Skip to main content

เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ
ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้าน

ชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลัง

เธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น
“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”
เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี

ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ
“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว”
“อือ”

สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น แต่เป็นอันเข้าใจ แววตาหลายคู่ที่อยู่ข้างๆ มองอย่างสนใจ แต่ไม่รู้สึกแปลก

ชายชราผู้แก่กว่าอีกคน กระดกเหล้าแบบเดียวกัน แล้วถามไถ่
“ไอ่น้องมาจั๊กข้าวเหรอ”

เขาหมายถึงการ “ดื่ม” สักจอกสองจอก ก่อนจะถึงมื้อกินข้าวจริงๆ
“อืออ้าย หมู่นี้กินข้าวไม่อร่อย ไม่รู้ทำไม ถ้าไม่ดื่มสักก๊งสองก๊ง กินไรไม่ลง” เขาว่าน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ก็จริงอย่างว่า อ้ายก็เหมือนกัน ค่ำมาเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ถ้าไม่ดื่มซะหน่อย นอนไม่ค่อยสบาย”

สองคนปรับทุกข์  อีกคนมาใหม่ เพิ่งนั่งยังไม่ทันกระดกแก้ว ก็ตัดพ้อตามไป
“ยังดี พี่สองคนแค่ดื่มก่อนมื้อ  แล้วกลับไปกินกับเมีย อย่างผมไม่มีแม่บ้าน กินให้ตายตรงนี้ก็ไม่มีใครมาตาม”

ป้าแดงเจ้าของร้านรีบจ้องตาวาว ยืนจังก้าโวยวาย
“อย่าๆ อ้ายหมาย อย่ามากินตายแถวนี้นะ ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านนา อย่ามานอนเมาแถวนี้”
เสียงหัวเราะลั่นร้าน ตาแก่ยกมือตบเข่าฉาด
“อะไร  ป้าแดงนิ พูดเล่นหรอก ทำมาจริงจัง เดี๋ยวก็ไปแล้ว”
“ไม่ได้ๆ วันก่อนมีคนมากินเหล้าเกือบหมดร้าน”
“เอ๊า ไม่ดีเหรอ ป้าจะได้ขายดีไง”

ป้าแดงเงียบ คงนึกคำตอบโต้อยู่  แต่ถูกชายวัยกลางคนสะกิดเสียก่อน
“นั่นๆ เขามาซื้อผักน่ะ  ไปดูก่อน”

ป้าแดงค่อยๆ หันมาทางฉัน ผู้ซึ่งยืนพลิกผักไปมา

เมนูวันนี้จะทำเมี่ยงปลาทู ประกอบด้วยผักสลัด ใบชะพลู  โหระพา และผักไผ่สะระแหน่ พลิกหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยต้องรอให้ป้าแดงมาช่วยดู
“ใบสลัดไม่มีแล้วหนู โหระพาก็หมด เหลือแต่กะหล่ำ”
“เอ่อ ผักกาดแก้วล่ะป้า วันก่อนหนูเห็นป้ามีขาย”
“มันแพง โลละตั้ง 30 บาท ป้าไม่เอามาแล้ว ไม่ไปดูอีกซอยล่ะ”
“ไปมาแล้วค่ะ เขาปิด”

ฉันตอบน้ำเสียงละห้อยด้วยความผิดหวัง ก่อนจะคิดถึงทางเลือกอื่น
“อืม เอาผักกาดขาวแทนก็ได้ แล้วสะระแหน่มีไหม”
“เหมือนจะหมดแล้วนะ เหลือไม่กี่อย่าง วันนี้ป้าไม่ได้ไปตลาดหรอก ตื่นสายน่ะ”

ป้าแดงพูดอย่างอายๆ  หันไปมองยังอีกมุมของร้าน แล้วก็เปลี่ยนน้ำเสียง
“ก็พวกนี้มันกลับกันดึก ป้าแดงปิดร้านค่ำมาก เลยตื่นสายเลย”
“อ้าว”

เสียงตอบโต้ตามมาทั้งกลุ่ม ฉันพยายามเงียบเสียงและไม่กล้ามอง จึงยืนพลิกดูผักต่อไป พลางรำพึงเบาๆ
“สงสัยต้องเปลี่ยนเมนูล่ะป้า มีอะไรเหลือบ้างเนี่ย”
“ก็มีผักบุ้งนะ”
ป้าแดงไล่ลำดับ
“งั้นผัดผักบุ้งเลยหนู” เสียงชายเฒ่าสวนมาอย่างหวังดี

“แล้วก็มีหน่อไม้ดองนะ” ป้าแดงหยิบถุงขึ้นมาโชว์ มันดูเก่าและนาน รสชาติคงเปรี้ยวน่าดู
“แกงใส่ไก่ อร่อยมาก” เสียงจากเคาน์เตอร์บาร์ส่งมาด้วยหวังดีอีก

ฉันแอบอมยิ้ม สงสัยจะกินข้าวลงกันแล้ว จึงคิดเมนูได้หลากหลายแบบนี้

“งั้นเอาน้ำพริกตาแดงถุงหนึ่ง  ไข่  แล้วก็แหนมค่ะ” ฉันตัดสินใจ
“เยี่ยมๆ น้ำพริกป้าแดงอร่อยมาก ไข่เจียวแหนมอร่อย”
คำแนะนำจากกลุ่มชายชรายังปล่อยมาเป็นระยะ ฉันอยู่ในอาการทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าพูดคุยกับคนเมา ได้แต่ยิ้มๆ ไปตามมารยาท ก่อนจะได้ยินเสียงใครบางคนยืนอยู่ข้างหลัง

“อยากกินไข่เจียวแหนมทำไมไม่บอก ไป กลับไปกินแกงผัดกาดได้แล้ว”
หันไปมองตาม ถึงได้รู้ว่าภรรยาของคุณลุงมีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้เอง

ลุงวัยกลางคนสะดุ้งเฮือก รีบซดเหล้าที่เหลือในแก้วกระดกพรวดทีเดียว แล้วรีบเดินตามเมียกลับบ้านแต่โดยดี ทิ้งเสียงหัวเราะคิกๆ ไว้เบื้องหลังของชายร่วมเคาน์เตอร์

ก่อนจะไป แกก็หันมายักคิ้วให้ทีหนึ่ง
“เดี๋ยวเฮาก็จะไปแล้วเหมือนกัน” ชายโสดไร้ภรรยาบอก ระหว่างฉันยืนรอเงินทอนจากป้าแดง
“อ้าว ไปเหมือนกันเหรอ ไหนบอกว่าไม่มีใครรออยู่บ้านไง”
“แมวมันจะหิวข้าวเอา ไม่ได้ทิ้งไรไว้ให้เลยเนี่ย”
“โห ห่วงแมว” เสียงใครอีกคนแซวขึ้น

ฉันรับเงินทอนมาแล้ว จากที่อยากรีบไปเสียให้พ้น กลับชะลอฝีเท้าลง หันไปมองหน้าเขาทีหนึ่ง

ผู้ชายร่างผอม ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเก่าซีด พันเอวด้วยผ้าขาวม้าสีม่วงสลับแดง ใส่รองเท้าบู๊ตสีเขียวแก่  มีมีดดายหญ้าอันใหญ่เบ้อเริ่มเสียบไว้กับผ้าขาวม้าอยู่ด้านหลัง

“อือ ตอนนี้เหลือตัวเดียว แต่ก่อนมี 4 ตัวนะ มันคลอดลูกแล้วตายเลย ก็เลี้ยงมาจนโต ชื่อ แดง ดำ ขาว และ แต้ม ตัวสุดท้ายนี่สีขาวลายดำ แต้มเต็มตัวไปหมด”
พูดพลางลุกขึ้นยืน กระดกเหล้าแก้วสุดท้าย พร้อมคว้ามะขามกับเกลือ ซึ่งเป็นบริการฟรีจากป้าแดงเข้าปาก เคี้ยวดังกร๊อบ ทำเอาฉันน้ำลายพุ่งกระฉูดเต็มแก้ม

“อ้อ ป้า เอาปลาทู 2 ตัว”
วูบนั้น ฉันเห็นแววตาเขา จะว่าทึกทักไปเองก็ได้ แววตาไม่ต่างกันนัก กับคนมีลูกมีเมียที่รีบกลับบ้านเพราะกลัวจะรอด้วยความหิว

ฉันและเขาออกจากร้านป้าแดงพร้อมกัน ตะวันเริ่มโพล้เพล้ สุดท้ายก็เหลือชายชราเพียงคนเดียว
“เฮาะๆๆ ปิ๊กบ้านเพราะห่วงแมว ฮ่าๆๆ”
เขาหัวเราะชอบใจ แล้วคว้าแกงอ่อมที่เหลือของลุงผู้ไปแล้วมาซดต่อ
“ป้าแดงเอาเหล้ามาอีกก๊ง”

แล้วเขาก็คงเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ชายคนเดิมที่จะนั่งอยู่ที่แผงนี้ ไม่ว่าจะค่ำมืดอย่างไร ฉันผ่านมาทุกครั้งก็จะเห็นเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ เท้าแขนข้างหนึ่งกับเคาน์เตอร์ มองไปมาบนถนนสายเดิม จวบจนแทบไม่มีรถแล่นผ่าน พระเข้าวัดไปหมดแล้ว แม่ค้าเก็บของจนไม่เหลือแม้แต่เจ้าเดียว

ไม่เคยรู้ว่าแกกลับบ้านเวลาไหน ไปทางใด ไม่มีเมียคอยแกงผักกาดไว้ที่บ้าน ไม่มีแมวรอกินปลาทู

รู้เพียงแต่ว่า ถ้าวันไหนไม่มีใครมากินเหล้าเลย ป้าแดงก็ยังเหลือชายชราผู้นี้เป็นลูกค้าประจำ หากวันไหนใครคิดเมนูอาหารไม่ออก เดินไป เขาจะช่วยคิดให้สารพัด

แต่หากวันไหนเขาไม่มา เราถึงจะรู้ว่า ถนนสายนี้จะช่างแสนเหงา แผงป้าแดงจะเหลือแต่ผนัง กับเก้าอี้เปล่า โดยมีฉันอดคิดเงียบๆ ไม่ได้ว่า
“พรุ่งนี้ จะยังมีคุณลุงคนนี้มานั่งกินอยู่อีกไหม”

001

002

003

004

005

006

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…