Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

ดาวน์ฟ้า
ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพภาคประชาชน จังหวัดเชียงใหม่ กิจกรรมของศูนย์ ให้ข้อมูลความร้ความเข้าใจเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาล ในทุกด้านและโดยเฉพาะสิทธิหลักประกันสุขภาพ(บัตรทอง) รับเรื่องร้องเรียน  การละเมิดสิทธิจาการรักษาพยาบาล สร้างกระบวนการเรียนรู้ภาคประชาสังคม ผู้ใช้บริการให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบสุขภาพไทย   เบอร์ติดต่อ 0834756009 หรือ e-mail:sawadkhamfu@hotmail.com
กวีประชาไท
 ๑ สหาย.....                           ไม่เคยกลัวตายไม่กลัวเสียสละไม่มีแพ้แลชำนะ                                  ไม่เสียดายในจังหวะที่ผ่านเลย
แสงพูไช อินทะวีคำ
พระอาทิตย์ยามใกล้ค่ำสาดแสงอ่อนๆ ลอดผ่านปลายไม้ตามถนนล้านช้าง บนถนนรถยังคงแน่นขนัดวิ่งสวนกันไปมา ข้าพเจ้าประคับประคองร่างกาย ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่าช้าๆ สายตามองสองส่องหาเศษขยะ  ปากก็กลืนน้ำลายลงคอ  สมองก็เริ่มคิดว่า ในบรรดาถังขยะเหล่านั้นจะมีสิ่งใดที่พอทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปอีกหนึ่งวัน
โชเนน
อยากเอ่ยคำขอบคุณให้กับพี่ๆเพือนๆและทีมงานทุกๆคนที่อยู่ด้วยกันใน 4 วัน... ที่ยอมให้ผมไปสายทั้ง 4 วันเลย ห่ะๆ ผมได้รับแจ้งให้ไปร่วมประชุมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะหลบเข้ามุมคิดในใจ " เฮยจะไปดีป่าวว่ะ "  แต่นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดในใจคนเดียว เพราะในทางปฏิบัติคือ " ต้องไป "    และตัดสินใจเดินทางไปด้วยความโล่งของสมองที่ไม่รู้เลยว่าต้องไปทำอะไรมั่ง รู้แต่ว่าไปแคมป์อบรมเขียนข่าว!!  ซึ่งวันแรกก็ไปสายซะแล้วววว!! ไปถึงวันแรกวันศุกร์ก็สายซะแล้ว ยังงงๆว่ามาทำอะไร เจอคนมากหน้าหลายตาไปหมด มีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก ด้วยความไปช้าเลยได้นั่งหน้าสุด ก่อนจะแยกย้ายไปตามกลุ่มสีที่ตัวเองโชคดี เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ก่อนจะเริ่มเขียนข่าว 1 กัน.... และวันแรกก็จบลงด้วยสภาพที่มันก็ยังงงๆมึนๆ แถมยังไม่รู้จักใครใหม่ๆซักคน... วันที่สองวันเสาร์..ไปสายเหมือนเดิม  แต่วันนี้พกความมั่นใจไปเต็มกระเป๋า พร้อมลุยแหลกเริ่มคุยกับคนโน้นคนนี้  (เหมือนจะเยอะแต่นับคนได้ ห่ะๆ) วิทยากรก็ดี กันเอง สนุกสนาน สอนเขียนข่าว 2 ทำบล๊อกกับทวิตเต้อแบบง่ายๆแต่เข้าใจ นั่งทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆก็หมดไปอีกวัน จนจบวันที่สองด้วยความงงอีกแล้วว่า ทำไมเลิกไวจัง... ห่ะๆ วันที่สามวันอาทิตย์...ก็สายอีกตามเคย...เป็นวันที่อุตลุดจุดนัดฝันกันจริงๆ แถมยังกางเกงเกือบหลุดเพราะคาดไม่ถึงว่าทีมวิทยากรจะทำได้เนียนขนาดนี้ ทุกคนดูสับสนวุ่นวาย จนไม่มีเวลาที่จะหาเรื่องคุยกับคนที่อยากคุย แต่ก็เป็นความวุ่นวายที่มีแต่รอยยิ้มแย้มมมม...  จนรอยยิ้มค่อยๆจางหายไปเมื่อต้องมาทำคลิปข่าวกันจริงๆแล่ะ มันไม่ง่ายเลยแฮะ พอเวลายิ่งจำกัดอุปสรรคก็ยิ่งมาก แต่ด้วยความใจดี๊ใจดีของทีมวิทยากรที่มากความสามารถ ก็ทำให้แต่ละทีมทำคลิปด้วยตัวเองสำเร็จจนได้ด้วยเวลาที่จำกัด...  ผมไม่รู้ว่าใครจะคิดยังไง แต่ผมคิดว่าคลิปข่าวทีมผมนั่นเจ่งสุด 5555 เพราะจบแบบหักมุมไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ห่ะๆ และหลังจากมะรุมมะตุ้มทำข่าวกันมาทั้งวัน ก็จบวันที่สามด้วยความอ่อนเพลีย...อยากนอนนนนนน  วันที่สี่วันจันทร์...วันสุดท้ายของการอบรม..และแน่นอนผมไปสายอีกเหมือนเดิม แหะๆ วันนี้มาแบบสบายๆ บรรยากาศเหมือนวันสุดท้ายของค่ายลูกเสือตอนเด็กๆ... คือ เริ่มเหงา คิดถึงพี่ๆเพื่อนๆร่วมชั้น อยากอยู่กันแบบนี้อีก ยังไม่อยากกลับไปเจอกับชีวิตจริงที่แสนวุ่นวาย อยากอยู่ในโลกคู่ขนานแบบนี้ไปอีกนานๆ แต่ก็เป็นแค่ความรู้สึก....  มีงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา น้ำตาแอบตกในว่าถึงเวลาต้องแยกกันแล้ว เพลงที่ฟังตอนเด็กๆผุดขึ้นมาในความทรงจำ..." โอ้เพื่อนเอ่ยเคยร่วมสนุกกันมา แต่เวลาต้องพาให้เราจากกัน ไม่นานหรอกหนาเราคงได้มาพบกัน....ไม่มีสิ่งใดขวางกันเพราะเรามั่นในสัญญา "....   ทุกอย่างจบลงหลังจากทุกคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใน 3 วันที่ผ่านมา รับประกาศนียบัตรและถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน ถือเป็นการจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งของรุ่นที่สาม ที่ไม่ใช่รุ่นที่หนึ่งและสอง ห่ะๆๆๆๆๆ บทสรุป... ตลอด 4 วัน ที่ผมไปๆกลับๆระหว่างบ้านพักและดิโอลด์ไรซ์มิลด์ ผมได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะ ได้สัมผัสความจริงใจ  ได้รู้สึกถึงความรักและผูกพันของทุกๆคน  และได้อะไรอีกเยอะแยะมากมายยยยยยยที่หาไม่ได้ในห้องเรียนวิชาอื่น .....สุดท้ายผมได้อะไรดีๆติดตัวกลับมาเยอะมากๆ ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งพีและเพื่อนใหม่ๆ ได้เจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ มีคนที่อยากเข้าไปคุยและคนที่ต้องเข้าไปคุยให้ได้ และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งที่ก่อนไปผมไม่มีอะไรเลย มีแต่ความบ้าบอไร้สาระของตัวเองเพียวๆ.....  สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงพลังให้ผมก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางแห่งความหวังของวันข้างหน้าต่อๆไป ผมขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆทีมประชาไทที่สุดยอดดดดดด และขอขอบคุณเพื่อนใหม่ร่วมชั้นทุกๆคนทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ทั้งที่ได้คุยและไม่ได้คุย จริงๆแล้วผมอยากคุยกับทุกคนให้มากกว่านี้  อยากบอกว่าพวกเราเจ๋งจริง ทุกคนทำได้สุดยอด ทุกคนเก่งมากๆ ขอบคุณครับ..ที่ให้โอกาสคนไปสายคนอย่างผม แหะๆ                                                                                                                              โชเนน หนุ่ม มพบ. หมายเหตุ... บทความนี้ขอสงวนชื่อบุคคลที่รู้ตัวว่าถูกพาดพิงทั้งหมด... เพราะเยอะจนจำไม่ได้ แหะๆ
นายกรุ้มกริ่ม
               สิงหาคม 2550 นักศึกษามหาวิทยาลัย 12 ชีวิต ชาย6 หญิง6 กลั้นน้ำตายิ้มให้กับโรงเรียนประถมเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง ขณะที่กระโดดขึ้นท้ายรถกระบะแล่นจากไป                    ในระยะเวลา 9 วัน พวกเขาได้อุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเนรมิตห้องเก็บของเก่าๆ ให้เป็นห้องสมุดสำหรับเด็กที่มีตัวการ์ตูนสดใส และหนังสือใหม่แกะล่องจำนวนมาก ความประทับใจ รอยยิ้ม คราบน้ำตา วันที่เหน็ดเหนื่อย และเวลาแห่งความสนุกสนาน สิ่งเหล่านี้พวกเขาจะเก็บรักษามันให้เป็นอย่างดี ในฐานะความทรงจำที่แสนดีในช่วงชีวิตหนึ่ง ก่อนที่การเรียนชั่วโมงถัดไปจะเริ่มต้นขึ้นและวิถีในกรอบของสังคมเมืองก็จะกลับมาดูดกลืนชีวิตของพวกเขาอีกครั้ง                   มีนาคม 2551 นักศึกษา 3 จาก 12 ชีวิต นั่งรถทัวร์สายกรุงเทพ-สตูล ครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดคืนเพื่อหวังให้ถึงหน้าโรงเรียนแห่งเดิมในเช้าวันใหม่ รถบขส. สายยาวหยุดลงหน้ารั้วโรงเรียนข้างกันกับบ้านคุณลุงภารโรงที่คุ้นเคย แสงอาทิตย์เริ่มส่องฟ้าให้พอมองเห็นอาคารหลังเล็ก เสาธงและสนามฟุตบอล รอยยิ้มเบิกกว้างออกอย่างไม่รู้ตัว สถานที่อันห่างไกลด้วยระยะทางแห่งนี้ แค่เพียงมองเห็นรางๆ แต่กลับรู้สึกอบอุ่นและตื้นตันเหมือนกับบ้านหลังเก่าที่จากไปนาน เด็กหนุ่มสาวย่างท้าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เข้าไปในเขตรั้ว เสียงรถเครื่องดังออกมาจากด้านในโรงเรียน พร้อมกับเห็นแสงไฟหนึ่งดวงกำลังตรงรี่เข้ามา คุณครูชั้นเด็กอ่อนก่อนวัยเรียนมาถึงโรงเรียนแต่เช้าตรู่พร้อมต้อนรับขับสู้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มปนสงสัย ไม่นานหลังจากนั้นปิกอัพคันโตของผู้อำนวยการก็มาถึง แล้วช่วงเวลาของหน้าร้อนในปีนี้ก็มีบรรยากาศไม่ต่างจากฤดูฝนเมื่อปีกลาย คุณครูใจดีที่เคยดูแลลูกหลานจากเมืองกรุงเมื่อหลายเดือนก่อน ยังคงใจดีขนอาหารเช้า ขนม และโอวัลตินมาให้ ทักทายกันอย่างคนรู้จักสักพักใหญ่ พอหายง่วงได้ที่ก็ถึงเวลาทักทายผลงานเก่าบ้าง คุณครูเปิดห้องสมุดให้ผู้ที่เคยมาลงแรงกันไว้ได้เยี่ยมชม ปะตูหน้าต่างทาสีทองไว้ช่างคุ้นตา ชั้นหนังสือเรียงรายเป็นระเบียบ โต๊ะญี่ปุ่นและเบาะรองนั่งอยู่ในตำแหน่งเดิม รูปวาดบนฝาผนังยังคงสะอาดเอี่ยมไร้รอยเปื้อน รูปที่วาดเอง สีที่ทาเอง ไม้ที่ตอกเอง หนังสือที่หามาเอง ไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นและจะทักทายสิ่งไหนก่อนไหนหลัง แม้เวลาจะล่วงผ่านไปนานพอตัว แต่ภาพที่เห็นช่างเหมือนกับได้เปิดดูภาพถ่ายที่เก็บใส่อัลบั้มไว้อย่างน่าประหลาดใจ ชั้นหนังสือและหนังสือบนชั้นจัดวางในตำแหน่งเดิม ตุ๊กตาหุ่นมือวางไว้ครบถ้วน สื่อการเรียนรู้เก็บเข้ากล่องอย่างถูกต้อง โปสเตอร์ยังติดอยู่ด้วยกาวสองหน้า แม้แต่ดอกไม้ประดิษฐ์ก็ยังคงอวดสีสันอยู่ไม่เปลี่ยนไป เหตุไฉนเด็กประถมวัยซุกซนร่วมร้อยคนจึงรักษาของได้ดีเพียงนี้หรืออาจจะเป็นเพราะสัญญาบางอย่างมีความหมายเกินลึกซึ้งสำหรับเด็กบ้านนอกกลุ่มหนึ่ง   แปดเดือนที่แล้ว หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการจัดตกแต่ง นักเรียนทุกระดับชั้นได้เข้าใช้ห้องสมุดใหม่เป็นครั้งแรกท่ามกลางคำพร่ำบ่นของพี่ๆ ให้ดูแลหนังสืออย่างดีที่สุด พร้อมกับคำสัญญาเดิมพันอันเดียวว่า “ถ้าน้องรักษาหนังสือดีพี่จะกลับมาหา” แปดเดือนให้หลังมีพี่ๆ อย่างน้อยสามคนที่ไม่ลืมสัญญา และคนบางคนที่อิ่มเอมใจได้แต่นั่งมองไปรอบๆ ห้องแล้วคิดถึงเพื่อนๆ อีก 9 คนที่ปรารถนาให้มารับรู้ความรู้สึกและแบ่งปันร่วมกัน   คุณครูยิ้มหวานเดินเข้าออกห้องที่สามสหายนอนเล่นอยู่ “ได้ใช้ประโยชน์จริงๆ เลยนะ” ครูพูดขึ้นโดยที่ยังไม่ได้ถาม เด็กน้อยคนเคยสนิทพร้อมเพื่อนรีบขี่รถเครื่องมาพบพี่ๆ ด้วยความคิดถึง พูดคุยถามไถ่ได้ความว่ามีนักเรียนมาใช้ทุกระดับชั้น เยอะมากในตอนเช้าก่อนเข้าแถว โดยมากก็อ่านหนังสือ ทั้งการ์ตูน นิทาน หนังสือภาพ วิทยาศาสตร์ และของเล่น โดยมีสมุดให้ลงชื่อเป็นหลักฐานว่ามีนักเรียนมาใช้มากขนาดไหน ครูสาวชาวใต้ยังเล่าต่ออีกว่ามีการกำหนดคาบเรียนให้นักเรียนเข้ามาใช้ห้องสมุดนี้อาทิตย์ละหนึ่งชั่วโมงต่อหนึ่งชั้น โดยมีครูคุมเด็กมาให้นั่งอ่านหนังสือและเก็บให้เป็นระเบียบ ส่วนเด็กก่อนวัยเรียนก็มาใช้เป็นที่เล่น ตลอดจนเล่นการแสดงหุ่นมือจากตู้ที่ได้สร้างไว้ เหนือกว่าคำบอกเล่าใดๆ ภาพหนังสือที่วางอยู่ตำแหน่งเดิมแต่ถูกเปิดบ่อยจนปกเผยออ้าออกหลายต่อหลายเล่ม สภาพของเล่นที่เก่าลง เบาะรองนั่งที่แบนและเปรอะเปื้อน ตลอดจนอุปกรณ์ใหม่ๆที่โรงเรียนจัดหามาเพิ่ม คงตอบคำถามที่สงสัยได้เป็นอย่างดี เหนือกว่าสิ่งอื่นใดเป็นคำตอบที่ไม่ต้องเอ่ยถาม และไม่ต้องหาเหตุผลอันลึกซึ้งมาอธิบาย   เด็กประถมจากโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งจะได้รับการศึกษาที่ดีขึ้นหรือไม่ โอกาสของพวกเขาจะเท่าเทียมกับเด็กกรุงเทพได้หรือไม่ การศึกษาจะพาให้พวกเขามีอนาคตที่สดใสได้หรือไม่ คงไม่ใช่คำถามที่จะต้องขบคิดในเวลานี้ และคงไม่ได้ตอบด้วยห้องสมุดน่ารักๆ เพียงหลังเดียว แต่ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งที่เกิดจากการลงไม้ลงมืออย่างเข้มแข็งของลูกหลานชนชั้นกลางที่ไม่เคยแม้แต่จะทำความสะอาดบ้านตัวเอง เหมือนมีชีวิต มีปากพูดและบอกกลับมายังพวกเขาว่าด้วยสมอง สองมือ และหัวจิตหัวใจ กับเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิตนั้น พวกเขาสามารถที่จะสร้างประโยชน์ทิ้งไว้ให้แก่ผู้อื่นได้อย่างมากมาย เป็นความภาคภูมิใจที่อาจจะหาไม่ได้ง่ายนักสำหรับชีวิตคนคนหนึ่งที่เกิดมา และอาจจะให้ความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้สำหรับบางคน...   เวลาผ่านไปค่อนวัน รถเที่ยวเดินทางกลับภูมิลำเนาจะออกในตอนเย็นวันนั้น นักแสวงหาทั้งสามคนนอนมองดูรูปถ่ายของตนที่ติดอยู่บนฝาผนังพร้อมชื่อและวันที่ที่โรงเรียนทำไว้ให้เป็นอนุสรณ์ นั่นคงเป็นสิ่งตอบแทนในทางรูปธรรมอย่างเดียวที่พวกเขาได้รับ รถของผู้อำนวยการจอดรอจะพาคนทั้งสามกลับไปส่งยังตัวเมืองอยู่แล้ว เมื่อฟ้าสว่างครั้งถัดไป พวกเขาก็จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิมในเมืองหลวง โดยเก็บเรื่องราวความทรงจำ ณ แดนใต้ไว้เป็นเชื้อไฟในยามที่จิตใจสับสนไร้หนทาง และเมื่อฤดูฝนครั้งหน้ามาถึง พวกเขาหวังว่าจะพาเพื่อนรวม 12 ชีวิตกลับมารักษาสัญญาและแบ่งปันความภาคภูมิใจนี้ร่วมกัน     นายกรุ้มกริ่ม ณ แดนใต้                     เขียนขึ้นตามคำขอของเต้ หนึ่งในสามเพื่อนร่วมทาง หลังกลับจากการเดินทางวันนั้น ไม่เคยมีคนอ่าน ไม่เคยตีพิมพ์
นายกรุ้มกริ่ม
              “The productive forces of material life conditions the social, political and intellectual life process in general. It is not the consciousness of men that determines their being, but, on the contrary, their social being that determines their consciousness” Karl Marx Preface to A Contribution to the Critique of Political Economy     ถ้าหากปรัชญาของคาร์ล มาร์กซ์ ยังพอมีส่วนถูกอยู่บ้าง คนที่มีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมอันประกอบด้วยวัตถุทางรูปธรรมแบบหนึ่งๆ จะไม่สามารถแยกแยะ(Determine) ความถูกผิดดีงามทางศีลธรรม (Consciousness) และตัดสินเรื่องความต้องการแทนคนจากที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมอีกอย่างหนึ่งได้ ขณะที่ไม่มีใครปฏิเสธว่าความแตกต่างระหว่างชนชั้นในสังคมไทยมีสูงเพียงใด การวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นปัญหาเรื่องการเซ็นเซอร์สื่อสารมวลชนในปัจจุบันกลับปรากฏชัดมากว่ามาจากผู้คนเฉพาะในชนชั้นกลางถึงระดับสูงเท่านั้น ไม่ปรากฏการเปิดพื้นที่อื่นๆ เพื่อให้โอกาสคนในทุกชนชั้นได้เสนอความคิดเห็นกันอย่างเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพถูกยกขึ้นกล่าวอ้างเป็นหลักการพื้นฐาน ในระบบวิธีคิดของปัจเจกบุคคลที่ท้องอิ่ม โดยลืมคำนึงไปว่ากฎหมายและกฎเกณฑ์ทุกชนิดที่ออกมาใช้บังคับย่อมมีผลเป็นการทั่วไปต่อบุคคลทุกเพศ ทุกวัย ทุกฐานะ ที่อยู่อาศัยร่วมกันภายในราชอาณาจักร และในอีกแง่หนึ่งของกฎหมาย หลักกฎหมายมหาชนพื้นฐานประการสำคัญมีอยู่ว่า ประโยชน์ของมหาชนต้องอยู่เหนือประโยชน์เอกชน ทั้งนี้เท่าที่ไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของเอกชนมากจนเกินไป เพราะฉะนั้นแล้วแค่ไหนเพียงไรที่รัฐควรจะเข้ามามีบทบาทในการควบคุมสื่อสารมวลชนที่ผู้บริโภคคือประชาชนทั้งหมดจากสิ่งแวดล้อมทางวัตถุที่แตกต่างกัน “ละเมิด” เท่าใดจึงจะถือว่า “มากเกินไป” สิทธิเสรีภาพย่อมฟังดูหอมหวานเสมอ ตราบเท่าที่ผู้กล่าวอ้างไม่นับให้สับสนกับการเรียกร้องเพื่อขอดูภาพโป๊เปลือย   ยามบ่ายวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2551 ณ บ้านพักของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก ศูนย์ชุมชนวัดดวงแข เด็กนักศึกษากลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ที่มีผมและเพื่อนๆ ร่วมอยู่ในคณะ ได้เดินทางมาเยี่ยมเยือนชุมชนแออัดแห่งหนึ่งข้างๆ หัวลำโพง แม้จะอยู่ใจกลางเมืองหลวง แต่สภาพบ้านเรือนที่นี่ไม่ใคร่จะน่าอยู่นัก ที่อยู่อาศัยปลูกติดๆ กันอย่างไม่เป็นระเบียบ มีทางเดินแคบๆ ขนาดคนเดินสวนกันไม่ได้ตัดกันสะเปะสะปะ แสงแดดไม่เคยส่องถึงพื้นทางเดิน ภายในตึกหลังหนึ่งจะซอยย่อยออกเป็นห้องเล็กๆ สำหรับให้เช่า ขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่งของหอพักเอเชี่ยนเกมส์โซนซี ซึ่งคนที่นี่จะอาศัยอยู่กันทั้งครอบครัวหรือบางห้องก็แบ่งกันอยู่หลายครอบครัว ห้องเล็กๆ เรียงติดๆ กันแทบไม่มีที่ว่างหลงเหลือ ระหว่างห้องกั้นด้วยไม้อัดผุๆ ในห้องยังมีห้อง และด้านหลังก็ยังมีห้อง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีระบบสาธารณูปโภคใดๆ ด้วยหัวใจอาสา พร้อมกับกิจกรรมเล็กๆ ตามแบบฉบับของเยาวชนยุคปัจจุบัน เรามาเพื่อมอบความสนุกสนานเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเด็กๆ ในชุมชนที่นี่ และเรียนรู้แลกเปลี่ยนระหว่างกัน มีน้องผู้หญิงตัวเล็กๆ อยู่คนหนึ่ง ชื่อน้องจ๋า สูงเลยเข่ามาเล็กน้อย ตากลมโต ผิวดำกร้าน เนื้อตัวมอมแมม ดังเช่นเด็กตามชุมชนแออัดทั่วไป แต่มีแววตาสดใส เป็นประกาย และมีบุคลิกร่าเริง ทำให้กลายเป็นดาวเด่นเป็นขวัญใจสำหรับพี่ๆ ที่แวะเวียนเข้ามาเป็นครั้งคราว น้องจ๋าชอบเต้นเพลง “ไก่ย่าง” ด้วยท่าเต้นแบบที่นักศึกษาอย่างเราๆ รู้จักกันดี ทุกครั้งที่พูดเรื่องจะให้เต้น น้องจ๋าจะลุกขึ้นมาก่อนพร้อมตะโกนร้องขอจะเต้นเพลงไก่ย่าง จนพี่ๆ ต้องยอมตามใจให้ทุกครั้ง เพราะเหตุที่ตัวเล็ก จึงเต้นท่าเต้นที่อาจจะดูทะลึ่งบ้างในสายตาของผู้ใหญ่ ออกมาได้น่ารักน่าเอ็นดูโดยที่คนเต้นเองไม่จำต้องรู้ความหมาย ในช่วงที่แอบหลบร้อน ผมนั่งลงในมุมหนึ่งของห้องกับน้องจ๋า ติดกันเป็นชั้นหนังสือ ผมจึงพยายามเปิดสมุดนิทานหาภาพการ์ตูนรูปสัตว์ต่างๆ แล้วชี้ชวนเล่นไปแบบเด็กๆ “นี่ตัวอารายยย.......” ??!!?? ไร้ซึ่งคำตอบจากทุกภาพ ...แต่เมื่อผมเริ่มชี้นำ “นก”  “นกใช่มั๊ยครับ?” “น๊ก?” น้องจ๋าส่งประกายตาอยากรู้อยากเห็นอย่างเต็มที่ “นก...” เด็กน้อยทวนอีกครั้ง พร้อมฉีกยิ้มหวานหลังพูดจบ “หมา…”“แมว...” “เสือ...” และสัตว์อื่นๆ ตามมาในลักษณะเดียวกันเท่าที่ผมจะเปิดหาเจอและน้องจะมีสมาธิรับรู้ได้ในวันนั้น หลังจบกิจกรรมในวันนั้น เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกับ ป้าหมีและป้าติ๋ม เจ้าหน้าที่ผู้ปกครองของมูลนิธิ ที่ทำหน้าที่คอยสอดส่องดูแลเด็กๆ ผมเล่าเรื่องประสบการณ์ในวันนี้ให้คุณป้าผู้ใจดีฟัง คุณป้าทั้งสองจึงช่วยกันเล่าข้อเท็จจริงเพิ่มเติมความรู้ให้ผมฟังว่า จริงๆ แล้วน้องจ๋าอายุ 6 ขวบแล้วแต่ตัวเล็กกว่าอายุ และมีกิริยาท่าทางเหมือนเด็ก 2-3 ขวบ เพราะว่ามีพัฒนาการช้า เนื่องจากไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่สมบูรณ์ จึงไม่ได้เติบโตไปตามวัยอย่างเหมาะสม คุณพ่อของน้องจ๋าทิ้งครอบครัวหนีไปนานแล้ว ตั้งแต่นั้นมาคุณแม่ของน้องจ๋าก็มีอาการทางจิตไม่ค่อยปกติ เป็นโรคซึมเศร้าและไม่ค่อยสนใจลูกตัวเอง วันไหนขี้เกียจเลี้ยงก็เปิดโทรทัศน์ให้นั่งดูทั้งวันไม่ต้องทำอะไร โทรทัศน์มีหนังมีละคร ตบตีอะไรกันน้องจ๋าก็ดูอยู่เท่านั้นทั้งวัน ส่วนคุณแม่ก็ไปติดกาวเมาเสเพล นอกจากคุณแม่แล้ว ในห้องเช่าเล็กๆ ก็ไม่มีคนอื่นอีก แต่ละวันน้องจ๋าจะเดินเล่นไปในชุมชน ถ้าหิว พอเจอผู้ใหญ่คนไหนก็จะไปขอข้าวขอน้ำกิน คนในชุมชนเห็นก็สงสารก็แบ่งข้าวให้อยู่เรื่อยๆ เติบโตมาอย่างนี้ตลอด ดังนั้นจึงไม่มีใครคอยเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ทั้งๆที่อายุขนาดนี้ก็ควรจะเข้าเรียนชั้นประถมแล้ว แต่การที่ที่น้องจ๋ายังไม่รู้จักนก ไม่รู้จักเสือ ก็ไม่แปลก เพราะไม่มีใครเคยบอกให้ฟัง ป้าหมีกับป้าติ๋มยังฝากบอกอีกว่า ก็ต้องอาศัยน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ถ้ามีเวลาก็เข้ามาช่วยกันสอนอะไรให้เท่าที่จะสอนได้ เพราะลำพังคุณป้าสองคนอายุก็มากแล้ว ดูแลเด็กที่เข้ามาวิ่งเล่นในบ้านพักหลายสิบคนไม่ไหว   เพื่อนของผมอีกคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า วันนี้เขาได้ทำกิจกรรมหลายอย่างกับน้องผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อน้องอ๊อด น้องอ๊อดเป็นเด็กผู้ชาย ดูจากภายนอกน่าจะอยู่ประมาณป. 3-4 ตัดผมเกรียนแต่ทำไฮไลต์สีทอง ผิวดำกร้าน แววตาเศร้าหมอง เลื่อนลอยและยิ้มไม่เก่งเหมือนน้องจ๋า ด้วยความที่น้องอ๊อดอ่านหนังสือไม่ออกเลยสักคำเดียว วันนี้จึงถูกจับไปเรียนภาษาไทย แม้พี่ๆ จะใช้ความพยายามเคี่ยวเข็ญ และใช้กลเม็ดสารพัดก็ยังไม่สามารถหลอกล่อให้ท่อง กอไก่ถึงฮอนกฮูกได้สำเร็จ น้องอ๊อดเป็นเด็กสมาธิสั้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ค่อยยอมเข้าร่วมกิจกรรมที่ทำเป็นหมู่คณะ เรียกร้องสิ่งต่างๆ ให้ตัวเอง และไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ อยากทำนู่นอยากทำนี่อยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่ยอมอยู่กับที่ อยากเล่นฟุตบอล อยากเล่นกีต้าร์ แต่พอพาไปเล่นก็เลิก น้องอ๊อดติดนิสัยชอบความรุนแรง ชอบเล่นแบบรุนแรง ที่ติดตาติดใจเป็นที่สงสัยคือเวลาเล่นเอาปืนมาเล่นไล่ยิง จะบอกว่าไล่ยิงตำรวจ ไม่ใช่ยิงผู้ร้าย เพื่อนของผมฟ้องคุณป้าผู้ดูแลอีกว่า เวลาเรียนน้องอ๊อดก็เอาแต่จะมุดลงไปเล่นใต้โต๊ะ ไม่ตั้งใจเรียน คุณป้าทั้งสองหัวเราะคิกคักขึ้นมาพร้อมกัน สบตากันเล็กน้อยก่อนจะหันไปพึมพำๆ “ว่าแล้ว... เพราะวันนี้พี่ๆ ใส่กางเกงขาสั้น!”  และแล้วผมกับเพื่อนๆ ก็ได้ฟังวงเวียนชีวิตจริงอีกเรื่องหนึ่ง น้องอ๊อดที่เห็นตัวเล็กๆ จริงๆ อายุ 13 ขวบแล้ว แต่พัฒนาการช้าเช่นเดียวกับน้องจ๋า ทำให้ดูผ่านๆ ก็ เหมือนเด็กเล็ก คุณพ่อของน้องอ๊อดติดคุกเพราะค้ายา ส่วนคุณแม่เสียไปแล้ว น้องอ๊อดอาศัยอยู่กับยายซึ่งต้องทำมาหากินด้วยจึงไม่ค่อยมีเวลาดูแล น้องอ๊อดไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย จึงอ่านหนังสือไม่ออก และก็แน่นอนว่า ไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนใดๆ มาจากครูที่โรงเรียนอีกเช่นกัน พ่อและคนอื่นๆ ที่บ้านของน้องอ๊อดก็ค้ายากันทั้งบ้านแล้วก็สอนลูกสอนหลานกันว่าตำรวจคือศัตรู ตำรวจคืออันตราย เด็กก็ซึมซับอยู่ทุกวันจึงถูกฝังหัวเชื่อให้ไปอย่างนั้นแล้ว เห็นตำรวจที่ไหนก็จะวิ่งหนีไว้ก่อน น้องอ๊อดเรียนรู้เรื่องเพศจากการที่คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องเช่าเดียวกันดูหนังโป๊ แล้วก็เปิดให้เด็กนั่งดูด้วยโดยไม่มีการสอนอย่างถูกต้อง หรือบางครั้งคนในห้องเช่าแคบๆ ก็โชว์ของจริงให้ดู ใครอยู่ใครไปก็เห็นกันหมด รวมถึงเคยได้ยินมาว่าน้องอ๊อดเคยถูกกระทำทางเพศด้วย ป้าหมีกับป้าติ๋มบอกว่าจริงๆ แล้วน้องเค้าไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร แล้วเค้ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ด้วยธรรมชาติของเด็กอายุเข้า 13 ปี ก็เริ่มอยากรู้อยากเห็น และก็เล่นไปเรื่อยเท่า   ในนาทีเล็กๆ ที่เกิดคำถามผุดขึ้นในใจ เราจะช่วยให้น้องมีชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร? คงต้องใช้อีกหลายสิบปีในการแสวงหาคำตอบอันยืดยาวกว่าคำถาม ไม่อาจจะกระดิกนิ้วทีเดียวแล้วรักษาโลกได้ดั่งใจนึก แต่ระหว่างทางนั้นเราทำอะไรได้ก็ต้องพยายามทำกันไปก่อน อะไรบ้างที่เราจะยอมสละได้ และอะไรบ้างที่จะปกป้องเค้าให้ได้มากที่สุด คิดอะไรได้ก็ทำไปในขอบเขตที่มีสิ่งแวดล้อมทางวัตถุในแบบของเรา และเผื่อใจไว้เล็กน้อย เว้นพื้นที่เล็กๆ ไว้ให้เห็นบ้างว่ามีคนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต่างจากเราอีกมาก เท่านั้นเอง...       นายกรุ้มกริ่ม                      เขียนขึ้นตามคำขอของ ปรีดี จากนิตยาสาร echo ประมาณกลางปี 2551 กองบรรณาธิการอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รับพิจารณาให้ตีพิมพ์    
นายกรุ้มกริ่ม
            ผมเป็นอาสาสมัครมือใหม่ ที่บางอารมณ์ก็อยากทำประโยชน์เพื่อสังคมกับเขาบ้างเหมือนกัน                 ผมเริ่มต้นการทำความดีที่ชุมชนศิริอำมาตย์ เป็นชุมชนแออัดลึกลับ แฝงเร้นอยู่ข้างสนามหลวงใจกลางกรุงเทพมหานคร                 ที่นี่จะมีอาสาสมัครมากหน้าหลายตาวนเวียนกันมาไม่ซ้ำคน แบ่งปันเวลาว่างในวันหยุดสอนหนังสือให้แก่เด็กๆ ในชุมชน                 เราใช้พื้นที่ข้างถนนเล็กๆ กับโต๊ะขายก๋วยเตี๋ยว 3-4 ตัว ตั้งเป็นโรงเรียนขึ้นในทุกเช้าของวันอาทิตย์ และผมก็แวะเวียนมาเป็นส่วนหนึ่งบ้างตามโอกาสที่มี                 แต่วันนี้ไม่ใช่วันอาทิตย์ที่ดีนักสำหรับผม นาฬิกาปลุกทำงานเมื่อเวลาแปดโมงตรง ทั้งที่เมื่อคืนกว่าผมจะนอนก็ตีสามแล้ว ผมชั่งใจอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง “วันนี้คงไม่เหมาะกับการทำความดีกระมัง” ผมคิด...                 เกือบสิบโมงแล้วผมรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรทำที่ดีไปกว่าการนอนดูทีวีให้หมดวันหนึ่งๆไป “หรือจะไปดีวะ?” ผมคิด แล้วก็กระวีกระวาดแต่งตัวออกจากบ้านไปทั้งที่ยังไม่ได้กินอะไร                   ณ สถานที่นัดหมาย สหายจำนวนหนึ่งมาถึงก่อนผมนานแล้ว พร้อมกับคำพูดสนุกสนานเชิงตำหนิ ถึงความตรงต่อเวลาของผม “มาก็โดนด่า มาทำไมวะกู?” ผมคิด                 การมาสายทำให้ผมไม่มีอำนาจในการเจรจาต่อรอง ผมเริ่มทำตัวเป็นประโยชน์ทันทีโดยการหยิบแบบฝึกหัดไปแจกน้องๆและเดินทักทายผู้คน                 มีน้องคนหนึ่ง ชื่อว่า หนึ่ง มีน้องชื่อสองและสาม เป็นเด็กที่เพิ่งมาเรียนที่โรงเรียนข้างถนนแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง ซึ่งครั้งแรกผมได้เป็นคนสอนน้องเขียน ก.ไก่ถึง ฮ.นกฮูกด้วยตัวเอง น้องหนึ่งเข้ามาทักทายผมด้วยการจับมือและนั่งตักทันที “ได้เหยื่อแล้วเว่ย” ผมคิด “สอนน้องหนึ่งก็ได้จะได้ไม่ดูอู้จนเกินไป”                 เดาเอาว่าน้องคงจำผมได้อยู่ และวันนี้ครูอาสาก็มากันน้อย คงดูแลไม่ทั่วถึง น้องไม่รู้จะหาใครก็เลยรีบรี่มาหาผมก่อน                   แสงแดดช่วงสายไม่ได้เกรงใจคนที่แค่อยากทำอะไรดีดีบ้างเลยแม้แต่น้อย วันนี้ร่มผ้าใบคันใหญ่ที่เคยคุ้มแดดให้ก็กลับกางไม่ได้เพราะลมแรงเกินไปอีก “ไอ้ลมบ้า มากันไม่หยุดเล้ย” ผมคิด                 ผมร้อนมาก แต่น้องหนึ่งนั้นไม่ ยังคงตั้งใจทำแบบฝึกหัดโยงเส้นจับคู่ต่อไป แผ่นแล้วแผ่นเล่า “ไม่ร้อนบ้างหรือไงวะ?” ผมคิด และผมก็ได้คำตอบเมื่อมีน้องอีกคนมาชวนน้องหนึ่งไปเซเว่น แต่น้องหนึ่งบอกว่า “ไม่เอา เรียนดีกว่า สนุก” “เหรอวะ?” ผมคิด                 ไม่เพียงอุปสรรคจากแสงแดดเท่านั้น ความหิวทั้งข้าวและน้ำ กับความง่วงก็คงยังรุมเร้าผมอยู่ทุกขณะ “คิดผิดเป่าวะเนี่ย...กู?” ผมคิด                   เที่ยงตรง ดวงตะวันแกร่งกล้ามากขึ้น ส่วนผมก็หลบตัวเองเข้ามาอยู่ใต้เงาของร่มไม้ เด็กส่วนใหญ่กลับไปแล้ว น้องหนึ่งกำลังเก็บกระดาษแบบฝึกหัดทุกใบที่ตัวเองทำเพื่อเอากลับบ้านไปให้แม่ดู                 น้องหนึ่งเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่แค่ ป.1  กำลังจะจูงมือน้องสาวที่เพิ่งเข้าอนุบาล เดินกลับบ้านกันสองคน“อะไรจะน่ารักขนาดนี้?”“คงดีกว่านั่งร้อนๆอยู่ตรงนี้มั้ง?” ผมคิด ก่อนอาสาตัวเดินไปส่งน้องที่บ้าน                 น้องหนึ่งยื่นมือมาจับมือผมแล้วกำเอาไว้แน่น ผมเลยยื่นมืออีกข้างไปจับมือของน้องสอง “น่าจะมีคนถ่ายรูปจากข้างหลังให้จัง” ผมคิด   กองขยะและของใช้เก่าๆ กับคนน่ากลัวๆ นั่งอยู่ตรงทางเดินปากซอยเข้าบ้านของน้อง บ้านเรือนของคนละแวกนี้สร้างขึ้นจากการปะติดปะต่อขอถุงกระสอบทราย แผ่นไม้กระดานผุๆ และป้ายโฆษณาเก่าๆ  ทางเดินรกและเฉอะแฉะดูไม่น่าไว้วางใจ “เข้าไปดีไหมเนี่ย?” ผมคิด ขณะที่น้องจูงมือเดินนำ ผมก็ต้องกลั้นใจเดินตาม เดินผ่านคนจรจัดที่ดูเพี้ยนๆ คนหนึ่งไป เค้าก็จดจ้องผมไม่ละสายตา เดินผ่านกองขยะพันปี ผ่านน้ำครำกลิ่นเหม็นๆไป ผมต้องเดินเขย่งเท้าเพราะกลับรองเท้าเปื้อนกลัวจะไปเหยียบเข้า บนเศษเหล็กเก่าๆ ที่ถูกใช้เป็นม้านั่ง มีหญิงสาวผอมบางท่าทางใจดีอุ้มเด็กเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ คือคุณแม่กับน้องสามที่เฝ้ารอการกลับมาของเด็กน้อยทั้งสองคนอยู่นั่นเอง สายตาอันอบอุ่นมองตรงมายังเด็กน้อย พร้อมกับปากบอก “ขอบคุณคุณพี่นะคะที่มาส่ง” น้องสองวิ่งรี่เข้าไปกอดคุณแม่ น้องหนึ่งดึงมือผมให้ก้มลงไป และโอบเข้าสวมกอดรอบคอผมก่อนจากลา “ภาพแบบนี้ไม่ควรอยู่คู่กับฉากหลังแบบนี้” ผมคิด ไหว้ลาคุณแม่แสนดี โบกมือบ๊ายบายเด็กๆ ถอนหายใจยาวๆ เดินย้อนกลับออกมา คนเพี้ยนคนเมื่อกี้ฉีกยิ้มให้ผมมุมปากกว้างถึงใบหู จนมองเห็นฟันดำๆ ที่ไม่ได้รับการทำความสะอาด “แหม...คุณครูมาส่งนักเรียนเหรอครับ” พี่ชายหน้าเข้มที่ซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่หันมายิ้มกว้างให้อีกคน “ให้น้องเขากลับเองก็ได้นะคร้าบ...”   เพียงหนึ่งก้าวที่พ้นออกจากปากซอยนั้น สายลมวูบใหญ่พัดเข้ามาต้องตัวผม ผมหลับตาปี๋ก้มหน้าหลบฝุ่นละอองที่อาจตามมา คำถามของผมทั้งหมดในวันนี้ได้รับคำตอบแล้วในวินาทีนั้นเอง     นายกรุ้มกริ่ม แห่งกลุ่มอิสระเพาะรัก                 เขียนขึ้นประมาณสิงหาคม 2550 ตามคำขอของน้องๆไม้ขีดไฟ ในหัวข้อเพียงเสี้ยวอารมณ์ ไม่เคยตีพิมพ์
ontheland
ช่วงเวลาประมาณ 08.00 น. ของวันนี้ เจ้าหน้าที่สวนป่าคอนสาร อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ นำโดยหัวหน้าสวนป่าฯ ได้นำกำลังของเจ้าหน้าที่ประมาณ 20 นายเข้าไปภายในเขตสวนป่า บริเวณที่มีกลุ่มชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ผู้ประสบปัญหาที่ดินทำกินปักหลักตั้งเป็นที่พักอาศัยชั่วคราว และพยายามที่จะฝ่าจุดตรวจที่กลุ่มชาวบ้านตั้งด่านไว้เพื่อกั้นเป็นเขตรักษาความปลอดภัย โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่อ้างว่าจะขอเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยภายในพื้นที่ แต่ทางฝั่งชาวบ้านไม่ยอม ด้วยเหตุผลว่าเพื่อป้องกันความไม่ปลอดภัย จึงเกิดมีปากเสียงกัน จนในที่สุด เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่สามารถนำกำลังฝ่าเข้าไปภายในบริเวณที่พักอาศัยของชาวบ้านได้  จึงเพียงแค่ ถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น กระทั่งช่วงประมาณ 09.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 4 นาย เข้าไปในพื้นที่ และจะขอเข้าตรวจสอบภายในบริเวณที่พักอาศัยของชาวบ้านโดยอ้างว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามปกติ แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยของกลุ่มชาวบ้านยืนยันไม่ให้เข้า หลังจากยื้อกันอยู่นานราว 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเป็นฝ่ายถอยกลับไป ส่วนกลุ่มชาวบ้านได้ตรึงกำลังคุมเข้มมากขึ้น ทางฝั่งชาวบ้านแจ้งว่า ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการปลูกสร้างสวนป่าคอนสารทับที่ทำกินที่มาชุมนุมกันอยู่ตอนนี้มีประมาณ 150 ครอบครัว ได้ปักหลักชุมนุมอย่างสันติเพื่อต้องการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเดิมของตนเองเท่านั้น รอเพียงให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเจรจาแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จ ตอนนี้กลุ่มชาวบ้านตั้งธงว่าจะปักหลักชุมนุมในพื้นที่สวนป่าจนกว่ารัฐบาลจะมีประกาศให้ยกเลิกสวนป่าคอนสาร แล้วนำที่ดินมาจัดสรรให้ชาวบ้าน เพื่อที่ชาวบ้านจะได้นำไปจัดทำเป็นโฉนดชุมชน ตามแนวนโยบายของรัฐบาลต่อไป
โอ ไม้จัตวา
ภาพจาก www.thailandoutdoor.com ไปปายคราวที่แล้ว ได้ยินชื่อปลาสะแงะในเมนูร้านอาหารร้านอร่อย (ร้านน้องเบส เห็ดหอมทอดอร่อยด้วยน้ำจิ้มสีเขียว) แต่ก็ไม่ได้กิน ถามใครก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นปลาอะไร ดียังไง ทำไมต้องปลาสะแงะ จนกระทั่งมาเจอข้อเขียนของคุณ’รงค์  วงษ์สวรรค์ ที่เคยเขียนไว้ถึงปลาชนิดหนึ่งชื่อปลาไหลหูดำ “ปลาไหลหูดำ  โอว  หี่  เหมา  ปรุงรสน้ำแดงกับเห็ดหอมและผักบุ้ง--เอ้งฉ่าย   ปลานี้อิมพอร์ทเข้ามาจากฮ่องกงราคาแพงและมีกินในฤดูเดือนเท่านั้น แต่บางคนบอกความลับว่า  พรานปลาแถบลุ่มน้ำตาปีภาคใต้นำมาส่งอย่างไม่เปิดเผยเพื่อการผดุงราคาเหนือกว่าปลาอื่น นักกินรุ่นเก๋าว่าเป็นปลาเดียวกับปลาไหล  อุนาหงิ  ของญี่ปุ่น  ย่างราดซีอิ๊ว  โชยุผสมเหล้ามิรินกับกระดูกป่นของตัวมันเป็นเกรวี่--โอ๊ยฉี่--แปลว่าอร่อยเป็นบ้า ! ชินแสสัปดนห่อใบผักกาดดองเค็ม--เกี้ยมฉ่าย  ตุ๋นตำรับจีนเชื่อกันว่าบำรุงกำลังขย่มบนเตียงนอนหมวยครวญคราง นักเลงปากกว้างในร้านลาบหลู้ยืนยันว่าปลานี้สกุลเดียวกับ  สะแงะ  ของแม่น้ำปายแม่ฮ่องสอน  เวลานี้เป็นปลาเขียม (หายาก)  ปานกันกับเขียดแลวหรือกบยักษ์”  ภาพจากหมูหินดอทคอม  ข้อมูลในวิกีพีเดียให้ไว้ว่า ปลาสะแงะมีรูปร่างคล้ายปลาไหล อยู่ในวงศ์ปลาตูหนา (Anguillidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anguilla bengalensis มีความยาว 1-1.5 เมตร พบมากในแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำสาขาในจังหวัดตาก และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ฮ่า แม่น้ำปายนั่นเอง ที่ฮือฮาครั้งหนึ่งคือมีผู้จักปลาสะแงะได้ที่คลองบางกะปิ เมื่อปี 2468 – 84 ปีล่วงมาแล้ว ปลาตัวที่พบนี้ยาว 65 ซ.ม. ทำให้คนเชื่อว่าเป็นปลาไหลไฟฟ้า บางคนคิดว่าเป็นพญานาค บางคนว่าคือมังกร ความพิเศษของปลาสะแงะอีกอย่างหนึ่งคือ มีเสียงร้องเหมือนเด็กทารกในเวลากลางคืน ใครเคยได้ยินบ้างเนี่ย ที่แม่ฮ่องสอน ชาวปากญอเรียกปลาสะแงะว่า “หย่าที” ครั้งหนึ่งบนโต๊ะอาหารของคุณชายคึกฤทธิ์ มีเมนูปลาไหลหูดำ หรือปลาสะแงะตัวนี้อยู่ด้วย คุณ’รงบันทึกไว้ว่า “บันทึกอย่างน่าโดนถีบว่าเคยเห็นท่านก้างติดคอในวันนั้นที่ผ่านมา พนักงานรับใช้ถึงผู้จัดการภัตตาคารตกใจวิ่งกันพล่าน  บ้างออกปากขอโทษ  บ้างละล่ำละลักบอกให้กลืนก้อนขนมปัง  บางคนว่ากลืนกล้วยหอมชะงัดกว่า คุณชายไม่กลืนอะไรทั้งนั้นนอกจากค็อนญัค  และเอื้อมมือลูกคออย่างสงบ ใบหน้าคลายยิ้มแต่ปากพูดอย่างราบรื่น “อันการกินปลาพลาดพลั้งก้างก็ติดคอบ้างเป็นธรรมดา  ไม่เจ็บปวดอะไรนักหนาแต่รำคาญบ้างเท่านั้น  เออ--กินกันตามสบายอย่าทำตาละห้อยเป็นห่วงบ้าบออะไรกันกับข้าวออกเต็มโต๊ะ" บ่ายวันนั้นกลับสำนักงานบนอาคาร  6  ถนนราชดำเนิน  ท่านเขียนบทความเกี่ยวกับบางปัญหาโจมตีรัฐบาลอย่างแสบสันต์ ก้างติดคอชิ้นนั้นพลอยเจ็บแปลบไปถึงคนในทำเนียบ”  ก้างติดคือยังสะเทือนถึงปานนี้ ไม่กินไม่ได้แล้ว ปลาสะแงะ ไป...ไปปายกัน    
เงาศิลป์
ตอนที่ 5 บันทึกของลูก  รูปรอยต่างๆของลูก ยังคงอยู่เหมือนที่เคยมีลูก แม้แต่ภายในห้องนอน ทุกอย่างยังถูกจัดวางเหมือนเดิม บ้านไม้หลังเล็กๆใต้ถุนสูงแบบโบราณ ซุกตัวอยู่ใต้ร่มเงาไม้น้อยใหญ่หลังนี้ มีห้องนอนสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นของลูก ที่เตียงนอนยังมีหนังสือเล่มโปรดวางไว้ที่หัวเตียง อาจมีแปลกออกไปบ้างคือสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ 4 เล่ม ที่ลูกเขียนทุกวันเกือบทุกเวลา เพราะลูกตั้งใจบันทึกกิจกรรมการดูแลตัวเองและบทธรรมะเอาไว้ ตลอดเวลาสี่เดือนของความป่วยไข้ แม้กระทั่งวันสุดท้าย โดยที่ไม่มีใครร้องขอให้ทำ
inplaengradio
       คนขายหมู เดินผ่านหน้าบ้าน คนเลี้ยงหมูไว้ดูเล่น        พอเดินผ่านคราใด ลูกหมูจะวิ่งออกจากบ้านมากัดทันทีทุกวันเป็นประจำ        คนขายหมูโกรธ-อาฆาต"สักวันหนึ่งจะซื้อมึงไปขุนให้อ้วนแล้วเอาเนื้อไปขายบนเขียงหมูข้า"        จึงได้เจราจาขอซื้อลูกหมูเอาไปเลี้ยงไว้ที่บ้าน        สองคืนต่อมา เกิดฝันร้าย ตกใจกลัวอย่างสุดขีด"มิน่าเล่าไอ้หมูตัวนี้มันถึงไม่ชอบหน้าเรา"        เดินไปดูหมู มีอาการเศร้าสร้อยน่าสงสาร เกิดเปลี่ยนใจ จึงเอาหมูไปถวายวัด        ต่อมาเลยไปวัดเยี่ยมดูลูกหมูอยู่เป็นประจำ ลูกหมุผอมมาก วิ่งมาเลียแข้งเลียขา มีจิตใจปิติสงสารจึงเลิกฆ่าและขายเนื่อหมู        เพราะหมูนี้เอง จึงได้สร้างกรรมดี......จบข่าว.
antigens
มาฟังกัน   http://www.youtube.com/watch?v=RxPZh4AnWyk

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม