Skip to main content

นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น


แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า


23_7_01



หลังจากที่พี่ชายมีความรัก และตกร่องปล่องชิ้นกับหญิงคนรักได้ ปีกว่าแล้ว ไม่กี่สัปดาห์ก่อนนี้เอง ที่ทั้งคู่โทรชวนฉันไปทานข้าวที่ห้องเช่า แม้จะไม่มีครัวทำกับข้าวกินเอง เขาก็อุตส่าห์ไปหยิบยืมเครื่องครัวจากห้องข้างๆ ขออาศัยพื้นที่คนอื่นในการทำโป๊ะแตก ยำวุ้นเส้น เพื่อนที่ไปด้วยหยิบซื้อออกไปหิ้วเบียร์เย็นๆ มา
2 ขวด แกล้มอาหาร ทุกคนมีใบหน้าแจ่มใสดี เราคุยกันเรื่องฝนฟ้าอากาศ ทะเล ภูเขา ชีวิต และจบลงด้วยความฝันเรื่องการมีบ้าน


พี่คิดไว้แล้ว มีที่ดินอยู่ผืนหนึ่ง อยู่ติดกับบ้านญาติ ที่ประมาณ 1 งานถ้าเราแบ่งกันคนละครึ่ง ก็ไม่กี่บาท ปลูกบ้านใกล้กัน อยู่เป็น 2 ครอบครัว ดีไหม จะได้อยู่ใกล้ๆ เพื่อน พี่ก็อยากมีบ้านเหมือนกัน”


ประโยคนั้น “พี่ก็อยากมีบ้านเหมือนกัน” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พี่ชายจะพูดออกมา คนรอบวงทำตาโต บ้างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อะไรทำให้ชายพเนจรที่ปลดปลงกับทุกอย่างและไม่เคยมีของสะสม ถึงอยากมีที่ดินและมีบ้านขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ความรัก


หญิงสาวผมยาวข้างกายของเขา เอียงหัวเข้าไปพิงไหล่พี่ชายเบาๆ แล้วก็เอื้อมมือไปกอดเอวไว้

ไว้ลองไปดูที่ดินกันก่อนดีกว่า ว่าจะชอบกันหรือเปล่า”

เธอพูดเอาไว้ และเราก็ตกลงตามนัด อีก 3 วันถัดมาคือวันนัดของเรา


23_7_02


ก่อนถึงวันนัดอีกไม่กี่ชั่วโมง คืนนั้นฝนตกปรอยๆ หลังจากข่าวจากกรมอุตุวิทยาแจ้งว่าอาจจะมีพายุถล่มภาคเหนือ เป็นเวลาเดียวกับที่ หญิงสาวคนนั้น เข้าสวมกอดพี่ชาย แล้วบอกว่า ครอบครัวที่เธอหนีจากมานานแสนนานที่กรุงเทพฯ กำลังจะกลับมารับตัวไป


ใช่แล้ว เธอเคยแต่งงาน มีลูก และหนีจากสามีมาพร้อมเงินจำนวน 1 แสนบาท มาโดยไม่บอกใคร และไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน จวบจนผ่านไปนานหลายปี เธอได้รับการติดต่อจากทางบ้านว่า ทุกคนให้อภัยเธอแล้ว ไม่ถือสาเอาความ แต่ขอเพียงคืนเงินก้อนนั้นกลับไปให้พวกเขา

เงินตั้ง 1 แสนบาท ถ้าหาให้เขาไม่ได้ เขาจะมาเอาตัวแฟนพี่ไป”


พี่ชายแจ้งข่าวด้วยน้ำเสียงทั้งเศร้าทั้งทุกข์ รุ่งเช้าวันถัดมา พี่ชายวิ่งวุ่นอยู่กับการหายืมเงินคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเก่า คนที่ทำงาน เจ้านาย รวมไปถึงฉันด้วย ถึงจำนวนเงินก้อนใหญ่ แต่ข่าวร้ายก็คือ ไม่มีใครหาให้เขาได้ทัน ทั้งกะทันหันเกินไปและมากกว่าที่จะมีให้


พี่ชายคิดจะไปกู้เงินด่วนนอกระบบ แต่ถูกเพื่อนอีกคนห้ามปรามเอาไว้ “ลองไปต่อรองเขาหน่อยดีกว่า ยังไงก็คนเป็นพ่อแม่ ไม่น่าจะใจดำกับลูก”


พี่ชายตัดสินใจลางานจากบริษัทครึ่งวัน บอกแฟนสาวว่า ถึงขั้นนี้แล้วเขาจะไปวิงวอนขอร้องกับพ่อแม่เอง ว่าอย่าได้เอาตัวเธอไป เงินที่ยังขาดจะทยอยส่งให้ทีละเล็ก ละน้อย จะได้หรือไม่


ด้วยข้ออ้างสารพัด ทำให้พี่ชายไม่มีโอกาสได้ไปพบหน้าพ่อแม่ของแฟน เมื่อกลับไปทำงานช่วงบ่าย ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง พี่ชายก็พบว่า คนรักของเขากินยาตายอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ ห้องนั้น


23_7_03


โชคดีว่าคนแถวนั้นผ่านมาพอดี มีรถกระบะที่พอจะอุ้มร่างไร้สติของแฟนสาวไปยังโรงพยาบาลได้ เธอเข้าสู่ห้องไอซียู เพื่อทำการล้างท้อง ปล่อยให้พี่ชายว้าวุ่นใจอยู่นอกห้อง กับเสียงโทรศัพท์ของแฟนสาวที่ดังไม่ขาดสาย


นับเป็นครั้งที่ 30 กว่า ที่โทรศัพท์แฟนสาวดังขึ้น พี่ชายกล้าๆ กลัวๆ ที่จะรับ นอกจากจะหาเงินไปไถ่ตัวแฟนไม่ได้แล้ว เขาจะตอบพ่อแม่เธออย่างไรดีว่า ลูกสาวของท่านฆ่าตัวตายและอยู่ในการดูแลของหมอ ยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจรับโทรศัพท์เหล่านั้น และจึงได้พบกับความจริงที่ว่า ในรายชื่อทั้งหมด ไม่มีใครยืนยันเป็นพ่อแม่ของเธอเลยแม้แต่คนเดียว



น้องเขาเป็นหนี้พี่อยู่ๆ เกือบๆ แสน ราว
5 หมื่นบาท เขานัดมารับเงินที่เซ็นทรัลนะ ยังไม่มาเลย ช่วยบอกเขาหน่อยได้ไหม”

น้องเขายืมเงินพี่ไป  3 หมื่น บอกจะคืนวันนี้ แล้วหายไปเลย”

น้องเขาเลิกงานหรือยังครับ คืนนี้บอกว่าผมจะไปรับช้าหน่อย”

ของที่เอามาจำนำไว้ กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ และสร้อยคอทองคำ จะหลุดแล้ว ช่วยเตือนน้องเขาด้วย”

ฯลฯ


นี่คือข้อความและข่าวสารจากโทรศัพท์เครื่องนั้น โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่หญิงสาวบอกว่าเพื่อนที่ทำงานจับฉลากได้ และนำมาขายต่อในราคาถูกเพราะต้องการเงินด่วน หากแต่ในคืนนั้น พี่ชายก็ได้รู้ความจริงว่า โทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ จากหนุ่มใหญ่วัยกลางคนที่เป็นผู้อุปการะหญิงสาวอย่างเงียบๆ มากกว่า 3 ปีแล้ว

ข่าวสารมากมายในหัวทำเอาพี่ชายแยกแยะเกือบไม่ทัน เขาตั้งสติใหม่ แล้วถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของแฟนสาวที่อยู่ๆ ก็เป็นหนี้ร่วม 4 แสนบาท ในระยะเวลา 6 เดือน โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อทั้งคู่ต่างมีเงินเดือน มีรายได้ และเขาเองให้เงินทั้งหมดจากการทำงานแก่เธอไม่เคยขาด กล้องถ่ายรูป คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง สิ่งอำนวยความสะดวกที่ค่อยๆ สะสมเงินซื้อเพื่อใช้ในชีวิต ก็ไม่เคยให้ต้องรู้สึกลำบากหรือน้อยเนื้อต่ำใจ


แต่นอกจากเงินมหาศาลที่ไม่เคยแตะเหล่านั้นแล้ว ผู้ชายอีก 2-3 คนโผล่เข้ามาในชีวิตของเธอ และอ้างว่าเป็นทั้งสามี และแฟนหนุ่ม รวมถึงผู้อุปถัมภ์ ในฐานะที่เธอเคยพบกับชีวิตผิดพลาดในอดีตมาอย่างน่าสงสาร


พี่ชายตัดสินใจหอบโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน และข้าวมันไก่ 1 ห่อ เดินเข้าไปในโรงพยาบาลยามวิกาล ขอรบกวนพยาบาลเพื่อทำการเยี่ยมฉุกเฉิน เมื่อแกะข้าวให้เธอกินบนเตียงแล้ว พี่ชายก็เริ่มต้นบอกกับเธอว่า

พี่ได้คุยโทรศัพท์กับทุกๆ คนที่มีชื่อในนั้นแล้ว ตอนนี้งงมาก เกิดอะไรขึ้น มันจริงหรือเปล่า แล้วเอาเงินทั้งหมดไปไว้ที่ไหน”


เอ่ยได้เท่านี้ หญิงสาวตรงหน้าก็แทบสำลักข้าวมันไก่ หน้าตาเหยเก ทำหน้าอยากร้องไห้และขอตัวอยู่คนเดียวลำพัง พร้อมประโยคที่เอ่ยแผ่วๆ ภายใต้ชุดคนป่วยนั้นว่า  “ไม่มีอะไรจะเถียงหรอก ทำผิดทั้งหมด ฉันรู้ดี ขอโทษด้วยก็แล้วกัน”


เธอเอ่ยแค่นั้นจริงๆ ก่อนที่พยาบาลจะมาขอให้พี่ชายกลับออกไป และคืนนั้น เกือบตี 3 พยาบาลคนเดิมก็ต้องโทรศัพท์ฉุกเฉินมาสอบถามพี่ชายว่า คนไข้หนีออกมาหาเขาหรือไม่ เพราะตอนนี้เธอหายไปจากโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว


เราคงต้องแจ้งตำรวจ เพราะหมอเป็นห่วงคนไข้อยู่ในภาวะเสี่ยง กลัวจะทำร้ายตัวเองอีกครั้ง”

พยาบาลบอก แล้วขอวางสายไปดำเนินการ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็ต้องส่งข่าวมาอีกครั้งว่า ไม่มีชื่อ นามสกุล ของผู้หญิงคนนี้ในระบบทะเบียนราษฎร์แต่อย่างใด


พี่ชายนิ่งอึ้ง นั่งรื้อสำเนาเอกสารบัตรประชาชนของหญิงคนรักมาถือไว้ด้วยมืออันสั่นเทา เขาโทรไปคอนเฟิร์มโรงพยาบาลอีกครั้ง ว่าเขาเคยเห็นทั้งบัตรประชาชน และมีสำเนาติดอยู่ที่ห้อง พี่ชายแทบเป็นลม เมื่อพยาบาลตอบมาว่า

คิดว่าบัตรประชาชนที่เห็น เป็นบัตรปลอมที่ถูกทำขึ้นใหม่ เพราะไม่มีคนชื่อนี้และนามสกุลนี้อยู่ในประเทศไทย”


....................


ถึงตอนนี้ บ้านของญาติที่หญิงสาวเคยพาพี่ชายผ่านไปแว่บๆ ก็ไม่ใครยืนยันว่าเป็นญาติเธอ พ่อแม่ที่ไม่ได้โผล่มาในชีวิตเกือบ 10 ปีแล้ว รวมถึงเพื่อนที่ทำงาน ต่างส่ายหน้าบอกว่าไม่เคยมีใครได้ไปบ้านเธอเลยสักครั้ง มีเพียงชายหนุ่มจากที่ทำงานเพียงคนเดียวที่พอจะยืนยันได้ว่าเธอมีห้องเช่าอยู่อีกแห่งหนึ่ง และนั่นเป็นที่พักของหญิงสาวกับสามีอีกคน


แต่เมื่อออกไปตามหาแล้ว ก็ไม่มีเงาของเธอ และไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน

นี่ไง ที่หายวับไปกับตา ตื่นมาวันนี้ยังนึกว่าตัวเองฝันไป”

บทสรุปของพี่ชายค่อนข้างเศร้า ใช่ มันเป็นเรื่องเศร้ามากมาย เท่าที่ชายคนหนึ่งจะได้รับรู้และกลายเป็นว่า คนที่นอนอยู่ด้วยกันทุกวันมาเกือบ 2 ปีนั้น ไม่รู้แม้แต่ชื่อที่แท้จริง และเขาก็ไม่มีโอกาสได้ถามเธออีก

....

23_7_04


ฝนยังคงตกทุกวัน แมวน้อยสองตัวที่ถูกฝากเลี้ยง นอนหลับปุ๋ยหลังจากกินข้าวคลุกปลาทูเสร็จ ฉันลูบหัวมันเบาๆ แล้วบอกพวกมันว่า ขอให้ชินกับบ้านใหม่เร็วๆ และอย่าเสียใจเลยที่ใครบางคนจะหายไปจากเราตลอดชีวิต เพราะความรักใหม่ที่จับต้องได้ก็ยังมีให้เห็นอยู่อีก ขอเพียงอย่าสิ้นศรัทธาต่อมวลมนุษย์


ฉันพูดไปอย่างนั้น โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าแมวฟังภาษาฉันไม่เข้าใจหรอก จะมีก็เพียงแต่พี่ชายเท่านั้น ที่เผลอทำน้ำตาร่วงลงบนหลังแมว ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้าๆ บอกกับฉันว่า

จะพยายามเชื่อแบบนั้นเหมือนกัน”

23_7_05


บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…