ยุกติ มุกดาวิจิตร: บันทึกจากวงเหล้า

ยุกติ มุกดาวิจิตร

 

(ถ้า) สุราไม่ได้มีไว้ให้เมา (แล้วจะดื่มไปหาอะไรล่ะครับ)

ผมนั่งกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งที่ร้านแถวท่าพระอาทิตย์แห่งหนึ่งแล้ว อดไม่ได้ที่จะรำพึงกับตัวเองแบบที่เคยพูดไว้กับสหายว่า "รสชาติก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งร้านนี้เป๊ะแบบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจริงๆ" คือมันมาตรฐานเสียจนเหมือนเฟ้คไปเลย แต่นี่ชื่นชมนะครับ (เดี๋ยวเจ้าของร้านที่เฝ้า "หน้าหนังสือ" อยู่จะหันมาค้อนเอา)

แล้วก็พลันคิดไปถึงค็อกเทลรสในฝัน ที่บาร์เทนดี้ดีกรี (ความรู้) สูงท่านหนึ่ง เปรยทิ้งไว้ให้เพื่อนๆ เปรี้ยวปากเมื่อสองคืนก่อนว่า "นอกจากเหล้าเกือบ 10 ชนิดที่ชงให้พวกพี่ๆ ดื่มชิมกันแล้ว ยังมี ต้มยำกุ้ง ค็อคเทลสูตรพิเศษของพี่ชายซึ่งเป็นบาร์เทนเดอร์ระดับนำของเมืองไทย" วิธีปรุงน่ะหรอครับ ต้องเก็บไว้เป็นสูตรเฉพาะของครอบครัวบาร์เทนดี้ท่านนี้ ตามแต่ว่าเมื่อไหร่ท่านจะสละเวลาชงให้สหายดื่มชิมกัน

แล้วก็พลันคิดถึงคำพูดที่สหายอีกท่านได้ยินในลิฟท์ในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งว่า "คณะนี้แม่มขี้เมากันทั้งนักศึกษาทั้งอาจารย์" ไม่ว่าคำกล่าวนี้จะจริงหรือไม่ ก็ขอให้พิจารณากันหน่อยเถิดว่า การดื่มสุรามีไปเพื่ออะไรกัน

ตอนทำวิจัยอยู่เวียดนาม ผมต้องฝึกอยู่เนิ่นนานกว่าจะดื่มแบบเสมอบ่าเสมอไหล่ได้พอๆ กับผู้เฒ่าวัย 70-80 ที่ประสบการณ์การดื่มโชกโชน ยิ่งในวงเหล้าของพวกทหารผ่านศึกยิ่งน่ากลัว แต่ไม่มีโอกาสไหนที่จะได้ข้อมูลเรื่องราวละเอียดยืดยาวแบบตรงไปตรงมาได้ดีไปกว่าวงเหล้า ผมจึงต้องอึดฝึกปรือ "วิธีวิทยาของการเมา" ให้เข้มแข็ง

เรียกว่า "บันทึกภาคสนาม" ของผมส่วนใหญ่คือ "บันทึกจากวงเหล้า" นั่นแหละ แต่กระนั้นก็ยังล้มพับนอนไปหลายครา

คนเวียดนามหลายต่อหลายถิ่นมีมารยาทกำกับการดื่มสุราที่ค่อนข้างเข้มงวด เช่น ไม่ดื่มสุราคนเดียว แม้ในวงเหล้า จะแอบจิบอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ ถ้าอยากจิบคนเดียว อย่างน้อยก็ต้องเชิญทั้งวงยกแก้ว คนอื่นจะดื่มด้วยจริงหรือไม่ก็ต้องบอกให้เขารับรู้ก่อน หากจะดื่มกับใครในวงเป็นพิเศษ ก็ต้องขออนุญาตทั้งวงก่อน 

ยิ่งในพิธีกรรมของชาวไทยิ่งมีมารยาทจัด ตั้งแต่ตำแหน่งในวงเหล้า แขกนั่งตรงไหน เจ้าเรือนตรงไหน ผู้ชายตรงไหน ผู้หญิงตรงไหน ใครอาวุโสนั่งตรงไหน ฝ่ายเมีย (ซึ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคนไทในเวียดนาม) ควรนั่งตรงไหน ใครควรนั่งตรงไหนจะยิ่งซับซ้อนหากมีแขกสำคัญหลายระดับ 

ใครเป็นคนรินเหล้า วิธีรินเป็นอย่างไร ต้องคอยเชียร์ให้คนดื่มอย่างไร ต้องคอยกล่าวสุนทรพจน์อย่างไร ดื่มแล้วควรกินอะไรก่อนอะไรหลัง เหล้าหมดควรทำอย่างไร อาหารหมดควรทำอย่างไร จะลุกไปเข้าห้องน้ำควรทำอย่างไร จังหวะไหนจึงกินข้าว กระทั่ง ใครควรลุกคนสุดท้าย

เหล่านี้ทำให้การดื่มเป็นพิธีกรรมทางสังคมที่ไม่ธรรมดา

แน่นอนว่าผมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการร่ำสุราในสนามมากมาย แต่ประสบการณ์ร่ำสุราที่ไม่รู้ลืมคือการดวด "เหล้ามายห้า" สุรา 50 ดีกรี (จุดไฟติดจริงๆ ครับ) ชั้นดีของชาวไทขาวเมืองมายเจิว กับพี่ดึ๊ก นายอำเภอหนุ่มไทขาวเมืองมุน 

เหล้ามายห้าเป็นเหล้าหมักจากข้าว ผสมเครื่องเทศบางอย่าง (ที่ผมยังไม่รู้ว่าอะไร) แล้วกลั่นจนใสปิ๊ง มายห้ารสเผ็ด จัดจ้าน แต่ไม่กระด้างจนฟาดหน้าให้หงายหลัง

คืนนั้นผมกับพี่ดึ๊กดื่มกันไป คุยกันไปเรื่องโครงการรื้อฟื้นการเรียนหนังสือไทในเวียดนาม ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะมีพิธีเปิดการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการ พี่ดึ๊กกับผมต้องคุยเป็นภาษาเวียดนาม เพราะสำเนียงไทดำในเวียดนามที่ผมรู้ สื่อสารกับสำเนียงไทขาวถิ่นบ้านพี่ดึ๊กไม่รู้เรื่อง

เจอเพื่อนถูกคน ได้สุราถูกคอ ต่อบทสนทนากันถูกใจ ก็เผลอดื่มกันไปเรื่อย ทีละจอก ทีละจอก จนหมดขวด ราวเที่ยงคืน จึงแยกย้ายกันไปนอน

ตื่นเช้ามา ไม่มีอะไรติดค้างในหัว สมองสดใส พิธีเปิดดำเนินไปอย่างราบรื่น

บอกยากเหมือนกันว่าสุราทำหน้าที่อะไร แต่ผมเลือกจะเชื่อว่า มันถอดหน้ากากคน มันลดอัตตา มันทำให้คนหันหน้าเข้าหากัน แต่นี่คงต้องอยู่ในบริบทของการดื่ม ในสังคมที่มีระเบียบเข้มงวดในการด่ืมสุรา

ที่สำคัญคือ สุราไม่ได้ทำให้คนสิ้นสติ สูญเสียความเป็นมนุษย์ อย่างที่คนไม่รู้จักอารยธรรมของสุราเข้าใจเสมอไป หากเรารู้จักสร้างสังคมของการดื่มอย่างสร้างสรรค์ อารยธรรมสุราไทยจะกลายเป็นอารยธรรมโลก

 

ความเห็น

Submitted by โสมคาน on

มาพวกเรา ตั้งวงเหล้า เมาดีกว่า
ดื่มสุรา หายาก จากสนาม
ยุกติมุก ดาวิจิตร ผลิตบทความ
โคตรงดงาม มานุษยวิทยา สุราไทย

มาพวกเรา ตั้งวงเหล้า เมาดีกว่า
แล้วแสงดาว เล่าจ๋า เธออยู่ไหน
แก่งเสือเต้น ต้านเขื่อน เคลื่อนกันไป
แต่หัวใจ หรือคิดค้าน ต้านสุรา

มาพวกเรา ตั้งวงเหล้า เมาดีกว่า
เจรจา ชัดแจ้ง แสวงหา
เหล้ากำเนิด แต่ยุคไหน ใครพบมา
แล้วรับศีล ข้อห้า ประสาไทย

Submitted by น้ำลัด on

อ่านแล้วอยากเมาขึ้นมาซะงั้น
คนอะไร...พูดไทดำได้
เกิดมาตั้งนาน...เพิ่งรู้ว่ามีไทขาวด้วย

การพิสูจน์สายเลือดคนไทไม่มีอะไรซับซ้อน
ต่อไปไม่ต้องตรวจดีเอนเอให้ยุ่งยาก
แค่ตรวจแอลกอฮอล์ก็รู้ผลได้แล้ว

Submitted by น้ำลัด on

ผมมองว่าเหล้ามันทำหน้าที่เหมือนกาว
เอาไว้เชื่อมผู้ชายตั้งแต่สองคนขึ้นไป
ให้นั่งสนทนากันได้นานๆ

ไม่เหมือนผู้หญิง เขานั่งเม้าท์กันได้โดยไม่ต้องมีเหล้า
แต่ผู้ชายสิถ้าไม่มีเหล้า ความเงียบจะมาเยือนโดยพลัน
ผู้ชายถ้ายังไม่มีเหล้า ต่อมคำพูดมันเหมือนจะไม่ยอมทำงาน

สังเกตดูเหอะ ความเป็นผู้ชายมันมักจะลดลงสวนทางกันกับปริมาณการพูด
ผู้ชายที่พูดได้เป็นวรรคเป็นเวรโดยไม่ต้องกินเหล้า มักจะมีความเป็นลูกผู้ชายน้อยกว่า
สิ่งหนึ่งที่ใช้เป็นดัชนีวัดความเป็นลูกผู้ชายก็คือสัจจะ พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น

การพูดอย่างหนึ่ง แล้วทำอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย
แล้วถ้าใครยังดื้อดึง เอาคนที่มีความเป็นลูกผู้ชายอันน้อยนิดมาเป็นผู้นำ
เอามาเป็นใหญ่ในบ้านเมือง ก็เตรียมตัวชิบหายกันเถิด

เอ๊ะ...ผมกำลังว่าใครอยู่วะเนี่ยะ...ผมเปล่านะ

Submitted by Yukti on

แหมคุณน้ำลัด ถ้าอย่างนั้นหากผู้หญิงดื่มเหล้า
พวกเธอมิยิ่งติดกันหนุบหนับเข้าไปใหญ่หรอกหรือครับ
หรือกลับกันคือ พวกผู้หญิงดื่มเหล้าแล้วจะเงียบ ไม่พูดไม่จาหรือครับ

ผู้หญิงจำนวนมากที่ผมรู้จักก็ดื่มกันทั้งนั้น
และก็เห็นว่าเหล้าทำหน้าที่ของมันอย่างดีเช่นเดียวกันนะครับ

Submitted by น้ำลัด on

จริงๆผมก็พูดเล่นมั่วๆไปยังงั้นแหละครับ
อีกอย่างวัฒนธรรมการดื่มเหล้ามันก็แตกต่างกันไป
ไอ้ของผมมันอ้างอิงมาจากสภาพในชนบท

แต่ในเมืองมันก็เป็นกันอีกแบบหนึ่ง
ผมเข้าใจว่าการดื่มเหล้าในเมือง
มักจะเป็นการดื่มกันตามผับซะมากกว่า

ไม่เหมือนในชนบทที่มักจะเป็นการตั้งวงเหล้ากันเอง
หรือใครเกิดถูกหวย หรือใครมีรายได้ดีหน่อย
ก็อาจจะไปนั่งกันตามร้านอาหารเพื่อชีวิตอะไรประมาณนั้น

ปัจจุบันผู้หญิงไทยกินเหล้ากันมากขึ้น อย่างน่าตกใจ
หรือจะเป็นเรื่องของสิทธิสตรี ผู้ชายเมาได้ ผู้หญิงก็ต้องเมาได้อย่างเท่าเทียมกัน
ในชนบทแต่ละหมู่บ้านเขาก็จะมีกลุ่มแม่บ้านกันทุกหมู่บ้าน

เมื่อมีงานศพ งานแต่ง งานปอย งานฉลอง งานอะไรต่อมิอะไรสารพัดงาน
จะต้องมีกลุ่มแม่บ้านเข้าไป จัดการเรื่องของอาหารการกินเพื่อต้อนรับแขก
ช่วยทำกันไป ก็กรึ๊บๆ กันไป อย่างเพลิดเพลิน แทบอยากจะให้มีงานทุกวัน

ถ้าเป็นงานบวชละก็ เมื่อเมาได้ที่ ก็จะสามารถเต้นหน้าขบวนแห่นาค
โยกย้ายส่ายสารพัดส่ายได้อย่างเมามัน กันสุดๆไปเลย
ถึงตอนนั้นเหล้ามันไม่ได้ทำหน้าที่ให้พูดมากขึ้นแล้ว แต่มันทำหน้าที่ให้ส่ายมากขึ้นแทน

เหล้ามันจะเป็นยังไง ทำหน้าที่อะไรก็ช่างมันเถอะครับ
แต่ที่แน่ๆ เหล้ามันอยู่คู่กันกับงานสังสรรค์ของคนไทยมานานแสนนาน
มันสามารถสร้างมิตรภาพขึ้นมาได้และบางครั้งมันก็สร้างศัตรูขึ้นมาแทน

เหล้ากับการเมืองนี่มันพอๆกัน
พอติดแล้วมักจะเมามายและเลิกยาก
และมักเป็นสาเหตุของการตายแบบไม่น่าตาย

ยุกติ มุกดาวิจิตร: ฮิญาบ ที่เปิดโปงในปกปิด

เมื่อ 24 กค. 65 ผู้จัดการแสดง #ฮิญาบ2022  ชวนผมไปดูการแสดงของคุณฟารีดา จิราพันธ์ ที่กาลิเลโอเอซิส แล้วผู้จัดจะชวนผมสนทนาหลังละคร

ยุกติ มุกดาวิจิตร: จดหมายเปิดผนึกถึงคณะวิจิตรศิลป์ มช. และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ในฐานะเพื่อนร่วมวิชาชีพวิชาการ ในฐานะผู้ปกครองนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ และในฐานะคนรักศิลปะ ผมเขียนจดหมายนี้เพื่อตั้งคำถามต่อการที่ผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์จะตรวจสอบผลงานก่อการอนุญาตให้จัดแสดงผลงานของนักศึกษาภาควิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ

ยุกติ มุกดาวิจิตร: Georges Bataille ในซีรียส์เกาหลี

เห็นคนพูดถึงตัวละครในซีรีย์เกาหลีเอ่ยถึงจอร์จ บาไตล์ ในรูปนั่นน่ะครับ เป็นคอลเล็กชันจอร์จ บาไตล์บนชั้นหนังสือผมแบบเบาๆ ผมเก็บไว้ร่วม 20 ปีแล้ว

ยุกติ มุกดาวิจิตร: วันชาติเวียดนามกับการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น

หลายคนคงรู้ว่าวันนี้เป็นวันชาติเวียดนาม แต่น้อยคนคงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้กันแน่ แล้ววันนี้ในอดีตถูกกำหนดเป็นวันขาติจากเหตุการณ์ปีใด 

ยุกติ มุกดาวิจิตร: สาดแสงดาวทะลุกำแพงและความมืดมน

จนถึงวันนี้ การต่อสู้ของประชาชนในขบวนการ “คณะราษฎร 63” ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พลังของแสงดาวได้สร้างสรรค์สังคมไทยอย่างไร