Skip to main content

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนคงเป็นแบบผม คือพยายามข่มอารมณ์ฝ่าฟันการสบถของท่านผู้นำ 

พระท่านว่า "แมวร้องอย่าร้องตอบ" และดังนั้น เมื่อผู้นำสบถ ก็ควรทำความเข้าใจการสบถดีกว่าสบถตอบ นอกจากนั้น ช่วงเดือนที่ผ่านมายังมีข่าวเกี่ยวกับคำพูดกับปฏิกิริยาของผู้คนอยู่บ่อยๆ จนชวนให้คิดว่า โลกปัจจุบันนี้ทำไมผู้คนจึงอ่อนไหวกับคำพูดกันนัก และเมื่อได้เห็นปฏิกิริยารุนแรงต่อการใช้คำพูดแล้ว ก็ชวนให้น่าสงสัยต่อว่า ทำไมการใช้คำพูดบางกรณีสังคมจึงรับได้ บางกรณีสังคมก็รับไม่ได้ หรือบางกรณีสังคมทำได้เพียงต้องทนๆ ฟังไป

บางคนอาจจะใช้สำนวน "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" เพื่อตำหนิผู้นำบางประเทศ แต่สำนวนนี้ก็ไม่ค่อยยุติธรรมนัก เพราะปกติสำนวนนี้เป็นสำนวนที่คนชนชั้นสูงเอาไว้ใช้ดูถูกคนชนชั้นล่าง ด้วยการตัดสินกันที่เพียงสำเนียงภาษาและกิริยาท่าทางที่แตกต่างจากพวกตน ทั้งๆ ที่หากพิจารณาดีๆ แล้ว ไม่ใช่ชนชั้นหรือสกุลรุนช่องอะไรหรอกที่กำหนดเบื้องหลังการพูดและการกระทำ หากแต่เป็นลักษณะนิสัยส่วนตัวและพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมากกว่า และอันที่จริง เงื่อนไขที่ยุ่งยากมากกว่านั้นก็คือ การตัดสินกันด้วยคำพูดและกิริยาประกอบคำพูดนั้น มีความซับซ้อนทางสังคมอยู่ไม่น้อยทีเดียว  

หากคิดย้อนกลับไปถึงความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับภาษา มีคำสอนหนึ่งที่นิยมกล่าวกันว่า "ภาษาคือสื่อกลางของความหมาย" แต่คำสอนนี้ก็เป็นคำสอนที่แสดงความเข้าใจธรรมชาติของภาษาอย่างง่ายๆ เกินไปสักหน่อย คำสอนนี้สะท้อนความคิดที่แยกภาษาออกจากการใช้งานจริงในสังคม และยังดูเบาน้ำหนักของการกระทำของภาษา ราวกับว่าใครจะพูดอะไรก็ได้ขอให้สามารถสื่อสารได้เป็นพอ ทั้งๆ ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว การที่เราจะพูดอะไรยังต้องดูที่เจตนาของการพูดที่มากไปกว่าถ้อยคำที่แสดงออกมา  

การเลือกคำ การประกอบประโยค ล้วนขึ้นกับว่าเรากำลังพูดให้ใครฟัง พูดแล้วหวังผลอะไรจากการพูด นอกจากเพื่อบอกเล่าสารแล้ว หลายต่อหลายครั้งที่คำพูดยังเป็นคำสั่ง เป็นสัญญา เป็นการขอร้อง รวมทั้งเป็นการดูหมิ่นดูแคลนกัน

คําพูดจึงไม่ได้ทำหน้าที่เพียง "สื่อสาร" คำพูดไม่ได้เป็นตัวกลางที่โปร่งใสตรงไปตรงมา แม้ว่าผู้พูดต้องการจะควบคุมให้ภาษาเป็นกลางตรงไปตรงมาอย่างไร ผู้พูดก็ยังต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่แท้จริงของการพูด ว่ากำลังจะพูดกับใคร พูดที่ไหน พูดเพื่อวัตถุประสงค์อะไร และดังนั้นภาษาจึงกระทำการมากกว่าเพียงสื่อสารตามความหมายในตัวภาษาเอง แต่ภาษายังมีอำนาจ ถ้อยคำบางถ้อยคำจึงกลายเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ ถ้อยคำบางคำจึงกลายเป็นคำดูถูกเหยียดหยาม หากคำพูดมีหน้าที่เพียงสื่อความแล้ว คำพูดคงไม่ทำให้คนฟังเจ็บช้ำน้ำใจจนกระทั่งลุกขึ้นมาฆ่าคนพูดเพียงเพราะด้วยการเอ่ยคำพูดโดยไม่ได้ลงไม้ลงมือทำอะไรมากไปกว่านั้นได้คำพูดจึงก่อกรรมหรือส่งผลต่อการกระทำได้ไม่น้อยไปกว่าการกระทำอื่นๆปฏิกิริยาต่อคำพูดจึงมีความรุนแรงได้ไม่แพ้ปฏิกิริยาต่อการกระทำ เพราะคำพูดก็คือการกระทำด้วยนั่นเอง  

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเหตุการณ์การสังหารนักเขียนการ์ตูนและผู้เคราะห์ร้าย 12 คนในกรณีนิตยสารล้อเลียนในฝรั่งเศสชื่อ "ชาร์ลี เอบโด" (Charlie Hebdo) กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของการกระทำของคำพูดได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นการพูดด้วยภาษาภาพ คือการ์ตูนล้อเลียน แต่นั่นก็เป็นการพูดแบบหนึ่งเช่นกัน

หลายคนอาจไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าคนที่ถูกสังหารทั้ง 12 คนนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่เขียนการ์ตูนล้อเลียนศาสนา บางคนเขียนการ์ตูนต่อต้านความรุนแรงเป็นหลัก แต่ก็กลับถูกสังหารไปด้วย และดังนั้นจึงเกิดการรณรงค์ "เราคือชาร์ลี" ความหมายก็คือเราทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นแม้จะด้วยการใช้คำพูดล้อเลียนก็ตาม อย่าฆ่าเราด้วยการแสดงความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ที่น่าเสียดายคือ มีนักสันติวิธีบางคนเผลอให้ความเห็นที่ชวนให้คิดไปได้ว่า "การล้อเลียนคุณค่าสูงส่งแบบชาร์ลี เอบโด ไม่สมควรได้รับการปกป้องสิทธิการพูด และเราก็ไม่เห็นต้องรณรงค์ว่า ′เราเป็นชาร์ลี′"  

น่าเสียดายที่นักเขียนการ์ตูนต่อต้านความรุนแรงประจำนิตยสารชาร์ลี เอบโด คนหนึ่งต้องตายไปเสียก่อนที่จะมีโอกาสอธิบายให้นักสันติวิธีอีกคนนั้นเข้าใจว่า ในสังคมที่สิทธิการพูดถูกละเมิดได้โดยง่ายนั้น สักวันหนึ่งคุณก็อาจจะต้องตายเพราะคุณถูกเหมารวมว่าพูดในสิ่งที่ตนเองไม่ได้พูดเช่นกัน

แต่เมื่อนำมาคิดตามหลักข้างต้นที่ว่าคำพูดเป็นการกระทำทางสังคมเรายังต้องพิจารณาต่อว่า คำพูดแบบไหนกันที่เมื่อพูดในสังคมไหนแล้วทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้กลับอย่างรุนแรงอย่างนั้น การถกเถียงถึงเส้นแบ่งระหว่าง "ถ้อยคำเหยียดคน" (hate speech) กับ "เสรีภาพในการพูด" (freedom of speech) และปฏิกิริยารุนแรงต่อถ้อยคำในลักษณะทั้งสองจึงเป็นข้อถกเถียงที่ยังไม่เพียงพอ เพราะต่อให้ยึดหลักเสรีภาพในการพูดแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าทุกสังคมจะยอมรับเสรีภาพในการพูดอย่างเท่าเทียมกัน หรือในสังคมเดียวกัน ในต่างช่วงเวลากัน เสรีภาพในการแสดงออกก็อาจกลับหดแคบลงหรือบางทีก็ขยายกว้างออกไป แล้วแต่เรื่อง แล้วแต่สถานการณ์ได้เช่นกัน

ข้อนี้อาจจะดูได้จากคำด่า ข้อถกเถียงระหว่างถ้อยคำเหยียดคนกับเสรีภาพในการพูดมักจะอยู่ที่ว่า อะไรกันคือคำหยาบคาย แค่ไหนกันที่เราจะเรียกได้ว่าดูหมิ่นเหยียดหยาม ในทางกฎหมาย คงมีข้อยุติต่อนิยามความหมายพอสมควร แต่ผมก็ยังคิดว่า การเหยียดหยามกับเสรีภาพในการแสดงความเห็นเป็นทั้งเรื่องวัฒนธรรมและเรื่องอำนาจไปพร้อมๆ กัน เส้นแบ่งระหว่าง "การด่า" กับ "การวิจารณ์" ที่อาจจะใช้วิธีการล้อเลียนหรือการใช้ถ้อยคำเรียบเรียงอย่างเรียบร้อย จึงไม่ได้สามารถแบ่งแยกกันได้ง่ายๆ ด้วยการนิยามตามกรอบของความหมายในถ้อยคำภาษา เพราะคำวิจารณ์อย่างปราศจากอคติ ก็กลับจะกลายเป็นคำด่าหรือการดูหมิ่นไปได้หากคำวิจารณ์นั้นออกจากปากคนที่ไร้อำนาจแต่กลับลุกขึ้นมากล่าวความจริงพุ่งไปท้าทายอำนาจของผู้ถูกวิจารณ์

เช่นคำสบถในแต่ละสังคมนั้นมีพื้นฐานความหมายไม่เหมือนกัน ในสังคมไทย คำว่า "ควาย" มีความหมายในเชิงดูถูกเหยียดหยาม เพราะสังคมไทยใช้ควายเยี่ยงทาสและจึงมองว่าควายมีฐานะต่ำกว่า ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง จึงมีสำนวนมากมายที่เหยียดหยามคนด้วยคำว่าควาย เช่น โง่เหมือนควาย สีซอให้ควายฟัง ถูกชักจูงง่ายเป็นวัวเป็นควาย การด่าในที่นี้จึงเป็นการแปลงสถานภาพของผู้ถูกด่า ให้อยู่ในฐานะทางสังคมต่ำกว่าผู้ด่า  

ส่วนในสังคมอเมริกัน คำว่า "f_ck you" กลายเป็นคำด่าได้เพราะ หนึ่ง เพราะสังคมอเมริกันเป็นสังคมชายเป็นใหญ่ สอง เนื่องจากกิริยานี้เป็นกิริยาของผู้กระทำ ดังนั้นการเป็นผู้กระทำกิริยานี้จึงเป็นผู้มีอำนาจเหนือผู้ถูกกระทำ นี่เป็นการแปลงผู้ถูกด่าให้อยู่ในฐานะต่ำกว่าอีกแบบหนึ่ง แต่เป็นแบบที่มีนัยในการเหยียดเพศ ไม่เหมือนคำด่า "ควาย" ในสังคมไทยที่ด่าด้วยนัยทางชนชั้น หากใครด่าฝรั่งว่า "ควาย" หรือจะแปลว่า "buffalo" ไปก็ไม่มีความหมาย หรือหากใครแปลคำด่าอเมริกันที่ว่าเป็นคำไทยตรงไปตรงมาว่า "ร่วมเพศคุณ" หรือแม้แต่จะบอกว่า "เ_ดมึง" ก็ยังไม่เป็นคำด่าได้อยู่ดี ภาษาไทยต้องเปลี่ยนกรรมเป็นบุพการีของผู้ถูกด่าจึงจะเป็นการด่าที่มีความหมาย หรืออีกนัยหนึ่งคือต้องเหยียดหยามกันด้วยฐานะสูงต่ำว่า "ฉันร่วมเพศกับบุพการีแก ฉันจึงมีฐานะสูงกว่าแก" ไม่ใช่แค่เหยียดเพศจึงจะมีความหมาย

เพียงแค่จะบอกว่าคำไหนเป็นคำหยาบในแต่ละสังคมก็ยากแล้ว แต่ในสังคมปัจจุบันยังมีความซับซ้อนในการตัดสินค่าของคำพูดมากกว่านั้นขึ้นไปอีก เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ ในปัจจุบันเราไม่สามารถที่จะหาสังคมใดที่มีระบบคุณค่าชุดเดียว ที่คนในสังคมทั้งสังคมเห็นคล้อยตามกันไปหมดได้อีกต่อไป  

ดังนั้น การที่บางประเทศต้องการบังคับให้ทุกคนปิดหูปิดตาตนเองเกี่ยวกับผู้นำของประเทศตนเอง อย่าอยากรู้ อย่าอยากอ่าน อย่าอยากวิเคราะห์เกี่ยวกับผู้นำประเทศ แต่ให้เคารพนับถือบูชาอย่างสิ้นสงสัยเหมือนกับที่เราควรปฏิบัติกับศาสดาของศาสนานั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป หรือแม้แต่เรื่องราวทางศาสนาก็ถูกสงสัยมากขึ้นทุกที เพราะระบบคุณค่าของสังคมเปลี่ยนไปหรือไม่ก็มีการปะทะกันของคุณค่าหลายชนิดมากขึ้นทุกที  

ในบางสังคมเราจึงพบว่าการจะแยกแยะว่าคำพูดประเภทไหนเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม อาฆาตมาดร้าย เป็นเรื่องยุ่งยาก หรือบางคราวเป็นเรื่องที่ถูกบิดเบือนไปจนกระทั่งการพูดสะท้อนความจริงอย่างตรงไปตรงมาก็กลับกลายเป็นคำพูดดูหมิ่นไปได้เช่นในบางประเทศ การแสดงข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้มีอำนาจในประเทศนั้น แม้จะเพียงนำข้อเท็จจริงมาเล่าอย่างซื่อๆ ก็จะถูกตัดสินจำคุกสูงสุดถึง 15 ปีได้หรือการแสดงข้อเท็จจริงนั้นเองอาจถือว่าเป็นการดูหมิ่นผู้มีอำนาจได้ ส่วนในบางประเทศ แม้จะมีคนพูดจาอาฆาตมาดร้ายประมุขของบางประเทศอยู่จริง มีหลักฐานชัดเจน พวกเขาก็จะยังคงได้รับการยกเว้น เพราะพวกเขาไม่ใช่คนขับรถแท็กซี่ ไม่ใช่คนหาเช้ากินค่ำ ไม่ใช่นักศึกษาเพิ่งเรียนจบ แต่พวกเขาเป็นชนชั้นสูง เป็นนักการทูต หรือกรณีที่เราเห็นกันแทบจะเป็นประจำทุกวันนี้ในบางประเทศ ก็คือการที่ผู้นำประเทศสามารถพูดจาหยาบคาย แสดงกิริยาเหยียดหยามผู้คน เหยียดหยามผู้สื่อข่าวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ไม่เห็นมีนักสันติวิธีที่ไหนตักเตือนเขา เพราะเขาถือว่าตนมีอำนาจล้นฟ้า พูดอะไรคนก็ต้องฟัง

สรุปแล้ว ผมคิดว่า ที่จริงไม่ใช่เพียงแค่ว่าเราไม่สามารถตกลงกันได้ง่ายๆ ว่าเส้นแบ่งของคำเสรีภาพในการพูดกับการใช้ถ้อยคำเหยียดคนอยู่ตรงไหนเท่านั้น แต่ที่เรายอมรับคำพูดกันไม่ได้หรือมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงต่อคำพูดก็ต่อเมื่อความสัมพันธ์ทางอำนาจของผู้พูดกับผู้ฟังไม่เท่าเทียมกันมากกว่าดังนั้นในบางประเทศ ความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทบางลักษณะจึงเป็นความผิดที่ไม่ได้มีบรรทัดฐานที่ระบุได้ชัดเจน หากแต่เป็นการพิจารณาว่าคำพูดนั้นพูดโดยใครต่างหาก  

ตัวคำพูดเองจึงไม่สำคัญเท่ากับว่าใครคือผู้พูดและพูดถึงเรื่องของใครต่างหาก

(ที่มา:มติชนรายวัน 10 ก.พ.2558)

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
ไม่เพียงแต่นักเขียนบางคนเท่านั้นที่อาจจะไม่เข้าใจหรือมองข้ามประเด็นความแตกต่างทางชาติพันธ์ุ แต่ผมคิดว่าแวดวงภาษาและวรรณกรรมบ้านเราอาจจะไม่ตระหนักถึงปัญหานี้โดยรวมเลยก็ได้ และในแง่หนึ่ง ผมคิดว่าซีไรต์เองอาจจะมีส่วนสร้างวัฒนธรรมไม่อ่อนไหวต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน และถึงที่สุดแล้ว นี่อาจจะกลายเป็นข้อจำกัดที่ปิดกั้นโอกาสที่วรรณกรรมไทยจะก้าวเข้าสู่ระดับสากล
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทัศนะของนายแพทย์ที่เป็นตัวแทนของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ แสดงให้เห็นถึงความคิดคับแคบของผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่ง ที่มักใช้อำนาจก้าวก่ายชีวิตผู้คน บนความไม่รู้ไม่เข้าใจไม่อยากรับผิดชอบต่อปัญหาเชิงโครงสร้างที่ละเอียดอ่อน และบนกรอบข้ออ้างเรื่องคุณธรรมความดีที่ยกตนเองเหนือคนอื่น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แทนที่จะเถียงกับอีกท่านหนึ่งที่วิจารณ์ผมต่อหน้ามากมายเมื่อวาน ผมขอใช้พลังงานเถียงกับข้อเสนอล่าสุดของอาจารย์ธีรยุทธ บุญมีจากข่าวในมติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354935625&grpid=01&catid=&subcatid=) ดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นึกไม่ถึงและนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ทำไมคนเปิดร้านขายหนังสือในปลายศตวรรษที่ 20 - ต้น 21 จะมีความคิดแบบนี้ได้ นี่แสดงว่าเขาไม่ได้อ่านหนังสือที่เขาขายบ้างเลย หรือนี่แสดงว่าการอ่านหนังสือไม่ได้ช่วยจรรโลงจิตใจนายทุนบางคนขึ้นมาได้เลย*
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เมื่ออ่านข่าวแอร์โฮสเตสที่เพิ่งถูกให้ออก ผมมีคำถามหลายข้อ ทั้งในมิติของโซเชียลมีเดีย hate speech และสิทธิแรงงาน อย่างไรก็ดี ขอเคลียร์ก่อนว่าหากใครทราบจุดยืนทางการเมืองของผม ย่อมเข้าใจดีว่าความเห็นต่อไปนี้ไม่ได้มาจากความเห็นทางการเมืองที่เอนเอียงไปในทางเดียวกับพนักงานสายการบินคนนี้แต่อย่างใด ข้อสังเกตคือ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขณะกำลังนั่งกินหอยแครงลวกอยู่เวลานี้ ก็ชวนให้คิดถึงคำพูดของนักวิชาการกัมพูชาคนหนึ่ง ที่เคยนั่งต่อหน้าอาหารเกาหลีจานพิเศษ คือหนอนทะเลดิบตัดเป็นชิ้นๆ ขยับตัวดึบๆ ดึบๆ อยู่ในจานแม้จะถูกตั้งทิ้งไว้เป็นชั่วโมง ตอนนั้น ผมบ่ายเบี่ยงไม่กล้ากินอยู่นาน แม้จะรู้ว่าเป็นอาหารพิเศษราคาแพงที่ศาสตราจารย์ชาวเกาหลีสรรหามาเลี้ยงต้อนรับการมาเกาหลีครั้งแรกของพวกเราหลายคน เพื่อนกัมพูชาบอกว่า "กินเถอะพี่ หอยแครงลวกในเมืองไทยน่ากลัวกว่านี้อีก" ผมจึงหาเหตุที่จะหลบเลี่ยงอีกต่อไปไม่ได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมนั่งดูบันทึกรายการ The Voice Thailand (เดอะวอยซ์) เป็นประจำ แม้ว่าจะเห็นคล้อยตามคำนิยมของโค้ชทั้ง 4 อยู่บ่อยๆ แถมยังแอบติดตามความเห็นเปรี้ยวๆ ของนักเขียนบางคนที่ชอบเรียกตนเองสวนทางกับวัยเธอว่า "ป้า" ซึ่งหมดเงินกดโหวตมากมายให้นักร้องหนุ่มน้อยแนวลูกทุ่ง แต่ผมไม่ได้รับความบันเทิงจากเดอะวอยซ์เพียงจากเสียงเพลง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมพยายามถามตัวเองว่า การจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่นำโดย "เสธ.อ้าย" จะมาจากเหตุผลประการใดบ้าง แต่ผมก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจว่า เอาเข้าจริง คนที่เข้าร่วมชุมนุมกับเสธ.อ้ายจะมีเหตุผลหรือไม่ หรือหากมี พวกเขาจะใช้เหตุผลชุดไหนกันในการเข้าร่วมชุมนุม ยังไงก็ตาม อยากถามพวกคุณที่ไปชุมนุมว่า พวกคุณอยากให้ประเทศเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (20 พฤศจิกายน 2555) นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญไปบรรยายในงานสัมมนา "การเมืองเรื่องคนธรรมดา" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ขอตัดส่วนหนึ่งของบทบรรยายของผมที่ใช้ชื่อว่า "การเมืองวัฒนธรรมดา: ความไม่ธรรมดาของสามัญชน" มาเผยแพร่ในที่นี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2555 นิสิตรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชิญไปร่วมกิจกรรมจุฬาวิชาการ โดยให้ไปวิจารณ์บทความนิสิตปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ 4 ชิ้น 1) ว่าด้วยเบื้องหลังทางการเมืองของการก่อตั้งองค์การอาเซียน 2) ว่าด้วยบทบาทและการต่อรองระหว่างประเทศในอาเซียน 3) ว่าด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าของธุรกิจเอกชนไทยในคู่ค้าอาเซียน และ 4) ว่าด้วยนโยบายชนกลุ่มชาติพันธ์ุในพม่า ข้างล่างนี้คือบันทึกบทวิจารณ์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 การที่ประธานรัฐสภาปัดข้อเรียกร้องของประชาชนกว่า 3 หมื่นคน ที่นำโดยคณะนิติราษฎร์และคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ด้านหนึ่งนับเป็นความขลาดเขลาของประธานรัฐสภา ด้านหนึ่งสะท้อนความขลาดเขลาของพรรครัฐบาลที่บอกปัดข้อเสนอนี้มาตั้งแต่ ครก.112 เริ่มรณรงค์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 บ้านเก่าเมืองหลัง เป็นสำนวนของคนไทดำในเวียดนาม เมื่อก่อน พอได้ขึ้นไปเยี่ยมเยือนพี่น้องชาวไทดำที่เซอนลาแต่ละครั้ง ก็จะถูกพวกคนเฒ่าคนแก่ล้อว่า “เหมือนพวกหลานๆ กลับมาเยี่ยมบ้านเก่าเมืองหลังสินะ” ในความหมายที่ว่า เหมือนผมได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนนั่นเอง ทั้งๆ ที่ตอนนั้น ก็ห่างหายไปแค่เพียงหลายเดือน หรืออย่างมากก็ในรอบปี