที่จิตใจยังถูกครอบงำด้วยความโรแมนติกเช่นเดียวกับหลายคน ผมฝันถึงบ้านที่มองเห็นภูเขา ฟ้ากว้าง ได้เฝ้ามองหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย อาบกายด้วยแสงอัสดงทุกวัน หรือ บ้านที่อยู่ริมทะเล เห็นเส้นขอบฟ้าไร้จุดสิ้นสุด ไกวเปลตามลมเห่ ต้นมะพร้าวโยกเอน นอนฟังเสียงคลื่นกล่อมชั่วกาลทว่าในบริบทของชีวิต ผู้ที่สามารถมีบ้านอย่างที่ฝันมีไม่มากเลย ทั้งเมื่อมีแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี กว่าจะแต่งเติมภาพฝันจนเสร็จจริง คนที่ให้ค่ากับความฝันสูงยิ่งทั้งไม่ยอมให้ความยากลำบากในชีวิตจริงมาบั่นทอนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับที่พำนักของหัวใจชั่วชีวิตเงื่อนไขของแต่ละคนไม่เท่ากัน…
ฐาปนา
เสียงจักจั่นกรีดปีกจากป่าเชิงดอย ฝ่าไอแดดร้อนมาถึงเคหะสถานเงียบงัน รถกระบะบรรทุกหนุ่มสาวร่างเปียกปอนยืนล้อมถังน้ำใบใหญ่แล่นผ่านไปหญิงชราถือสายยางเดินออกมาหน้าบ้าน ฉีดน้ำใส่พื้นถนน ไอน้ำระเหยขึ้นเด็กๆ หิ้วถังพลาสติก ขัน ปืนฉีดน้ำ มองสองข้างทางอย่างมีความหวังร้านขายน้ำปั่น น้ำแข็งไส ขายดีจนต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มในช่วงบ่ายเจ้าของโรงทำน้ำแข็ง หน้าบาน แต่ลูกจ้างหน้าเหี่ยว เพราะข้าวสารขึ้นราคาลิตรละหลายบาทแต่ค่าแรงเท่าเดิม    ดวงอาทิตย์กลับมาอยู่ใกล้ชิดโลก เหมือนคนรักที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้งมวลอากาศอบอ้าวเข้าเกาะกุมผิว ยึดทุกรูขุมขน เหงื่อเค็มถูกขับซึมเสื้อ เหนอะหนะ…
ฐาปนา
“...ทว่าการเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ครั้งนี้ต้องอาศัยปัญญามหาศาล ความกล้าหาญมหึมา และความมุ่งมั่นเหลือคณา เพราะความกลัวจะจู่โจมถึงแกนกลางของแนวคิดนี้ และป่าวร้องว่าผิดพลาด ความกลัวจะกัดกินเข้าไปยังแก่นแห่งสัจธรรมล้ำเลิศและแปลงให้เป็นเรื่องเท็จเทียม ความกลัวจะบิดเบือน และทำลาย ฉะนั้นความกลัวจะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ทว่าเธอไม่อาจมีและไม่อาจสร้างสังคมที่ปรารถนาและใฝ่ฝันมาช้านานจนกว่าจะเห็นปัญญาและกระจ่างชัดถึงปรมัตถ์สัจจ์ที่ว่า สิ่งที่เธอทำแก่ผู้อื่นเธอก็ได้ทำแก่ตัวเอง สิ่งที่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่น เธอก็ไม่ได้ทำให้ตัวเอง ว่าความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็คือความเจ็บปวดของตัวเธอ…