เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-22 กันยายน 2555) ผมมีโอกาสได้ทบทวนบทสนทนาข้างต้
นอีกครั้ง ในงานสัมมนาทางวิชาการทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ งานนี้รวบรวมนักวิชาการด้านนี้แ
ละสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องมาอย่าง
คับคั่ง ทั้งผู้นำเสนอและผู้ฟังล้วนเป็น
มิตรสหาย ศิษย์ ครู ของกันและกันอย่างต่อเนื่องยาวน
าน บรรยากาศของมิตรภาพและการถกเถีย
งทางวิชาการนี้มีขึ้นได้ยาก หากไม่ใช่ด้วยความเคารพรักที่วง
การนี้มีต่ออาจารย์อานันท์ กาญจนพันธ์
นักวิชาการหลายท่านเสนอความคิดที่เป็นบทสนทนาสืบเนื่องหรือกระทั่งเกินเลยไปจากผลงานของอาจารย์อานันท์ (ซึ่งปล่อยงานออกมาอีกถึง 4 เล่มใหญ่) ประเด็นที่ขยายความรู้ผมมีมากมาย ที่สะดุดใจและบันทึกไว้ทันได้แก่
- สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาสำนักเชียงใหม่เสนอเป็น "ทฤษฎีที่เอาใจใส่ต่อสังคม"
- สำนักเชียงใหม่เป็นญาติกับสำนักท่าพระจันทร์ งานที่ท่าพระจันทร์อ้างเชียงใหม่ มักเป็นงานด้านการต่อสู้ทางสังคม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม
- ภาษามานุษยวิทยาถูกใช้กันทั่วไปตามบ้านร้านตลาด
- ศาสตร์ทางสังคมและมนุษยศาสตร์ล้วนส่องทางแก่กัน เชื่อมโยงกัน บางทีเราน่าจะเลิกล้มพรมแดนของสาขาวิชากันเสียที
- ความรู้ทางสังคมศาสตร์ควรเรียนรู้จากมนุษยศาสตร์ ด้วยจินตนาการ จินตนาการไม่หมดจด ไม่สมบูรณ์ จึงเปิดให้กับการสร้างเสริมเติมต่อขยายความไปได้ไม่รู้จบ ไม่ตายตัว
- ความเข้าใจของคนในสังคม (เช่น การทักทายของชาวเมารี) เป็นการให้ความหมายต่อข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ (การแลบลิ้น) นักมานุษยวิทยาทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ (การทักทายสร้างและสืบทอดความสัมพันธ์ของคนในสังคม) แต่ความจริงที่นักมานุษยวิทยาไม่ได้ค้นหา คือความจริงทางศาสนธรรม
- ผู้หญิง (ทั้งผีและคน) เป็นพื้นฐานวัฒนธรรมอุษาคเนย์
- อำนาจผีเป็นอำนาจที่นักมานุษยวิทยากลัว ไม่กล้าเข้าร่วม มันเบ็ดเสร็จ ต่อรองแทบไม่ได้ ได้รับการยกเว้นจากการตรวจสอบทัดทาน
- นักมานุษยวิทยาอาจสำรวจจิตทั้งในระดับอัตวิสัย (รู้ได้อยู่คนเดียว) และภววิสัย (เข้าใจกันได้ทั่วไป ไม่เฉพาะตนคนเดียว)
- นักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาไทยจำนวนมากถูกนักวิชาการอเมริกันใช้เป็นผู้ช่วยศึกษาสังคมไทยเพื่อต่อต้านขบวนการคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเวียดนาม
- ส่วนหนึ่งของแนวคิด "ป่าชุมชน" มาจากความรู้เรื่องมานุษยวิทยาสิ่งแวดล้อม ที่นำเข้ามาจากมหาวิทยาลัยฮาวายอิ
- ความรู้ของนักคิดไทยจำนวนหนึ่ง สร้างความเข้าใจสังคมไทยแก่นักวิชาการตะวันตก
- ภาพถ่ายของนักมานุษยวิทยา สามารถสร้างตัวตนของนักมานุษยวิทยาขึ้นมาได้ เครื่องมือ วัตถุ เทคโนโลยี สร้างการรับรู้ถึงการมีอยู่ของนักมานุษยวิทยาในพื้นที่
- ภาพถ่ายเป็นความสัมพันธ์ทางสังคม นอกเหนือจากปัญหาเรื่องการนำเสนอและไม่นำเสนอความจริงของภาพถ่ายแล้ว ภาพถ่ายเกิดมาจากและสามารถก่อให้เกิดสังคม
ส่วนผมเอง ทิ้งคำถามให้กับวงวิชาการนี้ไว้ว่า
- งานที่ศึกษาสังคมไทยโดยฝรั่งมีเพียงน้อยนิดที่มีพลังสร้างความรู้ใหม่ให้กับสังคมศาสตร์โลก แต่ถึงกระนั้น งานของนักวิชาการไทยที่มุ่งศึกษาเฉพาะสังคมไทย มีส่วนในการผลิตความรู้ให้สังคมศาสตร์โลกแค่ไหน มีใครบ้างที่ผลิตความรู้ในระดับที่นักวิชาการนำไปใช้ศึกษาพื้นที่อื่นๆ นอกสังคมไทย
- ในความสัมพันธ์ทางการผลิตเชิงวิชาการระดับโลก ผมสงสัยว่านักวิชาการไทยเป็นเพียงชนพื้นเมืองผู้ป้อนข้อมูลให้นักวิชาการในประเทศศูนย์กลางความรู้ (อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย) หรือจะมีส่วนในการร่วมสร้างความรู้ เป็นผู้ผลิตความรู้เองแค่ไหน
- นักวิชาการไทยมักถามและถูกถามว่า จะนำความรู้ ทฤษฎีต่างๆ มาเข้าใจสังคมไทยได้อย่างไร แต่เคยถามไหมว่า ความเข้าใจสังคมไทยแบบไหนที่เคยถูกนำไปใช้เข้าใจสังคมอื่นๆ ในโลกนี้ได้ และจะทำอย่างไรให้ความเข้าใจสังคมไทย สามารถนำไปใช้ได้กับสังคมอื่นๆ ทั่วโลก เพื่อความเข้าใจมนุษยชาติมากขึ้นจากความเข้าใจสังคมไทย
- ตัวตนทางวิชาการของสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาไทยก้าวไปทางไหน และกำลังจะเคลื่อนไปทางไหน เมื่อเทียบกับตัวตนทางวิชาการด้านนี้ในประเทศเพื่อนบ้าน
ไม่เป็นการเยินยอกันเกินไปนักเลยหากจะกล่าวว่า สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาสำนักเชียงใหม่สร้างคุณูปการให้เกิดการเข้าใจสังคมไทยอย่างใหญ่หลวง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ความรู้ของสำนักเชียงใหม่เป็นความรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีขึ้น
ที่ผ่านมา สำนักเชียงใหม่มีส่วนในการสร้างบทสนทนากับแวดวงวิชาการโลก ในก้าวถัดไป ไม่เฉพาะสังคมไทย แต่ภูมิภาคอาเซียนและสังคมโลกกำลังรอดูว่า สำนักเชียงใหม่จะนำเสนอความรู้และทิศทางในการพัฒนาสังคมอย่างไรต่อไป
(ขอบคุณเพื่อนๆ นักศึกษา และครูบาอาจารย์แห่งภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่จัดงานสัมมนาให้เพื่อนนักวิชการได้แลกเปลี่ยนความรู้)
ความเห็น
ถ้าหากผมเป็น
ถ้าหากผมเป็น "นักแมลงวิทยา"
ผมจะบอกให้ "นักมานุษยวิทยา" ได้ทราบว่า
มนุษย์กับแมลงมีพฤติกรรมแบบเดียวกัน
มด-ปลวก มันออกลูกมา ติดปีกให้ลูกของมันบินขึ้นฟ้า
กลายเป็นมดมีปีก กลายเป็นแมลงเม่าบินกันว่อน
ไปจับคู่ผสมพันธุ์กัน แล้วก็ไปสร้างครอบครัวใหม่ขึ้นมา
เป็นการรักษาเผ่าพันธุ์ของตนเองให้คงอยู่ต่อไป
แต่มดบางชนิด ลูกของมันบางตัวเมื่อผสมพันธุ์เสร็จ
มันก็กลับมายึดรังของแม่มันเอง แม่ของมันเองกลายเป็นมดงานก็มี
ส่วนมนุษย์เรา ก็เฝ้าฟูมฟักลูกๆของตนเองอย่างดี
ให้การศึกษาแก่บุตร-ธิดาของตนเต็มที่
การให้การศึกษาก็เหมือนกับการ "ติดปีก" ให้ลูกๆ
ได้ออกไปผจญภัยในโลกกว้าง ให้ไปจับคู่ผสมพันธุ์
ออกลูกออกหลาน รักษาเผ่าพันธุ์ของตนเองสืบต่อไป
แต่ลูกบางคนก็กลับมารับมรดกของพ่อแม่
มาสืบทอดกิจการให้พ่อแม่ของตนเอง พ่อแม่ก็วางมือกันไปเมื่อแก่
พวกมด-ปลวก ใช้ pheromone ในการควบคุมภายในรังของมัน
มนุษย์เราก็มีกฎหมายและการประชาสัมพันธ์เพื่อควบคุมสังคมของตนเอง
เมื่อมด-ปลวก เจอศัตรูมันก็จะปล่อยสารเคมีที่เป็นข่าวสารว่าเจอศัตรู
ต้องระดมพลเพื่อการต่อสู้ทำศึกสงครามกันกับศัตรูของมันโดยเร่งด่วน
มนุษย์เราเมื่อเห็นชนชาติอื่นเป็นศัตรู ก็จะมีการสื่อสารมีการปลุกระดม
มีการรวมตัวกันเพื่อเล่นงานศัตรูเหมือนๆกันกับพวกมด-ปลวกมันทำ
ผมก็ไม่รู้ว่าใครเลียนแบบใคร ระหว่างมนุษย์กับแมลง
มันแตกต่างกันแค่วิธีการสื่อสารเท่านั้น แต่จุดมุ่งหมายมันเหมือนกัน
คนบางคนบอกว่าตนเองเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ
เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ
แต่พฤติกรรมของมนุษย์เราทุกวันนี้ มีอะไรที่แตกต่างจากสัตว์บ้าง
แม้กระทั่งแมลงที่ถือว่าเป็นสัตว์ชั้นต่ำต้อยยิ่งนัก หามันสมองแทบจะไม่เจอ
แต่ทำไมพฤติกรรมของมนุษย์กับแมลงมันกลับแทบจะไม่แตกต่างกันเลย
คนเราหากอยากจะเป็นมนุษย์ขึ้นมาจริงๆ
เราจะต้องทบทวนบทบาทของตนเองเสียใหม่หรือเปล่า?
เมื่อผมอ่านเรื่องราวของชาวไทอ
เมื่อผมอ่านเรื่องราวของชาวไทอาหมในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ผมต้องตกใจกับความเห็นของชาวอินเดียในสมัยโบราณที่ว่า...
"ชาวอาหมไม่มีศีลธรรม ไม่มีศาสนาประจำชาติ ทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่มีกฏเกณฑ์ เห็นว่าการกระทำของตนถูกต้องเสมอ ลักษณะท่าทางของชาวอาหมส่อให้เห็นพลกำลัง และความทรหดอดทน ซ่อนกิริยา และอารมณ์อันโหดร้ายทารุณเอาไว้ข้างใน ชาวอาหมอยู่เหนือชนชาติอื่นๆในด้านกำลังกาย และความทนทาน เป็นชาติขยันขันแข็ง ชอบสงคราม อาฆาตจองเวร ตลบแตลง และหลอกลวง ปราศจากคุณธรรม ความเมตตากรุณา ความเป็นมิตร ความสุภาพ เมล็ดพืชแห่งความอ่อนโยน และมนุษยธรรม ไม่ได้หว่านลงในดินแดนของชนชาตินี้เลย"
ผมนึกไปถึงการทำรัฐประหารในไทย นึกถึงวิธีการตีความกฎหมาย การตัดสินคดีทางการเมือง ฯลฯ
และนึกไปถึงว่าถึงแม้ชาวไทยเราจะมีศาสนาประจำชาติแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนศาสนาไม่ได้ช่วยให้ชาวไทยมีศีลธรรมแต่อย่างใด แต่ศาสนากลับถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองทั้งในระดับจุลภาคและระดับมหภาค
คำวิจารณ์มันเป็นเหมือนกระจกเงาสะท้อนลักษณะนิสัยและการประพฤติตนของชนชาติไทเรา คงต้องพิจารณาว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไรกับคนไทยในปัจจุบัน หากยังมีสิ่งใดที่น่าจะปรับปรุงเราก็น่าจะปรับเปลี่ยน ก็มีแต่ชาวไทยเราด้วยกันเท่านั้นที่จะช่วยกันเปลี่ยนแปลงค่านิยมต่างๆในสังคมให้มันดีขึ้น ช่วยกันเปลี่ยนลักษณะนิสัยแย่ๆในบางสิ่งบางอย่างให้ดีขึ้นทัดเทียมกันกับสากลโลกที่เขาเป็นกัน
แต่ถ้าหากเรามัวแต่หลงตนเองว่าความเป็นไทยเราประเสริฐแล้ว
มันก็คงเหมือนเป็นการปิดประตูของการพัฒนาในทุกๆสิ่ง
คนไทยเราก็จะต้องอาศัยอยู่ในห้องหับอันคับแคบท่ามกลางโลกอันกว้างใหญ่ต่อไป